12 ธ.ค. 2021 เวลา 00:30 • สุขภาพ
“อย่าละเลยใจตัวเองจนสูญเสียบาลานซ์ไปเลยนะ”
เมื่อวิกฤตที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า งานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ผ่านเวลามาไม่เท่าไรตอนนี้เราก็ได้ก้าวเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีกันแล้ว หลายคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นปีที่เสียดายดายเวลาชีวิตไปมากที่สุดปีหนึ่ง เพราะแทนที่จะได้ทำตามแพลนที่คิดไว้ แต่ด้วยสถานการณ์อันไม่เป็นใจ จะออกไปท่องเที่ยว หาความสบายใจให้ชีวิตก็ทำไม่ได้
กระทั่งอยากออกไปนั่งทางมื้อค่ำ หรือปาร์ตี้กับเพื่อนในวันเงินเดือนออกก็ยังไม่สามารถทำได้อีก ความสุขเล็กๆ ที่เคยเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องใช้ความพยายามกลายเป็นสิ่งที่เกินเอื้อม ใช้เวลารอคอยไปมากกว่าครึ่งปีด้วยซ้ำไป
ในช่วงเวลาของความแห้งแล้งนี้ นอกจากจะต้องประคองความรู้สึกให้ผ่านพ้นในแต่ละวันไปได้แล้ว ปัจจัยสำคัญอย่าง ‘งาน’ และ ‘เงิน’ ที่เดิมทีก็เป็นแกนหลักของชีวิต ก็ยิ่งกลายเป็นโจทย์สำคัญในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนแบบนี้มากขึ้นไปอีก การลดต้นทุนเพื่อประคองให้บริษัทอยู่รอดต่อไป การสร้างยอดขาย-ผลกำไร ต้องเร่งแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาเพื่อให้องค์กรและคนทำงานเห็นว่า คุณยังมีความสำคัญกับพวกเขาอยู่
ความไม่แน่นอนของวิกฤตที่ไม่รู้จะจบลงเมื่อไรเช่นนี้ทำให้เราต่างโฟกัสไปที่การทำงานอย่างบ้าพลัง จนบางครั้งก็หลงลืมไปว่า จะทำงานต่อไปได้สิ่งสำคัญคือจิตใจของคุณเองที่ยังแข็งแรงดีพออยู่หรือเปล่า
ผู้เขียนเองก็เป็นอีกคนที่ต้องต่อสู้กับใจตัวเองอยู่หลายครั้งในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งช่วงที่เอ็นจอยกับการทำงานสุดๆ เพราะยึดโยงตนเองกับงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้างานเราไปได้ดี มีคนชื่นชม มองเห็นความตั้งใจที่มี คำชมเหล่านั้นก็จะย้อนกลับมาเติมพลังให้กับเราไว้เก็บเป็นแรงผลิตผลงานดีๆ ต่อไปได้
แต่เมื่อชีวิตไม่ใช่พล็อตหนังที่จะมีเส้นเรื่องที่กำหนดได้ดังใจไปตลอด ในวันที่ฟีดแบ็กไม่เป็นอย่างที่คิด ความผิดหวังก็เข้ามาแทนที่ ในขณะที่เราก็ได้แต่กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองหลายๆ ครั้งว่า นี่เราพลาดตรงไหนไป เราทำอะไรผิดหรือเปล่า เรายังเต็มที่ไม่พอเหรอ หรือต้องมากกว่านี้อีกกี่เท่าถึงจะกลับไป ‘back on track’ อย่างที่เคยทำได้
ในวันที่กลับมาทุบตีกับตัวเองมีหลายความรู้สึกมากเลยค่ะ ทั้งการโยนความผิดไปที่คนอื่นๆ ทั้งหมด หรือการกลับมาทบทวนตัวเองและทำให้มี ‘self-worth’ น้อยลงเรื่อยๆ โทษทุกอย่างกองไว้ที่ตัวเองทั้งหมดว่า เราอาจจะเก่งน้อยลง ยังเต็มที่ไม่พอ หรือมีอะไรต้องเพิ่มลงไปอีก
ซึ่งถึงที่สุดแล้ว คำตอบที่พบในวันที่ทุกอย่างสุกงอมหมดแล้วก็คือ ตราบใดที่ยังมีชีวิตแล้วมันยังต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เกิด ‘ปัญหา’ ขึ้น และก็เพราะเรายังมีชีวิตอยู่นี่แหละปัญหามันถึงเข้ามาแล้วก็จากไปในหลายๆ ครั้ง สิ่งสำคัญ คือเมื่อเจอกับเรื่องยุ่งยากเหล่านี้แล้วจะทำอย่างไรให้เรียนรู้ ก้าวผ่านมันมาได้
เมื่อเดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปีแล้ว บทสรุปที่ผู้เขียนได้รับก็คือ เราจะซีเรียส จริงจัง หรือมีแพชชันกับงานแค่ไหนก็ได้ถ้ามันไม่เข้ามากัดกินจิตใจจนไม่เห็นคุณค่าของตัวเองไปเสียก่อน งานอาจจะเป็นเป้าหมายหนึ่งของชีวิต เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่งานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ไม่สามารถนำมาเป็นสรณะของชีวิตได้
.
เพราะสิ่งที่จะคงอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่น่ายินดีที่สุดหรือเลวร้ายที่สุดก็คือตัวคุณเอง ตัวคุณพร้อมกับจิตใจและสุขภาพจิตที่แข็งแรงเพื่อให้พร้อมผ่านวันร้ายๆ ไปได้
.
มาใช้ชีวิตเดือนสุดท้ายของปีให้เอ็นจอยสุดๆ ไปเลยนะคะ แล้วไม่ว่าปีหน้าจะมีเรื่องให้ทุกข์ใจหรือย่ำแย่ลงสักแค่ไหน อย่าละเลยตัวเอง มี ‘self-worth’ และ ‘self-care’ ให้มากๆ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นอะไร จะไม่มีอะไรมาพรากคุณค่าของตัวคุณไปได้อย่างแน่นอน 🙂
เขียนโดย Piraporn Witoorut
.
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
.
.
“Knowledge is the only way to success”
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
ติดตามคอนเทนต์เพื่อพัฒนาตัวเองสู่ความสำเร็จจาก Future Trends ได้ที่
(อย่าลืมกด See First เพื่อไม่ให้พลาดคอนเทนต์ใหม่ในทุก ๆ วัน)
#FutureTrends #KnowledgeforSuccess
โฆษณา