2 ธ.ค. 2021 เวลา 13:00 • การเมือง
สรุปจาก 📝WIM EP.51 ทำไม “การวิพากษ์วิจารณ์” ถึงสำคัญ 📢 (feat. จอห์น วิญญู)
======================
1. การวิพากษ์วิจารณ์คืออะไร
======================
- การลงขันความเห็นที่เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์กับส่วนรวม อาจจะไม่ใช่ทุกความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ แต่มันคือการให้ความเห็นเข้าไปตรงกลาง และถ้ามีความเห็นไหนที่มันน่าสนใจ เป็นประโยชน์ แล้วก็อยู่ในตรรกะและหลักการที่เป็นสากล ความเห็นนั้นก็จะช่วยนำพาสังคมให้มันก้าวไปข้างหน้า และได้เรียนรู้เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน
======================
2. ประเภทของการวิพากษ์วิจารณ์
======================
*1. การวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้ได้มาซึ่งความกระจ่าง (clarification)
- มีสิ่งที่เราได้ยินมาแล้วอยากวิพากษ์วิจารณ์กลับไป เพื่อให้มีความกระจ่างชัดยิ่งขึ้นว่าเข้าใจถูกไหม เป็นหลักการที่ถูกต้องไหม นำไปสู่การถกเถียงเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดมากขึ้นเกี่ยวกับจุดยืนของอีกฝ่ายเกี่ยวกับประเด็นหรือหัวข้อต่างๆ
*2. การวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อก่อให้เกิดความคิดริเริ่มหรือไอเดียใหม่ๆ
- เพื่อให้เกิดการพัฒนาหรือความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นกับสิ่งที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่
======================
3. การวิพากษ์วิจารณ์ควรจะสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์เท่านั้นหรือไม่
======================
- อันนั้นอาจจะเป็นโลกในอุดมคติ แต่จริงๆ แล้วทุกคนมีสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าจะสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์ก็ตาม หลังจากนั้นให้เป็นเรื่องของสังคม ในการที่จะคัดกรองความเห็นหรือการวิพากษ์วิจารณ์ของแต่ละคนว่า เขาอยากจะฟังความเห็นของใคร
- ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเป็นความคิดเห็นที่มันสร้างสรรค์เท่านั้น ใครอยากแสดงความคิดเห็นยังไงก็ได้ แต่ให้สังคมเป็นคนตัดสินว่าความเห็นนั้นมันเป็นประโยชน์กับคนในสังคมหรือเปล่า ไม่งั้นบางทีมันจะกลายเป็นว่าจะมีคนที่มาบอกว่าการวิจารณ์แบบนี้ไม่ถูกต้อง การวิจารณ์แบบนี้ไม่ถูกกฎหมาย ต้องโดนลงโทษ แล้วใครที่จะมีสิทธิ์ที่จะตัดสินว่าอะไรดีงาม หรืออะไรที่ไม่ถูกต้อง
- การแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะในโลกยุคสมัยใหม่ในพื้นที่ออนไลน์ คุณต้องยอมรับเลยว่ากระแสที่ตอบรับมามันจะเป็นอย่างไร
======================
4. อะไรเป็นจุดที่ทำให้เริ่มมาทำ SpokeDark TV
======================
- เหตุผลในการทำอินเทอร์เน็ตทีวี เพราะเราอยากมีส่วนในการแสดงความคิดเห็นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคม แต่เราไม่มีแพลตฟอร์มหรือพื้นที่ที่จะถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกไปได้ สำหรับฟรีทีวี โอกาสที่จะได้รายการ หรือเงินที่ต้องใช้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีพื้นที่ให้รายการสไตล์นี้ใน Traditional Media การวิพากษ์วิจารณ์การเมือง สังคม แต่ในเชิงประชดประชันเสียดสี แบบ satire ซึ่งจริงๆ ในโลกตะวันตกก็มีเยอะ แต่ในสื่อ Traditional Media ในบ้านเรา จนถึงทุกวันนี้ที่มีดิจิทัลทีวีแล้ว ก็ยังไม่ค่อยสะดวกใจกับสิ่งนี้สักเท่าไหร่ เราก็เลยไปพื้นที่ที่อื่น ที่เปิดกว้างและเสรีมากกว่า นั้นก็คือโลกอินเทอร์เน็ต
- ตอนนั้นที่ตอบโจทย์ก็คือ Youtube เราก็เลยเริ่มทำ Youtube มา แล้วก็ค่อยเริ่มมีรายการเจาะข่าวตื้น ซึ่งก็คล้ายๆ กัน เป็นการแสดงความคิดเห็น เป็นตัวแทนความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนที่ยังเรียนอยู่ในชั้นมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งในชั้นมัธยมก็สามารถแสดงความคิดเห็นกันได้ เพราะอย่างเทปที่ดังมากๆ ของเราก็คือเทป O-Net มีเสียงตอบรับจากคนรุ่นใหม่ที่เป็นระดับมัธยมเยอะมาก ซึ่งเขาก็สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ที่มันถูกโยงกับการเมืองด้วย
- ตอนนั้นผมยังอยู่มหาวิทยาลัยก็อยากจะทำรายการและส่งเสียงว่า เสียงและความเห็นของคนรุ่นใหม่ก็มีประโยชน์ ไม่จำเป็นว่าถ้ามันเป็นเรื่องการเมืองหรือสังคม ต้องเป็นคนที่เรียนจบและมีงานทำงานแล้วถึงจะมีเสียงที่ดังหรือมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เราอยากเป็นเหมือนตัวแทนของคนรุ่นใหม่ เป็นตัวอย่างให้คนรุ่นเดียวกันหรือรุ่นน้อง ว่าถ้าเราทำได้ เขาก็ทำได้ ลองวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นของเราออกไปหลังจากที่เราเสพข่าวหรือว่าได้เห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้น ก็น่าจะดีและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ยิ่งมีความเห็นโยนเข้าไปตรงกลางมากขึ้นเท่าไหร่ แล้วมีการรับฟังความคิดเห็นเหล่านั้น เอามาวิเคราะห์ มาตัดสินใจ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มันย่อมจะนำพาสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า
- แต่ถ้าเราอยู่ในสังคมที่พยายามจะลงขัน วิพากษ์วิจารณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นของเราลงไป แต่ผู้ที่มีอำนาจไม่ฟัง และคุยแต่พวกตัวเอง ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีความก้าวหน้า มีแต่ถดถอยลง คนที่จะโตขึ้นก็จะมีแต่คนที่พูดคุยกันเองในกลุ่มเล็กๆ และคนส่วนใหญ่ในสังคมก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง กลายเป็นว่าสังคมและประเทศก็จะถดถอยลงดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
======================
5. พัฒนาการของสังคมกับการวิพากษ์วิจารณ์
======================
- มันพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต โชคดีมากที่ประเทศไทย ณ ช่วงเวลาที่อินเทอร์เน็ตเข้ามา ยังไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการเหมือนปัจจุบันที่เราต้องเผชิญมา 7-8 ปี เพราะถ้าเราเป็นเหมือนจีน คือเขาสามารถบล็อก Facebook, Google, Youtube ต่างๆ เราก็ลำบาก
- ณ เวลานี้อินเทอร์เน็ตมันถูกเปิดกว้าง ทำให้การแสดงความคิดเห็นมันเกิดขึ้นตั้งแต่ สเตตัสใน Facebook, ไทมไลน์ใน Twitter, สตอรี่ใน Instagram ไปจนถึง TikTok ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น แปลข่าวต่างประเทศ ตัดคลิปความรุนแรง การทำคลิปวิดีโอ การวาดการ์ตูน การทำคลิปล้อเลียน การแสดงออกพวกนี้ก็เป็นการวิพากษ์ในทางหนึ่งเหมือนกัน
- เห็นการเติบโตเกิดขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีช่วงนึงที่ผมรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวมากหลังจากการทำรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพราะผมเห็นหลายคน รุ่นพี่ที่ผมเคารพ หรือน้องๆ เพื่อนๆ ที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร การปล้นอำนาจจากประชาชน รู้สึกช็อกและนอยมาก ทำให้เราสะเทือนใจ เพราะมันดูขัดกับสิทธิเสรีภาพที่เราควรจะมี โดยเฉพาะประมาณกลางปี 2562 เริ่มเห็นความเข้มข้นในการแสดงความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์จากฝั่งประชาชน คนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่เด็กประถม มัธยม จนเด็กมหาวิทยาลัย First Jobber คนที่ตกงาน มาเต็มไปหมด มีความเข้มข้นและดุดันมากขึ้น การแสดงความคิดเห็นมันสั่นสะเทือนถึงคนที่กุมอำนาจอยู่ข้างบน เริ่มโยกไปมา อยู่ที่มันจะล้มไปทางไหน และใครจะเป็นคนที่เจ็บที่สุด ผมเห็นการเติบโตที่มันเบ่งบานและจะมีแต่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถที่ควบคุมความคิดของประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว
======================
6. การวิจารณ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
======================
- การวิจารณ์คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้หรือการตั้งคำถาม การวิจารณ์สูตรคณิตศาสตร์ สูตรวิทยาศาสตร์ การวิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม การวิจารณ์ตรรกะ แนวความคิด การวิจารณ์ความคิดเห็น ความเชื่อ ทั้งหมดพวกนี้จะนำพาไปสู่การถกเถียงที่จะทำให้เกิดการเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น และเมื่ออยู่ในระดับเดียวกัน ที่เราเข้าใจกัน แล้วจะทำยังไงให้สิ่งที่เราเห็นต่าง มันสามารถก้าวไปข้างหน้า และมีผลลัพธ์ที่ดีกว่า ความเชื่อหรือความคิดเห็นของเรา มีแต่จะทำให้ก้าวไปข้างหน้า อยู่ที่ว่าจะพร้อมคุยกันหรือเปล่า พร้อมรับฟังกันไหม แต่ในขณะเดียวมันก็ต้องมีกติกา คุยกันอย่างไร ก็ต้องให้เกียรติ ต้องรับฟังกัน
- แต่อันนี้ก็ต้องอยู่ในสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากพอ แต่ทุกวันนี้ผมเชื่อว่าในระยะเวลาที่ผ่านมา คนแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ โยนความรู้สึกนึกคิดลงขันลงไปตรงกลางสังคมเยอะแยะมากมาย ต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลาหลายปี เพราะเขาต้องการจะเห็นสังคมที่มันดีขึ้น เขารู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เขาก็วิพากษ์ออกไป
เพียงแต่ต้นตอปัญหาหรือคนที่กุมอำนาจ ไม่ใช่เสียงของประชาชน ไม่ใช่ตัวแทนของประชาชน เป็นแค่ตัวแทนของคนกลุ่มนึง กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่คิดจะฟังเสียงของคนส่วนรวม พอเป็นแบบนี้คนก็เริ่มมีอารมณ์ มีความโกรธมากยิ่งขึ้น เพราะวิพากษ์วิจารณ์ พยายามจะแสดงความคิดเห็นไป เพื่อให้สังคมมันดีขึ้น แต่เขาไม่ฟังเราเลย บอกว่าเสียงดังน่ารำคาญ ส่งคนไปเคลียร์หน่อย บล็อกนู่นนี่ พอเป็นแบบนี้คนก็รู้สึกว่าทำไมไม่ฟัง ต้องฟังสิ ฟังกันบ้าง คนก็โกรธขึ้นมา มีอารมณ์ขึ้นมา เริ่มขยับไปในทิศทางอื่น พยายามที่จะดึงความสนใจของคนมีอำนาจที่ไม่เคยให้ความสนใจเขาให้มาฟัง และยอมรับความคิดเห็น ซึ่งมันเป็นเสียงส่วนใหญ่ของสังคม ถ้าคุณเป็นตัวแทนของเสียงส่วนใหญ่ในสังคม ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้
- อันนี้เป็นการยกตัวอย่างว่ามันจะนำพามาสู่การเปลี่ยนแปลงได้ยังไง เพราะถ้าอยู่ในสังคมประชาธิปไตย เราถกเถียงแลกเปลี่ยน วิพากษ์วิจารณ์กัน คนที่กุมอำนาจและเป็นตัวแทนของประชาชน เคารพกติกาของสังคม ก็ต้องรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์และเสียงของคนส่วนรวม นั้นคือความแตกต่างของสังคมแบบประชาธิปไตยและสังคมแบบเผด็จการ
======================
7. ข้อแนะนำในการวิพากษ์วิจารณ์
======================
- ถ้าเป็นระดับส่วนตัว มันอาจจะมีความละเอียดอ่อนมากกว่า แต่ถ้าเป็นในระดับส่วนรวม ทุกๆ สังคมควรจะอยู่ภายใต้ความเป็นสังคมโลก ความคิด ความเชื่อมันควรเป็นไปในทางสากล เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดคุยกันก็ควรจะตั้งอยู่บนพื้นฐานและมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับกันในสากลโลกแล้ว การวิพากษ์วิจารณ์นั้นก็ถือว่าสามารถทำได้เลย
- แต่ถ้าอยู่บนตรรกะที่มันวิปริต เช่น คนเราไม่เท่ากัน ถ้าคุณวิพากษ์แบบนั้นออกไป ก็ต้องยอมรับสิ่งที่มันจะสะท้อนกลับมา เพราะโดยรวมของโลกส่วนใหญ่เขาเห็นว่าคนทุกคนเท่ากัน การแสดงความคิดเห็นก็ต้องให้เกียรติกันและกัน การวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่บนพื้นฐานหลักการที่เป็นสากล นั้นจะทำให้เราก้าวหน้าและมีแต่ progress แต่ถ้าเรายังคิดอะไรที่มันวิปริตและไม่มีใครยอมรับ แล้วก็โวยวายว่าทุกคนต้องฟังฉัน เราก็จะไม่ไปไหน เหมือนเด็กที่นั่งงอแงอยู่กลางถนนและขวางทางทุกคน มีแต่สร้างปัญหาให้คนส่วนร่วม
- การจะวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าอยู่บนพื้นฐานของหลักการ ตรรกะที่เป็นสากล คุณวิพากษ์วิจารณ์ไปเลย เพราะมันจะมีแต่ส่งเสริม ให้การพูดคุยนั้นมันพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ และนำพาไปสู่สิ่งที่มันก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ประเทศที่เจริญแล้วเขาก็เป็นแบบนี้ เคยเผชิญกันมาตั้งนานแล้ว เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้นได้ แต่น่าเสียดายที่เรายังไม่ได้อยู่ในสังคมที่เปิดกว้างที่ให้ทุกคนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ เรายังถูกจำกัดอยู่
======================
8. การรับมือกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์
======================
- ผมโดนวิพากษณ์วิจารณ์บ่อยมาก มีหลายระดับ ผมเข้าไปดูความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่บนหลักการที่เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับ ถ้าเขาทักและวิจารณ์เรามาตรงจุดนี้ ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่เราก็ต้องรับฟัง แต่ถ้าเป็นอะไรที่ผิดเพี้ยน ผมก็แค่ไม่ให้ค่ามัน มันไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาให้กับตัวคุณในฐานะบุคคล แถมยังเป็นอันตรายต่อสังคมด้วย
======================
9. เรื่องน่าประหลาดใจที่เคยเจอกับการวิพากษ์วิจารณ์
======================
- ผมทำรายการข่าวที่บางคนอาจจะไม่ได้มองว่าเป็นรายการข่าวจริงๆ แต่ผมอ่านข่าวทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ทีวี หรืออินเทอร์เน็ต ผมจะเห็นความแปลกประหลาดว่าทุกวันนี้บางทีเราเห็นการนำเสนอต่างๆ ของสื่อ ในเรื่องของการแสดงความคิดเห็นที่มันไม่ได้อยู่บนหลักการสากลเยอะมาก แต่มันก็อาจจะช่วยไม่ได้ เพราะสื่อก็อาจจะต้องระมัดระวังอะไรบางอย่างเป็นพิเศษ หรือมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เราเห็นการเอาคำพูดของคนที่แสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่างที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ถูกเอามานำเสนอเยอะมาก ก็น่าเสียดายพื้นที่เหล่านั้น การแสดงความคิดเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ จะไปอยู่ในสื่ออิสระซะมากกว่า เราจะไม่ได้เห็นในสื่อกระแสหลัก ซึ่งเห็นแต่การแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ที่มันผิดตรรกะ ผิดเพี้ยน ขัดกับหลักการเต็มไปหมดเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เลยอยากฝากทุกคนให้เลือกติดตามกันให้ดี และเป็นหน้าที่ของพวกคุณที่เป็นประชาชน ที่กำลังรับฟัง ต้องใช้วิจารณญาณในการคัดกรองว่าความคิดเห็นไหนที่เป็นประโยชน์และควรรับฟังเพื่อที่จะเอามาพัฒนาความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ และจะขับเคลื่อนสังคมได้ยังไงบ้าง
- ผมมีความหวังกับคนรุ่นใหม่มาก เพราะต่อมเอ๊ะ เขาเยอะมากกว่าคนรุ่นเก่า ยิ่งถ้าเทียบกับคนรุ่นปู่รุ่นย่าเรา ต่อมเอ๊ะจะไม่ค่อยทำงาน ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ เข้าใจได้ สำหรับผมเองกลุ่มคนรุ่นใหม่คือคนที่จะมาขับเคลื่อนสังคมในยุคต่อไปและก็ใกล้เข้ามาทุกที ผมมีความเชื่อมั่นในสติปัญญาและวิจารณญาณของคนรุ่นใหม่ว่าเขาคิดและแยกแยะได้ รู้จักเสพสื่อและบริโภคข่าวสารอย่างฉลาด เลยไม่ได้ห่วงขนาดนั้น แต่ที่ห่วงคือกว่าเขาจะไปถึงจุดที่จะสามารถขับเคลื่อนสังคมได้แบบเต็มที่ มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่มากกว่า
======================
10. วิพากษ์วิจารณ์, Critical Thinking, การตั้งคำถาม มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
======================
- อาจจะไม่ได้เหมือนกันสักทีเดียว แต่มีความคล้ายคลึงและเกี่ยวโยงกัน ผมมองว่าทั้งสามสิ่งเป็นวัฏจักร เป็นสิ่งที่หมุนวนกันไป ต่อเนื่องกันเหมือนวงล้อที่จะขับเคลื่อนสังคม ถ้าการตั้งคำถามถูกตัดออกไปจากวงล้อ มันก็จะไปต่อไม่ได้ การที่ Critical Thinking ไม่มี ก็ไปต่อลำบาก การวิพากษ์วิจารณ์ถ้ามันไม่สามารเกิดขึ้นได้ สังคมก็ไม่สามารถบรรลุไปได้ เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกัน เมื่อมีการตั้งคำถาม มันก็จะนำไปสู่ Critical Thinking และการวิพากษ์วิจารณ์ก็อาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่องและทำให้เกิดคำถามขึ้นมาอีก แล้วก็มานั่งคิด แล้วก็เกิดการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันต่อ เป็นวงจรที่น่าจะช่วยขับเคลื่อนสังคมไปได้อีกทางหนึ่ง
- แต่ละอย่างเป็นจุดเริ่มต้นของวงล้อของสังคม ไม่ได้มีแค่ประเด็นเดียวที่มันขับเคลื่อนสังคม ในสังคมมันมีหลากหลายเรื่อง หลากหลายประเด็น ที่มันจะทำให้เราก้าวต่อไปข้างหน้าได้ อย่างเรื่องการสมรสของเพศเดียวกันก็เป็นประเด็นนึง การทารุณกรรมสัตว์ก็เป็นอีกเรื่องนึง การมีค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นเรื่องนึง การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเรื่องนึง อาจจะเริ่มจากการตั้งคำถามมาก่อน และมา critical thinking วิพากษ์วิจารณ์ เรื่องนี้ก็มูฟไปข้างหน้า อีกอันอาจจะเริ่มจากคนคิดขึ้นมาว่ามันเป็นเรื่องสำคัญนะ ที่ทุกคนต้องได้รับการยอมรับและมีความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย เพราะฉะนั้นการที่คนเพศเดียวกันจะสมรสกัน ก็ต้องเกิดขึ้นได้ อาจจะเกิดขึ้นแบบนี้ก่อน แล้วก็นำพาไปสู่การเคลื่อนไหวต่อๆ ไปในสังคม
======================
11. จะมีวันที่คุณจอห์นไม่ต้องทำการวิพากษ์วิจารณ์อีกต่อไปไหม
======================
- ผมไม่คิดว่าจะมีวันที่อะไรจะเข้าที่ทุกอย่าง มันจะต้องเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ ในช่วงชีวิตนี้ไม่รู้ว่าผมจะทำได้ถึงเมื่อไหร่ แต่ผมแค่คิดว่าผมก็ยังคงต้องทำงานวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีคนสนับสนุนอยู่ ก็คงทำ สังคมอื่นเขาไปอวกาศกันแล้ว แต่ประเทศไทยยังมีเรื่องว่าคนเท่ากันอยู่หรือเปล่า
เรายังเป็นยุคหินทางความคิด การจับขังคนที่เห็นต่าง นี่มันยุคของพวกป่าเถื่อน มนุษย์ถ้ำ สมัยก่อนที่ไม่พอใจอะไรก็จับขัง มันคือความแตกต่างกันจริงๆ เขาไปกันไกลแล้ว เรายังยุคหินอยู่เลย กลายเป็นว่าความคิดเห็นที่แตกต่างก็ทำให้สามารถติดคุกกันได้ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่ากว่าที่เราจะไปถึงจุดนั้นออกไปนอกโลกได้ เขาคงไปกันไกลแล้ว เราก็อาจจะเพิ่งมาเทียบเท่าเขาในเชิงทัศนคติ ความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกัน สิทธิมนุษยชน
- ถึงแม้เป็นสังคมที่เจริญก้าวหน้าแล้ว เขาก็ยังมีเรื่องให้วิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ในวงการวิทยาศาสตร์ก็ยังมีการตั้งคำถาม มีการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้คิดอะไรใหม่ๆ ขึ้น วงการแพทย์ วงการศึกษา ก็มีการคิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ทำยังไงให้เกิดการเรียนรู้ได้มากขึ้น วงการทหาร ความมั่นคงก็มี ย่อมต้องมีการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ที่อยู่บนพื้นฐานหลักการ เข้าใจกัน เคารพซึ่งกันและกัน จะได้นำพาไปสู่ขั้นต่อๆ ไปของสังคมเราได้
======================
12. ฝากส่งท้าย
======================
- ใครที่อยากดูคอนเทนต์พิเศษที่เราเริ่มถ่ายทำไปแล้วอยู่ในช่วง post-production อยู่ สามารถไปสนับสนุนเราแบบรายเดือนได้ที่ Youtube Membership หรือ Facebook Supporter ไม่ว่าจะเป็น SpokeDark TV หรือ Daily Topics อยากจะเชิญชวน รับรองว่าจะมีเนื้อหาที่น่าสนใจอยู่เยอะแยะมากมาย
- เรื่องการวิพากษ์วิจารณ์ อยากจะเชิญชวนให้ทุกคนแสดงความเห็น ส่งเสียงกันเยอะๆ เสียงของพวกคุณมีค่า โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ ที่คนที่มีอำนาจเขาพยายามมองข้าม ละเลย ไม่เห็นค่าเสียง การวิพากษณ์วิจารณ์ และความคิดเห็นของเราสักเท่าไหร่ ในเมื่อเขาพยายามจะลด volume ให้มันเบาลง เราก็ต้องยิ่งส่งเสียงให้มันดังยิ่งขึ้น เชื่อว่าการวิพากษ์วิจารณ์และการแสดงความคิดเห็นที่มันอยู่บนหลักการที่คนส่วนใหญ่ โลกสมัยใหม่เขาให้การยอมรับ มันคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้สังคมโลกของเรามันเจริญขึ้นเรื่อยๆ
เราต้องช่วยกันถกเถียงให้มากขึ้น เพื่อให้เสียงที่มันผิดปกติ เสียงที่มันวิปริต การวิพากษ์ที่ผิดเพี้ยน ผิดธรรมชาติ ให้มันถูกทำให้เบาลง เพื่อให้เสียงแห่งหลักการ แห่งสติ มันดังมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นแกนหลักของสังคม ที่มันจะขับเคลื่อนให้สังคมไปข้างหน้าได้ ให้สังคมไทยของเรามันเจริญมากยิ่งขึ้น ทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศที่พัฒนาซะที เรายังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาแบบนี้กี่ยุคกี่สมัยแล้วไม่รู้
- แก่นสำคัญที่จะทำให้สังคมเราไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งและสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์กับคนส่วนรวมจริงๆ ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ การส่งเสียงแสดงความคิดเห็น เพื่อให้สังคมเต็มไปด้วยสติปัญญาและหลักการที่มันถูกต้อง ทุกคนต้องช่วยกัน ฝากความหวังไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เราต้องช่วยกันคนละเสียง ยังไงมันก็ดังแน่นอน
โฆษณา