30 พ.ย. 2021 เวลา 09:48 • กีฬา
ทำไมลีโอเนล เมสซี่ ถึงโดนกระแสต่อต้านจากบัลลงดอร์ครั้งนี้ วิเคราะห์บอลจริงจังจะอธิบายให้ฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้น
4
ในอดีตเมื่อพูดถึงบัลลงดอร์ นี่จะเป็นรางวัลที่ทุกคนให้คุณค่าสูงลิ่ว การประกาศแต่ละปี มีดราม่าน้อยมาก คนได้รับรางวัลก็จะถูกสรรเสริญไปทั่วทั้งโลก
3
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ความรู้สึกของแฟนบอลที่มีต่อบัลลงดอร์มีความเปลี่ยนแปลงไป เพราะแต่ละปีล้วนเต็มไปด้วยดราม่า คนนี้ควรได้ คนนี้ไม่ควรได้ มีเรื่องให้โต้เถียงกันอย่างรุนแรงตลอด
1
และอยากให้สังเกตว่า คนที่ออกมาวิจารณ์บัลลงดอร์ ไม่ใช่แค่พวก "นักเตะที่เราชอบไม่ได้รางวัล ก็เลยไปด่าคนจัด" เท่านั้นนะ คือแม้แต่ คนดูบอลกลางๆ หรือแม้แต่คนในวงการฟุตบอลที่ไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษ ก็ออกมาตั้งคำถามเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานทีมชาติฮอลแลนด์ ผู้เคยได้รางวัลบัลลงดอร์ 3 สมัย เคยกล่าวเอาไว้ก่อนเขาจะเสียชีวิตว่า หมดศรัทธากับบัลลงดอร์ไปแล้ว
1
ครัฟฟ์กล่าวว่า "ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ให้ความสำคัญกับบัลลงดอร์เลย มันเป็นเรื่องน่าตลก ทุกคนต่างโหวตให้ผู้เล่นที่ตัวเองเชียร์ เมื่อก่อนเราจะโหวตให้คนที่เหมาะสมที่สุด แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว แต่เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และใครอยากทำอะไรก็ทำไปเลยละกัน"
14
ตั้งแต่บัลลงดอร์ก่อตั้ง เราจะพอเห็นว่านักเตะที่พาทีมชาติประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ อย่างฟุตบอลโลก หรือยูโร จะได้รับเครดิตมากกว่าผลงานในลีก และในยูโรเปี้ยนคัพเสมอ
1
ตัวอย่างเช่น ในปี 1966 บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีผลงานกลางๆ ในลีก ลงเล่น 38 นัด ยิง 16 ประตู เขาไม่ใช่ดาวซัลโวของสโมสรด้วยซ้ำ (คนยิงสูงสุดของทีมปีศาจแดงในซีซั่นนี้ คือเดวิด เฮิร์ด 24 ประตู)
3
แมนฯ ยูไนเต็ดซีซั่นนั้น จบอันดับ 4 ไม่ได้แชมป์อะไรเลยเลยแม้แต่รายการเดียว แต่ในฟุตบอลโลก 1966 ชาร์ลตันเล่นได้สุดยอดมาก และพาอังกฤษเป็นแชมป์โลก ทำให้ในช่วงปลายปี เขาก็เลยคว้าบัลลงดอร์ไปครองในที่สุด
ปี 1982 เปาโล รอสซี่ โดนโทษแบนจากคดีล้มบอล ตลอดซีซั่น 1981-82 เขาลงสนามให้ยูเวนตุส ในเซเรีย อา แค่ 3 นัด ยิงไป 1 ประตู แต่พอเข้าฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เขาระเบิดฟอร์มร้อน คว้าดาวซัลโว คว้านักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ พร้อมพาอิตาลีเป็นแชมป์โลก ทำให้การประกาศบัลลงดอร์ เป็นรอสซี่ที่ได้รางวัลไป
1
ปี 1996 แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คือยูเวนตุส แต่แชมป์ยูโร 96 คือเยอรมัน และแน่นอน คุณค่าของเกมทีมชาติจะมีค่ากว่า ดังนั้นในการโหวต มัทเธียส ซามเมอร์ กองหลังของทีมอินทรีเหล็ก จึงได้บัลลงดอร์ไป
ปี 1999 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทริปเปิ้ลแชมป์ เดวิด เบ็คแฮม มีลุ้นที่จะได้บัลลงดอร์ ส่วนริวัลโด้ เพลย์เมกเกอร์ของบาร์เซโลน่า พาทีมได้แชมป์ลาลีการายการเดียว อย่างไรก็ตาม ในปีนั้นริวัลโด้พาบราซิลได้แชมป์โคปา อเมริกา พร้อมคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม และดาวซัลโว ประจำทัวร์นาเมนต์
เมื่อเทียบคุณค่ากันแล้ว บอลทีมชาติ มีน้ำหนักมากกว่าทริปเปิ้ลแชมป์ของแมนฯ ยูไนเต็ด ริวัลโด้จึงโหวตชนะไป
2
ปี 2002 โรนัลโด้ของอินเตอร์ มิลาน เจ็บออดๆ แอดๆ ลงเล่นแค่ 10 เกมในฤดูกาล และไม่มีแชมป์อะไรเลยกับสโมสร แต่ในฟุตบอลโลกเขาพาบราซิลคว้าแชมป์พร้อมตำแหน่งดาวซัลโว สุดท้ายก็เลยได้บัลลงดอร์
จากที่กล่าวมาทั้งหมด เราจะเห็นว่า "บรรทัดฐาน" ของการโหวตที่วางเอาไว้ มันเป็นแบบนี้มาตลอด คือความสำเร็จของทีมชาติมีน้ำหนักมากกว่าผลงานส่วนตัว
เราไม่ได้ตัดสินว่าวิธีการนี้ มันดีหรือไม่ แต่มันก็เป็นแนวทางที่บรรดานักข่าวยุคก่อนคิดว่าถูกต้อง คืออีเวนต์เมเจอร์ ที่จัด 4 ปีครั้ง (หรือ 2 ปีครั้งในบางรายการ) ถ้าคุณเล่นได้ดี ก็ควรจะได้เครดิตมากกว่าบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือบอลลีกในประเทศ ที่เตะกันทุกปีอยู่แล้ว
2
แต่ในปี 2010 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อฟรองซ์ ฟุตบอล ผู้จัดบัลลงดอร์ ตัดสินใจเป็นพาร์ทเนอร์กับฟีฟ่า โดยเซ็นสัญญากัน 6 ปี และเปลี่ยนชื่อรางวัลเป็น "ฟีฟ่า บัลลงดอร์"
ในอดีตเวลาเลือกว่าใครจะได้รางวัล ฟรองซ์ ฟุตบอล จะใช้การโหวตของนักข่าวเท่านั้น โดยในปีก่อตั้ง 1956 ใช้นักข่าวแค่ 16 คนเท่านั้น ทั้งหมดมาจากชาติยุโรป
1
จากนั้นในปี 2007 ฟรองซ์ฟุตบอลเริ่มเห็นว่าบัลลงดอร์เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะให้นักข่าวในยุโรปมาโหวตกันเอง จึงขยายการโหวตให้นักข่าวจาก แอฟริกา, คอนคาแคฟ, อเมริกาใต้, โอเชียเนีย และ เอเชีย เข้าร่วมการโหวตด้วย รวมมีนักข่าวทั้งหมด 96 คน
3
ถึงตรงนี้ทุกอย่างก็ดูปกติดี จนถึงปี 2010 ฟีฟ่าที่ยึดบัลลงดอร์เอามาไว้แล้ว ตัดสินใจเปลี่ยนกฎ แทนที่จะเอาแค่นักข่าวอย่างเดียว ก็เพิ่ม "กัปตันทีมชาติ" และ "โค้ชทีมชาติ" ทั่วโลกมาด้วยให้มีสิทธิ์โหวตเลือกนักเตะยอดเยี่ยม
1
จากเดิมในยุคฟรองซ์ ฟุตบอล มีนักข่าวโหวต 96 คน แต่ในยุคของฟีฟ่า มีคนโหวตทั้งหมดเกือบ 600 คน
และตรงนี้เองที่ความอลหม่านก็บังเกิด กล่าวคือในอดีต นักข่าวจะรู้กันเลยว่า คุณค่าของทีมชาติต้องมาก่อนสโมสร
3
แต่พอกัปตันทีมชาติกับโค้ชทีมชาติได้โหวต หลายคนไม่ได้คิดแบบนั้น คือแค่เลือกโหวตให้คนที่ตัวเองชอบเฉยๆ
คือจะไม่ประสบความสำเร็จระดับชาติก็ไม่เป็นไร แค่ผลงานส่วนตัวดีไว้ก่อนก็โอเคแล้ว
ในปี 2010 จึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อนักเตะที่ "ไม่ได้แชมป์โลก" กลับได้รางวัลบัลลงดอร์ นั่นคือเคสของลีโอเนล เมสซี่นั่นเอง
2
นับตั้งแต่ปี 1995 ที่ฟรองซ์ ฟุตบอล ประกาศว่าบัลลงดอร์จะไม่ได้มอบให้กับคนยุโรปเพียงอย่างเดียว แต่ผู้เล่นชาติไหนก็ตาม ถ้ามีผลงานดี ก็มีสิทธิ์ถูกโหวต และมีสิทธิ์ได้รางวัล นับจากวันนั้น คนที่ได้แชมป์โลกจะได้บัลลงดอร์เสมอ
1998 - ฝรั่งเศสแชมป์โลก ซีดานได้บัลลงดอร์
1
2002- บราซิลแชมป์โลก โรนัลโด้ได้บัลลงดอร์
2006- อิตาลีแชมป์โลก คันนาวาโร่ได้บัลลงดอร์
ถ้าตามทฤษฎีนี้ ปี 2010 ที่สเปนได้แชมป์โลก คนที่ควรได้บัลลงดอร์ก็ควรจะเป็น ชาบี เอร์นันเดซ หรือไม่ก็ อันเดรส อิเนียสต้า หรืออีกคนที่ควรค่าแก่การพิจารณา คือเวสลีย์ สไนจ์เดอร์ ที่ได้ทริปเปิ้ลแชมป์กับสโมสร และได้รองแชมป์โลกกับเนเธอร์แลนด์
แต่สุดท้าย คนที่ได้รางวัลคือเมสซี่ ซึ่งก็ถือว่าพลิกความคาดหมาย
คือผลงานส่วนตัวเมสซี่ ก็ยอดเยี่ยมตามมาตรฐาน ใน 1 ปีปฏิทิน (2010) เขายิงได้ 60 ลูก ซึ่งก็ถือว่าเยอะ แต่อย่างที่เราบอกไว้ ว่าแนวทางดั้งเดิมของบัลลงดอร์ ต่อให้คุณยิงกระจายก็เถอะ น้ำหนักมันเทียบกับโทรฟี่ฟุตบอลโลกไม่ได้เลย
แต่บรรดาโค้ช และ กัปตันทีมชาติ รวมถึงนักข่าวชาติใหม่ๆ กลับมองว่าผลงาน Individual สำคัญกว่าโทรฟี่เมเจอร์อย่างฟุตบอลโลก นั่นส่งผลให้ทิศทางของบัลลงดอร์ก็เปลี่ยนไปจากวันนั้น กลายเป็นว่าการโหวตในปีต่อๆ มา คนโหวตก็ไปโฟกัสแต่เรื่องผลงานส่วนตัว
2
ดังนั้นก็แน่นอนว่า เมสซี่ กับโรนัลโด้ ที่เป็นเครื่องจักรถล่มประตู พวกเขามีทั้งชื่อเสียง และมีสถิติอันน่าทึ่งจึงได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
1
ปี 2013 บาเยิร์น มิวนิค ได้ทริปเปิ้ลแชมป์ ฟรองซ์ ริเบรี่ เล่นได้เด่นมาก แต่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้บัลลงดอร์ ทั้งๆที่ คว้า 0 แชมป์ในปีนั้น แต่ยิงประตูได้ 75 ลูก ในปีปฏิทิน
ริเบรี่ ที่ควรจะได้บัลลงดอร์ สุดท้ายโดนเด้งไปอยู่อันดับ 3 คะแนนโหวตเป็นรองเมสซี่ด้วยซ้ำ
1
หรือในปี 2014 ทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ตามหลักนักเตะเยอรมันสักคน ก็ควรได้บัลลงดอร์ แต่สุดท้ายผู้เล่นอย่าง โทนี่ โครส, มานูเอล นอยเออร์ หรือ ฟิลิป ลาห์ม ก็ถูกเมิน และเป็นโรนัลโด้ที่ได้บัลลงดอร์อีกครั้ง
ฟรองซ์ ฟุตบอล กับฟีฟ่า หมดสัญญากันในปี 2015 สุดท้ายฟรองซ์ ฟุตบอลเห็นแล้วว่า พอรวมกับฟีฟ่าแล้ว ทำให้คุณค่าของรางวัลบัลลงดอร์ถูกลดทอนไปจากเดิม จากที่ในอดีตเคยถูกมองว่าเป็นรางวัลอันสูงค่า แต่ตอนนี้กลายเป็นรางวัลที่แจกให้กับนักเตะที่โด่งดัง และถูกใจเฉยๆ
นั่นทำให้ฟรองซ์ ฟุตบอล ยึดเอาบัลลงดอร์คืนมา และเปลี่ยนระบบการโหวตใหม่อีกรอบ โดยตัดกัปตันทีมชาติ และโค้ชทีมชาติออกให้หมด เหลือแค่นักข่าวที่มีสิทธิ์โหวต
1
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ คือหลังจากที่ชุลมุนกันมาหลายปี ความรู้สึกของคนโหวต เต็มไปด้วยความสับสนว่า แล้วจากนี้ไป ควรให้น้ำหนักกับ "ผลงานส่วนตัว" หรือ "ผลงานกับทีมชาติและสโมสร" มาก่อน
ตัวอย่างเช่นในปี 2019 เวอร์จิล ฟาน ไดค์ พาลิเวอร์พูลได้แชมป์ยุโรป และได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก และรองแชมป์ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก แต่คนได้รางวัลคือเมสซี่ ที่ได้แชมป์ลาลีกาโทรฟี่เดียว แต่เมสซี่เฉือนชนะ เพราะสถิติส่วนตัว (ยิงประตูได้ 36 ลูก คว้ารองเท้าทองคำยุโรป)
ถ้าอ้างอิงจากบรรทัดฐานในปี 2019 ก็พอจะเห็นได้ว่า การโหวตดูจะเลือกผลงานส่วนตัว มากกว่าผลงานกับทีม
1
ดังนั้นในการประกาศบัลลงดอร์ปีนี้ 2021 ถ้ายึดตามเกณฑ์เดียวกันกับปี 2019 โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ของบาเยิร์น มิวนิค ที่ได้รองเท้าทองคำยุโรป (ยิง 41 ลูก) ก็ควรได้เปรียบเมสซี่ ที่ในระดับสโมสรได้โกปาเดลเรย์ถ้วยเดียว
3
แต่มาคราวนี้ คนโหวตกลับไปอ้างอิงถึงผลงานทีมชาติ โดยมองว่าเมสซี่ ได้แชมป์โคปาอเมริกา ดังนั้นก็ต้องให้เมสซี่สิ
สรุปคือผลงาน Individual กับ ผลงานทีมชาติและสโมสร อะไรควรให้ความสำคัญมากกว่ากันแน่
ทำไมในปี 2019 ตัดสินแบบหนึ่ง แล้วในปี 2021 ถึงใช้มุมมองตัดสินอีกแบบหนึ่ง
1
แล้วถ้าบอกว่าทีมชาติสำคัญจริงๆ จนต้องให้เมสซี่ได้รางวัลเพราะคว้าแชมป์โคปาอเมริกา ทำไมในปี 2018 ไม่โหวตให้นักเตะทีมชาติฝรั่งเศสที่ได้แชมป์โลก ได้บัลลงดอร์ล่ะ? มันก็น่าคิดจริงไหม
3
แล้วถ้าบอกว่าโคปา อเมริกา สำคัญจริงๆ ในปี 2016 ตอนอเล็กซิส ซานเชซ ได้แชมป์รายการนี้กับชิลี และได้รางวัล MVP ประจำทัวร์นาเมนต์ เขาถึงไม่ถูกพิจารณา เป็นแคนดิเดท 30 คนสุดท้ายของบัลลงดอร์ปีนั้นด้วยซ้ำ
1
คือเราต้องเข้าใจคนที่แสดงความไม่พอใจในผลลัพธ์ด้วย ไม่ใช่ว่าเขาเป็นแฟนเลวานดอฟสกี้ เป็นติ่งโรนัลโด้ เป็นแอนตี้เมสซี่ หลายคนก็แค่สับสน เพราะบรรทัดฐานของการตัดสินไม่เหมือนกันเลยในแต่ละปี มันจึงมีแต่คำถามเต็มไปหมด
1
ความสับสนในการโหวต และในจุดยืนของบัลลงดอร์ว่าให้น้ำหนักอะไรมากกว่า ทำให้มนต์เสน่ห์ของโทรฟี่นี้ เปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อก่อนใครถูกเชิญให้มาร่วมงาน คงรีบมาร่วมทันที แต่เดี๋ยวนี้ เราก็เห็นว่านักเตะบางคนก็ไม่ได้อยากมาแล้ว
อยากย้ำให้เข้าใจว่า ไม่มีใครลดทอนความสามารถของเมสซี่ ทุกคนรู้ว่าเมสซี่คืออัจฉริยะแห่งยุค และเมื่อคนโหวตให้เมสซี่มากกว่าใครในปีนี้ เขาก็ควรได้รางวัลบัลลงดอร์ มันก็ต้องเป็นไปตามนั้น
4
แต่ก็แน่นอนว่าตราบใดที่ผู้จัดและคนโหวต ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าอะไรสำคัญกว่าจริงๆ กันแน่ ผลงานส่วนตัว ผลงานทีมชาติ หรือผลงานกับสโมสร
1
ดราม่า และเสียงวิจารณ์อย่างรุนแรง มันก็จะเกิดขึ้นทุกๆ ปี แบบนี้นั่นแหละ
1
#CONTROVERSY
โฆษณา