2 ธ.ค. 2021 เวลา 12:03 • หนังสือ
10 ความเชื่อที่ควรเลิกเชื่อได้แล้ว
ต้องออกตัวก่อนครับว่า ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดเห็นของผม อ่านแล้วคุณอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ เพราะความเชื่อนั้นเป็นเรื่องของใครของมัน ประสบการณ์หล่อหลอมให้เราเชื่อต่างกัน แต่เท่าที่ผมพบเห็นเป็นอยู่ เท่าที่ความรู้พอจะมี นี่คือ "10 ความเชื่อ...ที่ควรเลิกเชื่อได้แล้ว" โดยผมเน้นไปที่เรื่อง "เรียนและงาน" ครับ
3
ภาพถ่ายโดย cottonbro จาก Pexels
ความเชื่อที่ 1 : ถ้าไม่ได้เรียนสายวิทย์ ชีวิตไร้อนาคต
2
ช่วงพัฒนาประเทศให้เป็นอุตสาหกรรม ทำให้เรายึดติดอยู่กับไม่กี่อาชีพในฝัน (ของพ่อแม่) จากนั้นจึงยัดเด็กที่มีแววเก่ง แต่ไม่ถนัดสายวิทย์ ให้ต้องทุกข์ทรมานกับการเรียนที่เขาไม่ชอบ
1
ทั้งที่โลกนี้มีวิชาอีกมากมายที่ไม่ใช่สายวิทย์ แต่จบออกไปแล้วประกอบอาชีพที่ทำเงินได้ดี แถมยังสร้างชื่อเสียงได้ไม่แพ้คนจบสายวิทย์ ...คนเป็นพ่อเป็นแม่ จึงต้องเลิกเชื่อแบบเดิมได้แล้ว
2
ความเชื่อที่ 2 : ถ้าเรียนเลขไม่เก่ง ชีวิตเจ๊งแน่ ๆ
1
ความเชื่อแบบนี้คล้ายกับข้อแรก ทั้ง ๆ ที่โลกนี้ความเก่งหลายด้าน เก่งดนตรี เก่งกีฬา เก่งคน และอื่น ๆ แต่บางคนวัดความเก่งด้วยคณิตศาสตร์เท่านั้น ถือเป็นการมองความเก่งที่คับแคบเกินไป ที่น่าแปลกคือ...นี่มักเป็นมุมมองจากคนที่ไม่เก่งคณิตศาสตร์ที่คิดว่าคนเก่งคณิตศาสตร์คือคนเก่ง (งงมั้ย?)
3
ทุกคนเป็นคนเก่ง ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ขอเพียงอย่าวัดความเก่งของปลาด้วยความสามารถในการปีนต้นไม้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีปลาตัวไหนที่เก่งเลย (แถมยังอาจน้อยใจจนเลิกว่ายน้ำไปเลยก็ได้)
3
ความเชื่อที่ 3 : ถ้าสอบมหาวิทยาลัยรัฐไม่ติด ชีวิตหมดกัน
3
มีคนประสบความสำเร็จมากมายที่จบจากมหาวิทยาลัยเอกชน ปัจจุบันความเชื่อนี้ ผมคิดว่าเจือจางไปพอสมควร (ซึ่งดีมาก) ทั้งด้วยเหตุผลเพราะคุณภาพมหาวิทยาลัยดีขึ้น และเหตุผลว่ามหาวิทยาลัยอาจสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ จะมีก็แต่เพียงรุ่นพ่อแม่ที่ศรัทธาในสถาบัน หรือตัวเองจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อของรัฐ จึงยังกดดันให้ลูกต้องติดมหาวิทยาลัยรัฐเท่านั้น
3
ทั้งที่ในชีวิตการทำงานจริง เราแทบไม่ได้สนใจเลยว่าใครจบจากที่ไหน และในอนาคต เราจะสนใจรับคนเข้าทำงานด้วยการดู "ความสามารถพร้อมใช้งาน" ของเขาผู้นั้น
3
ความเชื่อที่ 4 : ถ้าเรียนเก่ง ชีวิตต้องเจ๋งแน่นอน
1
เกรดใช้วัดความสามารถเรื่องการท่องจำ ใช้วัดความสามารถในการแก้โจทย์ข้อสอบ แต่ในชีวิตจริง เราไม่ต้องท่องจำ แต่ต้องใช้ความสามารถด้านอื่น ๆ มาช่วย และหลายครั้งที่เราต้องตั้งโจทย์เอง แก้โจทย์เอง ซึ่งก็อย่างที่เราหลายคนรู้ สิ่งที่เราเรียนมา แทบใช้ไม่ได้กับการทำงาน ต้องมาเริ่มฝึกใหม่ ต้องใช้ทักษะมากกว่าทำข้อสอบ
1
เก่งงาน เก่งคน เก่งเงิน เรื่องเหล่านี้มักไม่ได้เรียนในโรงเรียน ...เรียนเก่งจึงไม่ได้รับประกันความสำเร็จ มีบ่อยครั้งเลยที่เราเห็นคนเรียนได้ "เกรดนิยม" ประสบความสำเร็จไม่แพ้คนเรียนได้ "เกียรตินิยม"
2
ความเชื่อที่ 5 : ไม่ต้องเรียนจบก็ได้ เศรษฐีระดับโลกไม่เห็นต้องเรียนจบ
1
ความจริงก็คือ เศรษฐีดังกล่าวเป็นเพียงคนน้อยนิดที่เรียนไม่จบแล้วประสบความสำเร็จ พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ การเรียนไม่จบ ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐี แต่คือการที่เขาคิดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ (ไม่ว่าเขาจะเรียนจบหรือไม่ก็ตาม)
4
...เพราะฉะนั้นอย่าไปเลียนแบบผิดจุด อย่าเอาไปเป็นข้ออ้างของความขี้เกียจ เราต้องเรียนให้จบ อย่างน้อย ๆ จะได้ไม่ค้างคาใจไปตลอดชีวิต
1
ความเชื่อที่ 6 : ตั้งใจเรียน เรียนจบแล้วจะได้งานทำ ...เท่านี้ชีวิตนี้ก็สบายแล้ว
คนส่วนใหญ่มารู้ความจริงข้อนี้ก็ตอนที่ "กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง" เมื่อเขาพบว่าที่เรียนมาแทบตาย ก็เพื่อมารับเงินเริ่มต้นที่เดือนละหมื่นกว่าบาท ซึ่งยังเป็นอัตราเงินเดือนเดิมเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยที่ข้าวแกงตอนนั้นจานละ 10 บาท...แต่ตอนนี้เริ่มต้นที่จานละ 40 บาท
1
นั่นแปลว่าชีวิตของเรานั้นต้องมีอะไรมากกว่าตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน นั่นคือ ต้องหาลู่ทาง หูไวตาไว มองหาโอกาส
2
ความเชื่อที่ 7 : หางานบริษัทใหญ่ ๆ มั่นคงทำ ...แล้วชีวิตจากนี้จะมั่นคง
1
ความจริงก็คือ ความมั่นคงนั้นไม่ได้อยู่ที่บริษัท แต่อยู่ที่ตัวเราว่ามีความสามารถแค่ไหน บริษัทที่วันนี้มั่นคง ไม่ได้แปลว่าวันหน้าจะมั่นคง เราเห็นตัวอย่างกันมาเยอะแล้ว
1
โลกหมุนเร็วกว่ายุคก่อน ๆ ธุรกิจที่มีในวันนี้ อีก 10 ปีข้างหน้าอาจไม่มีแล้ว ความมั่นคงจึงอยู่ที่ตัวเราว่าจะมีความสามารถที่ใช้ได้กับหลากหลายอาชีพแค่ไหน
2
ความเชื่อที่ 8 : ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องเป็นเจ้าของกิจการ
1
นี่เป็นความเชื่อที่ทำให้หลายคนหมดตัว เพราะกล้าออกไปสร้างอาณาจักรตัวเอง โดยไม่ได้ทดลองก่อน โดยไม่ได้ดูตัวเองก่อน บางคนชอบทำงานตามโจทย์ที่คนอื่นตั้งให้ บางคนชอบออกแบบชีวิตเอง อิสระดี บางคนชอบรับรายได้เท่ากันทุกเดือน สบายใจดี บางคนชอบลุ้นว่าเดือนนี้จะได้มากน้อยเท่าไหร่
1
...คนเราไม่เหมือนกัน ไม่ต้องทำตามคนอื่น หาจริตของตัวเองให้เจอ ถ้าไม่เหมาะกับการเป็นเจ้าของกิจการ ก็เป็นลูกน้องไปเถิด...ไม่ได้ผิดอะไร ขอเพียงเป็นคนเก่งในสายอาชีพตัวเอง ก็ประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น จำไว้ว่า...เราไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ต้องเป็นเจ้าของชีิวิตตัวเราเอง
9
ความเชื่อที่ 9 : ถ้าเป็นลูกจ้าง ก็ไม่มีทางรวย
1
ความจริงก็คือ ใด ๆ ก็ไม่สามารถฟันธงได้ขนาดนั้น เป็นนายจ้างใช่ว่าจะรวยทุกคน เจ๊งก็เยอะ บางกิจการ ได้เงินมาก็เอาไปจ่ายลูกจ้างหมด เงินไหลผ่านเพื่อออกไปอย่างเดียว ในขณะที่ลูกจ้างเงินเดือนแพง ๆ บางคน สบายกว่าเจ้าของ เพราะไม่ต้องมีภาระให้คิด
1
เป็นลูกจ้างก็รวยได้ครับ ถ้าเก่งจริง ผู้บริหารเงินเดือนหลายแสนหรือเป็นล้าน ตำแหน่งแบบนี้ไม่มีประกาศสมัครงานทั่วไป แต่มีอยู่จริง และผลตอบแทนมากพอในระดับที่เรียกว่ารวยได้เลย
2
ความเชื่อที่ 10 : ไม่เห็นต้องคิดมากเรื่องเกษียณ คนสมัยก่อนเขายังอยู่กันได้
1
ข้อนี้เป็นความเชื่อที่ค่อนข้างอันตราย เพราะเมื่อพบความจริงตอนอายุมาก เราจะไม่เหลือเวลาให้แก้ไขแล้ว ความจริงนั้นก็คือ คนสมัยก่อนลูกเยอะ และมักมีกิจการเป็นของตัวเอง มีบ้านของตัวเอง อาหารการกินก็ทำเอง
1
แต่คนสมัยนี้ไม่นิยมมีลูก บ้านก็ไม่มีของตัวเอง อย่างมากก็ซื้อคอนโดหนึ่งห้องนอน ผ่อนทั้งชีวิต ไหนจะผ่อนรถ และภาษีสังคมอีกมาก ธุรกิจของที่บ้านก็ไม่มี ป็นลูกจ้าง ทำงานประจำที่เงินเดือนจบลงตอนอายุ 60 ปี (หรือจบลงเร็วกว่านั้น ถ้าบริษัทลดรายจ่าย) ...เพราะฉะนั้นไม่คิดไม่ได้ ไม่วางแผนอาจจะสายไป อย่าเชื่อว่าความจริงที่ใช้ได้ในอดีต มันจะใช้ได้อีกในอนาคต
2
ทั้งหมดนี้คือ "10 ความเชื่อ...ที่ควรเลิกเชื่อได้แล้ว" ถ้าเห็นด้วยก็ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ.
1
โฆษณา