Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
beartai BRIEF
•
ติดตาม
4 ธ.ค. 2021 เวลา 08:01 • ธุรกิจ
⦿ รีด แฮสติงส์ ชายที่เริ่มสร้าง Netflix เพราะรับไม่ได้กับการเสียค่าปรับเช่าวิดีโอ และการ Lay Off พนักงานที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท
• รีด แฮสติงส์ (Reed Hastings) ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix เคยเล่าไว้หนังสือ ‘No Rules Rules: Netflix and the Culture of Reinvention’ ว่า เขาเริ่มต้นสร้าง Netflix เพราะได้แรงบันดาลใจจากการลืมคืนวีดีโอภาพยนตร์ที่เช่ามา และต้องเสียค่าปรับถึง 40 เหรียญ ซึ่งในตอนนั้นเขารู้สึกรับไม่ได้และคิดว่าธุรกิจแบบนี้จะอยู่ได้อย่างไร หากยังต้องหากินกับความผิดพลาดของของลูกค้า ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสร้างโมเดลธุรกิจที่ทำให้ลูกค้า ‘ยอมจ่าย’ แบบสบายใจ
• ต่อมาแฮสติงส์จึงได้เริ่มต้นทำธุรกิจให้เช่า DVD โดยจัดส่งทางไปรษณีย์และเก็บค่าบริการเหมารายเดือนแบบไม่จำกัดจำนวนแผ่นที่เช่า สุดท้ายแล้วในเดือนพฤษภาคม ปี 1998 แฮสติงส์และทีมงานของเขาจึงได้ก่อตั้ง Netflix ขึ้นมา
• โดย Netflix ถือเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีการให้เช่า DVD ออนไลน์โดยใช้วิธีการส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งในปี 2001 Netflix กลายเป็นบริษัทที่มี DVD ภาพยนตร์ทุกเรื่องในตลาดและมีพนักงาน 120 คน
• แต่เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง ต่อมาบริษัทต้องเจอกับวิกฤตทางการเงินที่เรียกว่า ‘ฟองสบู่ดอตคอม’ ในปี 2002 ซึ่งเป็นภาวะฟองสบู่แตกในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี เหตุเกิดจากในสมัยนั้นทุกคนมุ่งไปพัฒนาซอฟต์แวร์และหันไปเล่นหุ้นกลุ่มเดียวกันทั้งตลาด ไม่ว่าจะคนธรรมดาไปจนถึงผู้จัดการกองทุนก็เล่นหุ้นกลุ่มนี้
• สุดท้ายใครจะรู้ว่ามูลค่าหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท และเป็นเพียงกำไรที่เกิดจากมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นเท่านั้น เมื่อฟองสบู่แตก ทุกคนล้มครืน อเมริกาต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีต่อมา คนที่ทำงานในสายเทคโนโลยีมากมายต้องตกงานรวมถึงพนักงานของ Netflix ด้วย
• จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอาแฮสติงส์ ถึงกับกุมขมับ เพราะเขาจำเป็นต้องไล่พนักงานออกเพื่อให้บริษัทสามารถรอดพ้นวิกฤตที่เกิดขึ้น แม้ตัวเขาเองจะไม่เห็นด้วยกับนโยบาย Lay Off คนในครั้งนี้เพราะคิดว่าการไล่คนออกจะสร้างความเจ็บปวดให้พวกเขาอย่างมาก แม้จะยื้ออยู่นานแต่สุดท้ายแล้วแฮสติงส์ก็ต้องตัดสินใจทำเพื่อให้บริษัทสามารถไปต่อได้
• สิ่งที่แฮสติงส์ทำในตอนนั้นคือการเก็บคนเก่งสุด ๆ ไว้ 80 คน และปลดคนที่ไม่ใช่ 40 คนออกไป เพื่อให้บริษัทสามารถสร้างผลงานได้ดีที่สุด และสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ แฮสติงส์มองว่าแนวทางนี้ก็เหมือนกับการคัดเลือกนักกีฬาทีมชาติ ที่หากไม่ใช้คนเก่งที่สุดตลอดเวลาก็จะไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลอย่างต่อเนื่องได้
• ปรากฏว่าพอปลดพนักงานออก แทนที่ทุกอย่างจะแย่ลง กลับตรงกันข้าม บรรยากาศที่ทำงานดีขึ้นจนน่าตกใจ นอกจากจะลดต้นทุนได้แล้ว ตอนนี้แฮสติงส์เหมือนได้แรงงานเพิ่มขึ้นมาสามเท่า เพราะทุกคนยังทำงานด้วย passion energy และมีความคิดที่แปลกใหม่จนทำให้ Netflix ก้าวขึ้นมาปฏิวัติวงการสื่อบันเทิงได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี อีกทั้งจากเหตุการณ์นี้ทำให้แฮสติงส์หันมาให้ความสนใจกับเรื่องวัฒนธรรมองค์กรมากขึ้นอีกด้วย
• แพตตี้ แมกคอร์ด (Patty McCord) หนึ่งในฝ่ายบุคคลยุคแรกของ Netflix ผู้มีส่วนในการคัดเลือกพนักงานในครั้งนั้น เล่าว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือพฤติกรรมพนักงาน ที่หันมาใส่ใจกับเรื่องของแรงบันดาลใจในการทำงานมากขึ้น ราวกับว่า Netflix ในตอนนั้นคือการรวมตัวกันของคนมีความสามารถที่มองเห็นเป้าหมายในทิศทางเดียวกัน และใช้จินตนาการในการขับเคลื่อนองค์กร
• แฮสติงส์เคยนิยามสิ่งที่เกิดขึ้นโดยการเปรียบเทียบว่า ความสามารถนั้นระบาดได้ เหมือนกับโรคระบาด และคนที่ทำตัวไม่ดี (เขาใช้คำว่า ’ตัวดูดเลือด’) แค่คนเดียวก็สามารถทำลายองค์กรได้เลย
#beartaiBRIEF #LifeLessons #รีดแฮสติงส์ #Netflix
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย