1 ธ.ค. 2021 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์
มัมมี่ชินชอโร มันมี่เก่าแก่ที่สุดในโลกอายุ 7000 ปี มัมมี่ที่ไม่เลือกว่าผู้ตายจะอยู่ชนชั้นไหน ใครก็เป็นมัมมี่ได้
Chinchorro (มัมมี่ชินชอโร) ถูกค้นพบในเมืองอาริกา ประเทศชิลี มีอายุกว่า 7,000 ปีมากกว่าอายุของมัมมี่ในอียิปต์ที่อายุ 2,000 ปีซะอีก ก่อนหน้าผู้คนกลับใช้ชีวิตอยากสงบแม้รู้ว่าเบื้องล่างของพวกเขานั้นมีซากศพเหล่านี้อยู่ และจะเปิดพิพิธภัณฑ์ให้คนได้ไปเยี่ยมชมเร็วๆนี้
อาริกา บนพรมแดนที่ติดกับเปรู สร้างขึ้นบนเนินทรายของทะเลทรายอาตากามา ทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุด แต่ระยะเวลาเนิ่นนานก่อนหน้า เมืองชายฝั่งแห่งนี้จะถูกค้นพบ มันถูกก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 16 และบริเวณนี้เคยเป็นบ้านของชาวชินชอโร (Chinchorro people) ข่าวการค้นพบแพร่กระจายเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยองค์การวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ยูเนสโก หลังจากค้นพบวัฒนธรรมการเก็บรักษาร่างกายแบบมัมมี่หลายร้อยรายที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี
มัมมี่ที่ค้นพบคาดว่าเป็นคนชาวชินชอโร ได้รับการบันทึกครั้งแรกในปี 1917 โดยนักโบราณคดีชาวเยอรมัน Max Uhle ผู้ซึ่งพบศพบางส่วนที่เก็บรักษาไว้บนชายหาดแต่ต้องใช้เวลากว่าศตวรรษถึงจะสามารถระบุอายุของพวกเขาได้ ในที่สุดหลังจากใช้วิธีการหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี แสดงให้เราทราบว่ามัมมี่มีอายุมากกว่า 7,000 ปีซึ่งมีอายุมากกว่ามัมมี่อิยิปต์อายุ 2,000 ปีที่เรารู้จักกันอย่างแพร่หลายซะอีก จึงกลายเป็นว่ามัมมี่ของชาวชินชอโรเป็นมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดตามหลักฐานทางโบราณคดี
นักมานุษยวิทยา Bernardo Arriaza ผู้เชี่ยวชาญด้านมัมมี่ชินชอโร กล่าวว่า สมัยนั้นพวกเขาพยายามฝึกทำมัมมี่อย่างตั้งใจ นั่นหมายความว่าพวกเขาใช้วิธีฝังศพเพื่อรักษาศพแทนที่จะปล่อยให้ย่อยสลายตามธรรมชาติในสภาพภูมิอากาศที่แห้ง
กระบวนการที่พบคือมีการกรีดร่างกายตามส่วนต่างๆเล็กน้อย เพื่อนำอวัยวะภายในออกมา ร่างจะกลายเป็นโพรงแห้งและผิวหนังถูกฉีกขาด หลังจากนั้นก็ยัดใยธรรมชาติลงไปแล้วเย็บผิวหนังกลับให้เป็นเหมือนเดิม นอกจากนี้เขายังติดผมสีดำหนาบนศีรษะของมัมมี่และคลุมใบหน้าด้วยดินเหนียวพร้อมหน้ากากที่มีช่องว่างตรงตาและปาก
ขั้นตอนสุดท้ายคือการทาตัวมัมมี่ให้เป็นสีดำหรือสีแดงที่โดดเด่นโดยใช้เม็ดสีจากแร่ธาตุ สีเหลืองสดจากแมงกานีส และไอรอนออกไซด์ ซึ่งวิธีการของชาวชินชอโรนั้นแตกต่างจากวิธีทำมัมมี่ของชาวอียิปต์อย่างเห็นได้ชัด
ชาวอียิปต์ไม่เพียงแต่ใช้น้ำมันและผ้าพันแผลเท่านั้น แต่มัมมี่ยังสงวนไว้สำหรับคนชนชั้นสูงที่เสียชีวิต ในขณะที่มัมมี่ชินชอโรมีทั้งเด็กผู้ชายและหญิง ผู้หญิง เด็กทารกหรือแม้กระทั่งทารกในครรภ์โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานะใดๆของผู้ตาย
“บางครั้งชาวบ้านก็เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับเมื่อก่อนเด็กๆนำหัวกะโหลกมนุษย์มาทำเป็นฟุตบอลเตะเล่น และการถอดเสื้อผ้าออกจากมัมมี่เสมือนมันเป็นสิ่งที่ธรรมดาที่พบเจอได้ทั่วไป แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว หากพวกเขาเจอมัมมี่พวกเขาต้องนำกลับมาบอกว่าพบเจออะไรและต้องไม่แตะต้องร่างนั้น” นักโบราณคดี Janinna Campos Fuentes กล่าว
นอกจากนี้ Ana María Nieto และ Paola Pimentel ผู้ที่อาศัยอยู่เหนือซากศพพวกนี้กล่าวว่า พวกเธอตื่นเต้นมากที่ยูเนสโกได้ตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมชินชอโร อีกทั้งพวกเธอยังเป็นผู้นำสมาคมเพื่อนบ้านที่ใกล้อยู่กับสถานขุดค้น 2แห่งและทำงานใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์จากไซต์ขุดของมหาวิทยาลัย Tarapacá เพื่อช่วยให้ชุมชนเข้าใจถึงความสำคัญของวัฒนธรรมชินชอโรและเพื่อให้มั่นใจว่าสถานที่เหล่านี้มีคุณค่าและจะได้รับการดูแล
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์ในละแวกบ้าน โดยการนำกระจกมาครอบร่างของชินชอโรให้นอนอยู่ภายใต้กระจกเพื่อให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้เยี่ยมชมแบบใกล้ชิด พร้อมกับจะอบรมชาวบ้านให้เป็นมัคคุเทศก์เพื่อให้พวกเขาสามารถโอ้อวดมรดกทางวัฒนธรรมของตนให้ผู้อื่นได้
ในตอนนี้มีการจัดแสดงมัมมี่ชินชอโรเพียงส่วนเล็กๆประมาณ 300 ตัวเท่านั้น และส่วนใหญ่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดี San Miguel de Azarpa ซึ่งผู้เป็นเจ้าของและดำเนินการจัดการคือมหาวิทยาลัยทาราปากา อยู่ห่างจากอาริกาเพียง 30 นาทีโดยรถยนต์ รวมถึงมีการแสดงขั้นตอนการทำมัมมี่ที่น่าประทับใจอีกด้วย
ตอนนี้ในพื้นที่ไวต์ขุดยังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บมัมมี่จำนวนมาก แต่ยังคงไม่สามารถเปิดให้รับชมได้จนกว่าจะมั่นใจว่ามัมมี่ได้รับการเก็บและรักษาอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้มันเสื่อมสภาพ
คุณ Arriazaและนักโบราณดคี Jannina ยังเชื่อมั่นอีกว่า อาริกาแห่งนี้โดยเฉพาะเนินเขาโดยรอบยังมีสมบัติซ่อนเร้นอีกมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ และเราต้องใช้ทรัพยากรมากกว่านี้ในการค้นหาพวกมัน
นายกเทศมนตรี Gerardo Espindola Rojas หวังว่าการเพิ่มมัมมี่ในรายการมรดกโลกจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่และสามารถดูดเม็ดเงินสู่ชุมชนได้มากขึ้น
โฆษณา