8 ธ.ค. 2021 เวลา 03:11 • การศึกษา
#เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา #พุทธทาสภิกขุ
ตอนที่ 91 ภาพหน้าที่ 290-292
อาจารย์ครับ ทราบว่ายุคหนึ่งอาจารย์เคยพยายามใช้หนังตะลุงในการเผยแผ่ธรรมะด้วยใช่ไหมครับ
- นี่เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง เมื่อมีภาพเขียนชุดหนวดเต่าเขากระต่ายแล้ว ก็ขอร้องให้พวกหนังตะลุงเอาไปเล่น เป็นการสอนธรรมะ มันน่าจะสะดวกในเรื่องมันมีพระเอก มีนางเอก มียักษ์ พอจะเล่นเป็นหนังตะลุงได้ เผอิญหนังตะลุงมาอยู่ที่วัดเวียง ก็เลยขอร้องเขาให้ช่วยลองดู
ตามบทหนังตะลุงที่คุณวรศักดิ์ (พระวรศักดิ์ วรธมฺโม) แต่งขึ้น ยืดยาว ฉายภาพเป็นสไลด์ แล้วร้องบรรยายแบบหนังตะลุง ใช้ดนตรีแบบหนังตะลุง มันก็ น่าดูแหละ แต่ว่ามันยาวเกินไป หลายชั่วโมง ในที่สุดก็เอื้อม คนดูมันทนไม่ไหว แล้วเรื่องมันก็ไม่สนุกนัก ดู กันเดี๋ยวเดียวก็ง่วงนอนมันยาวตั้ง ๔-๕ ชั่วโมง ลองกันที่นี่ที่หนึ่ง แล้วอีกทางหนึ่งก็ทางสงขลา ขอร้องให้ เพื่อนฝูงที่รู้จักกัน พูดจา เจรจากับหนังตะลุงที่มีชื่อเสียง ให้เอาเรื่องอย่างนี้ เอาภาพอย่างนี้ไปลองเล่นดู เขา ก็รับปาก
ต่อมาก็แจ้งมาว่าไม่ไหว (หัวเราะ) ว่าเป็นเรื่องที่เล่นยาก ประชาชนไม่ชอบดู เป็นเรื่องที่อธิบายไม่ ค่อยจะถูก ยังสั่งมาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไม่นานนี้ว่าขอเวรคืน นี่ยังคิดเล่น ๆ อยู่ว่าถ้ามันสะดวก จะทําวีดีโอ เป็นหนังตะลุงฉายสไลด์ บรรยายเป็นหนังตะลุง เป็นของน่าจะทําได้ แต่เดี๋ยวนี้มันชักจะเบื่อแล้ว อาจจะต้องทําตัวประกอบเพิ่มขึ้น ระหว่างนี้ เรายังไม่มีเวลา
อาจารย์ครับ แล้วเกี่ยวกับปลานี่อาจารย์เริ่มเลี้ยงมาตั้งแต่เมื่อไร และมันสนุกอย่างไรครับ
-เริ่มเลี้ยงเมื่ออยู่วัดชยาราม เริ่มเลี้ยงในที่ขังน้ํารอบ ๆ ที่พัก ที่ขังน้ํานั้นผมทํากับมือเอง มหาเฉวียง เลี้ยงปลาทอง ปลาเงิน ผมเลี้ยงปลาใหญ่ ๆ มาที่นี่ก็ยังเลี้ยงปลาด้วย เพื่อความเย็นและเพื่อกันมดกันปลวก ด้วย ทําเป็นที่ขังน้ํารอบกุฏิ แล้วเลี้ยงปลาในนั้น มีพระรูปหนึ่งชื่อทวี ตอนนี้กลับไปบ้านที่จันทบุรีแล้ว เคย ผสมลูกปลาทองออกมาเป็นพัน ๆ ตัว เรามีเอ็นไซโคลปิเดียปลาด้วย (หัวเราะ)
 
เลี้ยงปลามันสนุก ถ้ารู้เรื่องความลับที่จะทําให้มันโตเร็ว ให้มันเปลี่ยนสี ให้มันรอดชีวิต มันมีมากมาย หลาย ๑๐ อย่าง จนหมดเวลากับมันได้มาก ๆ ผมเคยบ้าเป็นพัก ๆ เคยนั่งดูปลาวันทั้งวัน ผสมออกมาจน เกือบคล้ายสีธงชาติก็มี ดูผาด ๆ คล้ายธงชาติ
คุณประยูร ชอบเอามาให้จากกรุงเทพฯ ญาติของแกเลี้ยงปลาขาย เอาปลาแพงที่สุด คู่ละตั้ง ๔,๐๐๐ บาท มาให้ตั้งหลายตัว ปลาดิสกัสปอมปาดัว มันก็ดีจริง ๆ เหมือนกัน มันอยู่ได้สบาย มีสีเหลื่อมกันหลายสี สีม่วง สีเขียว สีคราม เป็นปลาที่แพงที่สุดในบรรดาปลาเลี้ยงทั้งหลาย บ้านเดิมของมันอยู่ที่อเมซอน เป็น ปลาชนิดที่อยู่ในระหว่างต้นอ้อที่เกิดอยู่ในบึง ตัวมันจึงแบนเหมือนจาน เขาเลยเรียกดิสกัส ที่แปลว่าจานนั่นแหละ
มีคนที่ตลาด ชื่อนายกระจ่าง เป็นบุรุษไปรษณีย์ เขาก็เลี้ยงเหมือนกัน เลยหาอาหารมาเลี้ยงของเรา ด้วย เราก็ให้ปลาไปตอบแทน เยอะแยะไปหมด เราเองใช้อาหารแผ่นที่เป็นวิทยาศาตร์ ฉีกให้มันกิน แต่ ปรากฏว่าไม่ดีเท่าอาหารสด ปลาทะเลบ้านเรามีชนิดหนึ่งที่คล้ายกับดิสกัสปอมปาดัว เป็นปลาน้ําเค็ม สวย น้อยกว่า ชาวบ้านเรียกปลาขี้เก้ง บางตัวก็สวยมากเหมือนกัน มีหลาย ๆ สี
เลี้ยงปลาทําให้รู้ว่าปลามีจมูก เอาอาหารวางอยู่บนใบบัว มันก็รู้ได้ มันตอดใบบัวทะลุตรงอาหาร พอดี แล้วก็มีการรับเสียงด้วย ปลาทุกชนิดมีเส้นแล็ท ตะรัลไลน์ยาวตั้งแต่คอไปตามลําตัวทั้ง ๒ ด้านถึงหาง นั่นแหละ เป็นเส้นรับเสียง หรือหูของมันมันจําได้ด้วยว่าเสียงใครเดินมา มันแยกเสียงได้ ผมเดินมามันรู้ มัน ขึ้นมา มันรู้ว่าเป็นคนที่เคยให้อาหารมันรับเสียงกระเทือนจากแผ่นดินได้ คนอื่นเดินมามันไม่ขึ้น
และก็ได้ความรู้อีกว่า ปลามี ๒ ประเภท อนาคาริกแบบหนึ่ง อาคาริกแบบหนึ่ง (หัวเราะ)
พวกตระกูลปลาตะเพียน ปลาหางแฉก จะเคลื่อนที่เรื่อยไม่อยู่ประจํา แม้แต่ออกไข่แล้วก็ทิ้งไปเลย มันไม่รู้ไม่ชี้ ไม่มีการยึดถือว่าที่ตรงนี้ของเรา รังของเรา ลูกของเรา ไข่ของเรา ไม่มีการยึดถือเลย มันไม่น่า เชื่อ คล้ายเครื่องจักร เห็นได้จากปลาทอง ปลาตะเพียนทั้งหลายก็เหมือนกัน จะมากันเป็นฝูง ไล่กันมา แล้ว ก็ไข่ราดไว้ที่หญ้า แล้วก็หายไปหมด อยู่ข้างหลัง ไข่ก็ออกเป็นตัวเองตามบุญตามกรรม รอดไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซนต์ มดกินเสียบ้าง แดดเผาเสียบ้าง ถึงอย่างนั้น มันก็มีพันธุ์เหลือ เพราะไข่เป็นล้าน ๆ ปลาตระกูล ปลาตะเพียน แม่หนึ่งอย่างน้อยออกไข่ครั้งละ ๔,๐๐๐ ฟอง
ที่นี้ปลาอีกชนิดหนึ่งมันตรงกันข้าม มันมีตัวกู ของกู พอเป็นหนุ่มเป็นสาวหน่อย มันก็จับคู่ มีคู่ของกู มีที่อยู่ของกู บริเวณนี้ใครเข้ามาไม่ได้ รังของกู เมียของกู เข้ามาเป็นสู้ตาย โดยเฉพาะปลากัด ปลากิม ปลา กระดี แม้แต่ปลาหมอ พวกนี้หางเป็นพัด คือไม่เป็นแฉก ๒ แฉก เพราะเขาไม่ต้องว่ายทวนกระแสน้ํา หรือไม่ ต้องการว่ายน้ําไกล ๆ อยู่กับที่ตลอดเวลา ปลาทั้งหมดที่อยู่ในลักษณะอย่างนี้เขาเรียกพวกปลาชิกคริด
ส่วนแบบแรกเขาจัดเป็นพวกปลาคาร์ป หรือไซปรินเด้ เป็นพวกไม่อยู่กับที่ ก็เลยเรียกว่า แม้แต่ปลาก็มีอยู่ ๒ ชนิด อนาคาริกพวกหนึ่ง อาคาริกพวกหนึ่ง (หัวเราะ) พวกไม่มีเรือนกับพวกมีเรือน
ปลากัดนี้เป็นพวกสูงสุดในเรื่องตัวกู ของกู นอกนั้นก็รอง ๆ ลงไปมันกัดกันจนตาย เป็นนักสู้ ตอน เด็ก ๆ ผมเคยเลี้ยง เมื่อมันลึกขึ้นมาถึงที่สุดแล้ว ไปมองมันก็ไม่ได้ใครไปมองมันก็ทําท่าจะกัด หูกาง หาง กาง จะกัดคนที่ไปมอง ถึงขนาดนั้น เรียกว่ามีอัสมิมานะสูงสุด ปลาอื่นไม่เป็น เดี๋ยวนี้ก็มีปลาออสก้า ใคร เข้าไปใกล้มันก็ทําท่าจะกัด ผมไม่เคยเลี้ยงในตู้กระจก เลี้ยงในบ่อ หย่อนนิ้วลงไปก็ทําท่าจะกัด เป็นตระกูล ปลาชิกคริดเหมือนกัน
ปลาเลี้ยงทั้งหลายนี้ ต้องการออกซิเย่นมากกว่าอาหาร ถ้าขาดออกซิเย่นแล้ว อาหารก็ไม่กิน ตั้งใจว่า จะเขียนเรื่องปลาเกี่ยวกับธรรมะก็ไม่ได้เขียนสักที เดี๋ยวนี้ร่างกายมันไม่ค่อยอํานวยแล้ว เก็บข้อมูลไว้แยะ บันทึกไว้เป็นปึก ๆ เคยตั้งใจจะเขียนเรื่องปลาเกี่ยวกับการดับทุกข์ (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 290-292
.
อ่านย่นความ เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา * ทุกตอน *
ในเวปไซต์ #สืบสานงานท่านพุทธทาส
.
สนใจหนังสือติดต่อ : มูลนิธิโกมลคีมทอง
โทร 02-412-0744 02-866-1557
สโมสรธรรมทาน,หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ
.
ฟังเสียงเล่าไว้ฯ ราวปี 2527-2528
.
อ่าน PDF
.
ความเดิมตอนแรก ที่มาของงานนี้
.
อัตชีวประวัติในวัยหนุ่มของพุทธทาสภิกขุ
โฆษณา