11 ธ.ค. 2021 เวลา 10:18 • ประวัติศาสตร์
“เมารี (Maori)” ชนเผ่านักรบแห่งโพลีนีเซีย
7
ชนพื้นเมือง คือ คำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับดินแดนนั้นๆ
ซึ่งมีวัฒนธรรม ภาษา ประเพณี อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง…
4
ชนพื้นเมือง เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแบ่งแยกวัฒนธรรมของผู้ที่อยู่ก่อนและผู้ที่มาทีหลัง…
1
ชนพื้นเมือง จึงเป็นคำที่ถูกแทนกลุ่มคนในดินแดนที่ไร้ซึ่งความอารยะ และกลายเป็นเหตุผลให้ผู้ที่มาทีหลังซึ่งมีความอารยะได้เข้าควบคุมและยึดครองดินแดนเหล่านั้นอย่างชอบธรรม…
2
เรื่องราวของชาวอินเดียนในอเมริกา…
3
เรื่องราวของชาวอะบอริจินในออสเตรเลีย…
2
เรื่องราวของชนเผ่าต่างๆ ในแอฟริกา…
4
เรื่องราวเหล่านี้ ได้เกิดในยุคสมัยแห่งการสำรวจทางทะเลและการก่อร่างอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่การเสาะแสวงหาและการแย่งชิงดินแดน…
ก่อเกิดเป็นเรื่องราวการต่อสู้ การสูญเสีย การปรับตัว และการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของกลุ่มคนที่ถูกเรียกแทนว่าชนพื้นเมืองเหล่านี้…
ทุกท่านครับ เรื่องราวต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องราวของชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่ง…
ชนพื้นเมืองกลุ่มนี้มีประวัติศาสตร์ผูกพันกับดินแดนเกาะเล็กๆ ทางซีกโลกใต้…
ชนพื้นเมืองกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นไม่เหมือนใคร…
ชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ถูกกระแสของจักรวรรดินิยมเข้ามาควบคุม…
ชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ต้องต่อสู้กับกระแสเหล่านั้นจนชาติพันธุ์ของตนเกือบล่มสลาย…
ชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ที่ปราชัยต่อกระแสนั้น และต้องปรับตัวตามอัตลักษณ์ของผู้ซึ่งมาทีหลัง…
และนี่ คือเรื่องราวของ “เมารี (Maori)” ชนเผ่านักรบแห่งโพลีนีเซีย
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง…
ภาพจาก Wallpaper Flare
ก่อนที่ผมจะเล่าถึงเรื่องราวของชาวเมารี ผมขอเล่าถึงสภาพภูมิศาสตร์ของสถานที่ในเรื่องราว เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจและเห็นภาพมากยิ่งขึ้น โดยสถานที่ที่ว่านี้คือ "โอเชียเนีย (Oceania)" นั่นเองครับ
1
โดยโอเชียเนีย เป็นชื่อที่ใช้เรียกประเทศและเกาะที่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเราสามารถแบ่งกลุ่มของโอเชียเนียได้ดังนี้ครับ
1. ออสเตรเลีย (Australia)
2. เมลานีเซีย (Melanesia)
3. ไมโครนีเซีย (Micronesia)
4. โพลีนีเซีย (Polynesia)
ซึ่งแต่ละชื่ออยู่ตรงไหน กินพื้นที่ประมาณเท่าไหร่ ทุกท่านสามารถดูภาพประกอบด้านล่างได้เลย
1
แต่สถานที่ที่ผมต้องการเน้นและอยากให้ทุกท่านได้จำภาพรวมเอาไว้ เพราะสถานที่ที่ว่านี่แหละครับ จะเป็นแบล็กกราวด์ของเรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้
โดยเรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มต้นและดำเนินไปในสถานที่ที่ชื่อว่า "โพลีนีเซีย (Polynesia)"
2
ภาพจาก Wikipedia (แผนที่โอเชียเนีย)
โดยโพลีนีเซียที่ว่านี้ จะมีลักษณะพื้นที่คล้ายๆสามเหลี่ยมครับ และถือว่าเป็นจุดที่กินพื้นที่กว้างที่สุดในโอเชียเนีย รวมถึงมีความเจริญในด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์สูงที่สุดแล้วครับในบรรดาก๊วนๆของโอเชียเนีย
ซึ่งหากผมเอ่ยชื่อประเทศและเกาะในโพลีนีเซีย ผมเชื่อว่าทุกท่านคงจะรู้จักอย่างน้อย 1-2 ชื่อแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น...
หมู่เกาะฮาวาย...
นิวซีแลนด์...
2
เกาะอีสเตอร์...
ซามัว...
ตองกา...
ตูวาลู...
โตเกเลา...
ฟิจิ...
2
และอื่นๆ ที่อาจไม่ได้กล่าวถึง...
ทั้งหมดที่ว่านี่แหละครับคือโพลีนีเซีย
เอกลักษณ์ของดินแดนในโพลีนีเซียจะมีจุดที่คล้ายกัน คือ เป็นวัฒนธรรมแบบชนเผ่าและชาวเกาะ...
แต่วัฒนธรรมเด่นๆที่เป็นไฮไลท์ของโพลีนีเซียนั้นจะเป็นการเต้นรำครับ!
1
ซึ่งการเต้นรำที่ว่าในปัจจุบันถือว่าดังระดับโลกเลยทีเดียว!
ไม่ว่าจะเป็นระบำตาฮิติและระบำฮูล่าของฮาวาย (ที่เน้นการโยกเอวส่ายสะโพกเยอะๆ)
1
ซึ่งการเต้นรำเหล่านี้ เราอาจจะคุ้นเคยในชื่อของระบำชาวเกาะนั่นแหละครับ...
2
อีกทั้งโพลีนีเซียยังเด่นในเรื่องของความรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์ โดยมีทั้งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ รวมถึงชนเผ่านักรบที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย
3
แต่บรรดาชนเผ่านักรบเหล่านั้น มีหนึ่งชนเผ่าที่ถือได้ว่ามีเอกลักษณ์และโดดเด่นเป็นอย่างมากทั้งเรื่องของวัฒนธรรม วิถีชีวิต และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์...
ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงตัวเอกของเรื่องราวในครั้งนี้
โดยพวกเรารู้จักพวกเขาในชื่อ "ชาวเมารี (Maori)"
2
ภาพจาก Jooin (ระบำฮูล่า)
ภาพจาก e-Tahiti Travel (ระบำตาฮิติ)
ภาพจาก Pinterest (ชาวเมารี)
หากเล่าย้อนไปถึงต้นกำเนิดของกลุ่มคนที่เราเรียกว่า "ชาวเมารี" นั้น มีทั้งเป็นเรื่องเล่า ตำนาน และทฤษฎีที่ค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียวครับ
บ้างก็ว่าชาวเมารีเป็นเผ่าพันธุ์ที่สาบสูญของดินแดนในตะวันออกกลาง...
1
บ้างก็ว่าชาวเมารีเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากอินเดีย...
2
หรือเรื่องเล่าที่เป็นตำนานว่าชาวเมารีพากันอพยพมาจากดินแดนที่เรียกว่า "ฮาไวกิ" ซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ตรงไหน แต่สันนิษฐานได้ว่าอยู่ทางตะวันออกของโพลีนีเซีย
3
โดยชาวเมารีพากันล่องเรือแคนู (ซึ่งเรียกกันว่า "วากา") จากฮาไวกิลงไปทางใต้ของโพลีนีเซีย แล้วบังเอิญไปพบเกาะแห่งหนึ่งทางตอนใต้ ซึ่งพอกะลาสีขาจรยุคโบราณเหล่านี้พบเห็นความอุดมสมบูรณ์ของเกาะเลยตัดสินใจตั้งรกรากมันที่นี่ซะเลย...
1
ซึ่งชาวเมารี ได้เรียกเกาะที่เป็นบ้านแห่งใหม่ของตนเองว่า "เอาเตอารัว (Aotearou)"
การล่องเรือแคนู (วากา) ของชาวเมารี
คราวนี้เรามาพูดถึงวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวเมารีกันบ้างครับ...
1
โดยความเชื่อหลักๆของชาวเมารี คือ จะเชื่อในพลังอำนาจอันลี้ลับที่เรียกว่า "มานา (Mana)"
11
ซึ่งมานาที่ว่านี้ คือพลังที่แฝงอยู่ในทุกสรรพสิ่ง...
เรียกได้ว่า สากกระเบือยันเรือแคนูนั้นล้วนมีมานาแฝงอยู่...
17
ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า ภูเขา ต้นไม้ เสื้อผ้า ขวาน ผลไม้ สัตว์ เนื้อสัตว์ ฯลฯ
วิถีชีวิตของชาวเมารีจึงยึดถืออยู่กับมานาตั้งแต่เกิดจนตายเลยล่ะครับ
โดยแต่ละคนนั้นก็จะมีมานาไม่เท่ากัน ซึ่งมานาที่อยู่ในคนนั้นจะยึดตามความสามารถ (Stats) โดยรวมของแต่ละคน ทั้งเรื่องการต่อสู้ ล่าสัตว์ เต้นรำ หน้าตา รวมถึงอายุ...
1
ซึ่งคนที่มีมานามากกว่าชาวบ้านชาวช่องก็มักจะได้เป็นหัวหน้าเผ่า...
เปรียบมานาแบบหยาบๆ คงเหมือนประมาณพวกยศฐาบรรดาศักดิ์นั่นแหละครับ แต่มานาจะลงลึกในเรื่องจิตวิญญาณและธรรมชาติเข้าไปด้วย
3
โดยมานาสามารถถ่ายทอดจากร่างกายคนไปสู่สิ่งของได้ ทำให้ของที่หัวหน้าเผ่าสัมผัสทั้งหมดจะมีมานาที่ถ่ายทอดจากหัวหน้าเผ่าแฝงอยู่ (จะเรียกของนั้นว่า "ทาบู (Tabu)"
2
เพราะฉะนั้น พวกที่มีมานาต่ำๆ จึงถูกห้ามแตะต้องสิ่งของที่หัวหน้าเผ่าสัมผัสโดยเด็ดขาด! เพราะมานาที่เอ่อล้นมากเกินไปในสิ่งของนั้นๆ จะทำให้เจ็บป่วยและตายไปในที่สุด
2
เรียกได้ว่า พลังลึกลับที่เรียกว่า "มานา" เป็นความเชื่อที่กำหนดวิถีชีวิตของชาวเมารีแทบจะทั้งหมดเลยล่ะครับ...
2
ภาพจาก Waatea News (ฮองงิ การทักทายของชาวเมารี ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนลมหายใจและสื่อถึงมานาของแต่ละฝ่าย)
อีกเอกลักษณ์ที่สำคัญและโดดเด่นของชาวเมารี คือ รอยสักบนใบหน้าที่เรียกว่า "โมโก (Moko)"
1
โดยโมโกนั้นไม่ใช่เป็นเพียงรอยสักที่สักเอาไว้เก๋ๆ เท่านั้น แต่เป็นรอยสักที่บอกเล่าเรื่องราวและตัวตนของเจ้าของรอยสัก ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ อาชีพ สถานะทางสังคม เกียรติยศชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งบอกเล่าประวัติศาสตร์ของชนเผ่าตนเอง
2
เรียกได้เลยแหละครับว่า โมโก เป็นการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ผ่านใบหน้าของมนุษย์...
1
แต่หลายท่านอาจตั้งคำถามว่า จะบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้ยังไง ในเมื่อร่างกายมนุษย์มีวันเสื่อมสลาย...
เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาครับ! เพราะชาวเมารีได้คิดค้นวิธีการซึ่งถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมผสมกับความสยองขวัญที่ทำให้ใบหน้าของคนที่ตายกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นดีเลยล่ะครับ
โดยหลังจากที่ชาวเมารีเสียชีวิตโดยเฉพาะผู้ชาย ส่วนหัวจะถูกตัดไปทำสิ่งที่เรียกว่า "โมโกโมไก (Mokomokai)"
2
ซึ่งหัวที่ถูกตัดออกมา จะถูกควักลูกตาและสมองออก...
3
แล้วนำหัวไปทำความสะอาด จากนั้นพันด้วยเส้นใยพืชและเชื่อมด้วยยางไม้...
2
จากนั้นจึงนำไปต้มและนึ่ง พร้อมรมควัน...
สุดท้ายจึงเอาหัวนั้นไปตากแดดให้แห้งพร้อมชโลมด้วยน้ำมัน...
1
เพียงเท่านี้ก็จะได้หัวมนุษย์ของแท้เกรดพรีเมี่ยมที่เสื่อมสลายได้ยาก พร้อมเก็บเป็นคอลเลกชั่นในที่สุด!
โดยโมโกโมไกจะถือว่าเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และที่สิงสถิตของบรรพบุรุษ
1
มากกว่านั้นคือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าเช่นเดียวกัน (แต่เป็นหลักฐานที่แอบสยดสยองและขนหัวลุกอยู่พอสมควร)
1
ภาพจาก Pinterest (โมโก อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเมารี)
ภาพจาก Catawihki (โมโกโมไก)
ภาพจาก DW (โมโกโมไก)
ภาพจาก All' That Interesting (การสะสมโมโกโมไก)
นอกจากนี้ชาวเมารียังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบและนักล่าที่ดุร้ายป่าเถื่อนสุดๆเลยล่ะครับ ซึ่งชาวเมารีใน "เอาเตอารัว" ก็มีการแบ่งเป็นหลายเผ่า โดยแต่ละเผ่าก็ใช่ว่าจะถูกกัน มีการรบพุ่งห้ำหั่นกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแต่ละเผ่าก็มีวิธีการรบและรสนิยมที่แตกต่างกันไป
1
บางเผ่าฆ่าศัตรูได้ก็จะเอาหัวใจมาเซ่นเทพเจ้า...
บางเผ่ามักชอบทรมานศัตรูก่อนฆ่าตายเพราะเชื่อว่าการทรมานคือการดูดมานาของศัตรู...
2
หรือบางเผ่าดูดมานาแบบดิบๆเลย คือ เอาเนื้อของศัตรูมากิน!
1
ซึ่งทำให้ผู้แพ้มักฆ่าครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง ภรรยา ลูกเล็กเด็กแดงของตนเองดีกว่ายอมให้โดนจับ...
อีกทั้งชาวเมารีนั้นยึดถือกับการแก้แค้นอย่างแรงกล้ามากๆ...
เพราะฉะนั้น ผู้แพ้มักถูกล้างบาง เด็กเล็กมักถูกฆ่าตาย และผู้หญิงมักถูกจับไปเป็นทาส เพื่อไม่ให้เผ่าที่แพ้สามารถสืบทอดลูกหลานให้กลับมาแก้แค้นเผ่าที่ชนะได้...
1
โดยชาวเมารีถือว่าการต่อสู้คือชีวิตของตนเอง รวมถึงการฆ่าศัตรูนั้นถือเป็นเกียรติยศอันสูงสุด
ซึ่งแต่ละเผ่าหากจะมีการเปิดสงครามกัน ต้องมีการแจ้งเตือนกันล่วงหน้าก่อนเสมอ (นอกจากว่าทำเพื่อแก้แค้น กรณีนี้สามารถบวกได้เลยโดยไม่ต้องเตือน)
2
นอกจากนี้ก่อนที่แต่ละเผ่าจะทำสงครามกัน ก็จะมีการเต้นระบำ ซึ่งเรียกว่า "ระบำฮากา (Haka Dance)" เพื่อบูชาเทพเจ้า และขย่มขวัญศัตรู...
2
เนื่องจากท่าเต้นของระบำฮากา ชาวเมารีจะต้องทำหน้าตาให้ดุร้าย โหด ดิบ เถื่อน และแสดงถึงพลังให้มากที่สุด เพื่อขู่ฝ่ายตรงข้าม...
โดยแต่ละฝ่ายต้องรอให้อีกฝ่ายเต้นระบำฮากาจนจบ จึงจะสามารถเริ่มฆ่ากันได้ (กติกานี้ใช้ได้ในสงครามที่เป็นทางการและมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเท่านั้น รวมถึงทั้งสองเผ่าต้องยึดถือในเกียรติยศร่วมกันจริงๆ ซึ่งมีการเล่าต่อมาว่าในบางครั้ง ขณะที่อีกเผ่าเต้นอยู่ ก็อาจมีหอกลอยทะยานเข้ามาทะลุหน้าอกได้เช่นกัน)
3
นอกจากความเชื่อเรื่องมานาแล้ว การต่อสู้นี่แหละครับคือวิถีชีวิตของชาวเมารีอย่างแท้จริง...
ภาพจาก laibanoman (ระบำฮากาของชาวเมารี ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ถูกถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน)
ภาพจาก Buddha Travel (แลบลิ้นขย่มขวัญ!)
ภาพจาก Picfair (ยิ่งแลบลิ้นศัตรูจะยิ่งกลัว!)
ภาพจาก iStock
เรียกได้ว่า ตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่เกาะเอาเตอารัว ชาวเมารีก็ถือได้ว่าเป็นผู้ล่าที่แข็งแกร่ง ป่าเถื่อน และอยู่บนจุดสูงสุดในห่วงโซ่อาหารของเกาะนานนับพันปี...
1
ช่วงระยะเวลาพันปีนั้นชาวเมารีมีการติดต่อกับโลกภายนอกน้อยมาก
2
การอพยพโดยเรือแคนูในตอนแรกนั้นอาจถือเป็นการเดินเรือทางไกลครั้งสุดท้ายของพวกเขา
วิถีชีวิตที่ยึดติดกับการต่อสู้ ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตหน้าไหนบน "เอาเตอารัว" ที่จะสยบพวกเขาได้
แต่ทว่า ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 สิ่งมีชีวิตหน้าใหม่ซึ่งแปลกประหลาดอย่างมากสำหรับพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึง "เอาเตอารัว"
ทันทีที่สิ่งมีชีวิตหน้าใหม่นั้นมาถึงด้วยเรือขนาดใหญ่ ชาวเมารีก็ได้มองสิ่งเหล่านี้เป็นแค่เหยื่อชิ้นใหม่ และเริ่มบรรเลงเพลงเลือดอันป่าเถื่อนต้อนรับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น...
แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า สิ่งมีชีวิตหน้าใหม่นั้นไม่ใช่เหยื่อ แต่กลับกลายเป็นผู้ล่ารายใหม่...
ผู้ล่า ซึ่งในอนาคตจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารบน "เอาเตอารัว" แทนที่พวกเขา...
ผู้ล่าเหล่านี้มีผิวสีขาว และมีถิ่นกำเนิดในดินแดนอีกฟากหนึ่งของโลกนามว่า "ยุโรป (Europe)"
และพวกเขาอาจจะยังไม่รู้ตัวว่า การมาถึง "เอาเตอารัว" ของผู้ล่าปริศนาหน้าใหม่นี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะ วิถีชีวิต เกียรติยศศักดิ์ศรี รวมถึงความเชื่อของพวกเขาไปตลอดกาล...
2
ภาพจาก New Zealand.com
References
Bassett, Judith. Keith Sinclair and Marcia Stenson : The story of New Zealand. Auckland : Reed books, 1993.
Mikacre, Buddy : Images of New Zealand. Auckland : Reed books, 1992.
1
River, Charles : British Colonization of New Zealand : The History of New Zealand from Settlement to Dominion. Scotts Valley : Create Space Independent Publishing Platform, 2018.
River, Charles : The Maori : The History and Legacy of New Zealand's Indigenous People. Scotts Valley : Create Space Independent Publishing Platform, 2018.
โฆษณา