Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
no name
•
ติดตาม
9 ธ.ค. 2021 เวลา 02:00 • กีฬา
" เมื่อมิลานฟื้นจากความตาย "
อาร์ริโก้ ซาคคี่ เข้ามาคุม เอซี มิลาน ในปี 1987 เขาคือหนึ่งในหัวใจสำคัญที่นำมิลาน กลับสู่ความยิ่งใหญ่
ปีแรกได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา หนแรกในรอบ 9 ปี และที่สำคัญ เขาคือผู้พาทีมได้แชมป์ ยุโรป 2 สมัย เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่ มิลาน ได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ
ฤดูกาลแรกที่ ซาคคี่ พามิลานได้แชมป์ถ้วยใบใหญ่หูกางแห่งยุโรป คือปี 1988/89
ยุคนั้นไม่มีรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลยุโรปเป็นการประกบคู่และเตะกันเหย้า-เยือน น็อคเอาท์กันไปเลยรอบต่อรอบ
รอบแรก มิลาน เอาชนะวิโตช่า โซเฟีย จากบัลแกเรีย มาด้วยสกอร์รวม 7-2
เมื่อมาถึงรอบ 2 พวกเขาเจอของแข็งนั่นคือ เร้ด สตาร์ เบลเกรด ทีมดังแห่งยูโกสลาเวีย
ในสมัยที่ยูโกสลาเวียยังรวมประเทศ พวกเขามีนักเตะฝีเท้าดีมากมาย โดยเฉพาะเหล่าแข้งดาวรุ่งจากชุดแชมป์เยาวชนโลกปี 1987
เร้ด สตาร์ คือทีมใหญ่ เรารู้จักกันในปัจจุบันด้วยชื่อทางการ หรือชื่อภาษาเซิร์บว่า เซอร์เวน่า ซเวซด้า นั่นแหละ
แข้งฝีเท้าดีโดยเฉพาะในแนวรุกล้นทีม กองกลางวัย 19 จากชุดแชมป์เยาวชนโลก โรเบิร์ต โปรซิเนซกี้, เพลย์เมกเกอร์จอมทัพ ดราแกน สตอยโควิช, เจ้าพ่อเทคนิคเท้าซ้าย เดยัน ซาวิเซวิช และกองหน้าอย่าง ดาร์โก้ ปานเชฟ
การเจอกันของสองทีมนี้ เลกแรกที่ มิลาน เสมอกันที่ 1-1 สตอยโควิช ยิงให้ เร้ด สตาร์ นำก่อน แต่นาทีต่อมา เปาโล อันโตนิโอ วีร์ดิส ก็ตีเสมอให้มิลาน 1-1
เลกสองต้องมาเล่นที่ไรโก้ มีร์ติช สเตเดี้ยม หรือในชื่อเล่นว่า "มารากาน่า" ตั้งชื่อเล่นนี้ตามสนาม มาราคาน่า อันโด่งดังใน ริโอ เด จาเนโร ของบราซิล
วันที่ 9 พฤศจิกายน 1988 เกมเตะกันไปถึงนาทีที่ 65 มีหมอกลงจัด ทำให้เกมถูกยกเลิก ต้องทำการแข่งขันกันใหม่ในวันรุ่งขึ้น
เกมนี้เองที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์มิลาน และมันกลายเป็นเกมที่แสดงให้เห็นถึงพลังใจ ความเป็นหนึ่งเดียวกันของนักเตะมิลาน เพื่อต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่มุ่งหมายเข้ามาทำร้ายพวกเขา
มาร์โก แวน บาสเท่น พังประตูให้ มิลาน นำก่อน 1-0 จากนั้น ดราแกน สตอยโควิช ก็ตีเสมอให้เจ้าบ้าน จบครึ่งแรกที่ 1-1
พอครึ่งหลังเริ่มมาได้นาทีเดียว ขณะที่ขึ้นแย่งลูกโหม่ง โกรัน วาซิลิเยวิช แบ็กซ้ายของเจ้าถิ่นก็โถมเข้าใส่ โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ มิดฟิลด์มิลาน ด้วยการศอกใส่พร้อมโหม่งอย่างรุนแรง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ โดนาโดนี่ ลงมานอนหมดสติทันที
"วาซิลิเยวิช เข้าอัดโดนาโดนี่อย่างเถื่อนเลย อัดเข้าด้วยการเฮดบัตต์และแถมศอกเข้าไปด้วย"
"โรแบร์โต้ ร่วงลงไปนอนหมดสติ นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความน่าสะพรึงอย่างแท้จริง นักเตะพากันโบกไม้โบกมือเอามือกุมที่ศีรษะ"
อันเจโล่ ปากานี่ มือนวดประจำทีมเข้าไปถึงเป็นคนแรก เขาเปิดปากของโดนาโดนี่ออก เขากรามหัก ปากานี่ ดึงลิ้นออกมาเพื่อไม่ให้อุดทางเดินหายใจ
กิงโก้ มอนติ แพทย์ประจำทีมของมิลานวิ่งไปถึงทีเกิดเหตุเป็นคนต่อมาและผายปอดให้
"โรแบร์โต้ ไม่แสดงสัญญานของชีวิตเลย แล้วเขาก็เริ่มกระตุกเท้าเตะพื้น ซึ่งมันเกิดขึ้นเป็นประจำเมื่อคนที่สมองได้รับความเสียหาย"
"เขาตัวม่วงแล้ว ตาเหลือก เขาเริ่มกระตุกเท้าเตะพื้นอย่างกับสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์" ซาคคี่ เขียนเล่าไว้ในหนังสือ The Immortals หรือ "ตำนานไม่มีวันตาย : ฤดูกาลที่มิลานของผมนำเสนอฟุตบอลขึ้นมาใหม่" ของเขาเอาไว้
มาร์โก แวน บาสเท่น วิ่งไปที่ม้านั่งสำรองแล้วตะโกน "หมอ! หมอ!" เขาเข้าไปหาเปาโล ตาเวจเจีย ผู้จัดการทีมทั่วไปของมิลาน ที่เข้ามากอดปลอบใจ และกองหน้าดัตช์ก็ร้องไห้ออกมา เขาไม่อยากเล่นต่อแล้ว แต่ทีมงานมิลานก็โน้มน้าวให้เขาลงต่อ ขณะที่ตัวของ โดนาโดนี่ ก็ถูกนำขึ้นเปล หามออกมาเพื่อเร่งเดินทางไปโรงพยาบาล
ไม่นาน โฆษกในสนามก็ประกาศให้แฟนๆ ทราบข่าวจากทางโรงพยาบาลว่าโดนาโดนี่ ที่ได้เห็นนอนหมดสติอยู่บนพื้นสนามเมื่อสักครู่นี้ ได้สติแล้ว และนอกจากหนักสุดคือกรามหักก็ไม่มีอะไรเสียหายเพิ่ม แต่แฟนบอลเร้ดสตาร์ กลับส่งเสียงโห่ให้กับข่าวดีนี้
พอได้ยินเสียงโห่ที่มีต่อข่าวที่โดนาโดนี่มีอาการดีขึ้นนี้ ทำให้ฝั่งมิลานโมโหมาก โดยเฉพาะ รุด กุลลิท ที่เลือดขึ้นหน้า กุลลิท คือคนที่โดนเปลี่ยนลงมาแทน โดนาโดนี่ โดยที่ตัวเขาเองมีอาการบาดเจ็บต้นขาซ้ายรบกวนอยู่แล้ว เขาควรจะได้เล่นแค่ 45 นาที แต่บทสรุป เขาเล่นไปตลอดครึ่งหลังบวกช่วงต่อเวลาพิเศษและยาวไปถึงการดวลจุดโทษ
1
กุลลิท มีความสำคัญต่อเกมนัดนี้อย่างมาก ซาคคี่ พูดถึงเขาว่า "เป็นความกล้าหาญของเรา, เป็นผู้นำในการทำศึกครั้งนี้ของเรา"
ท่ามกลางเสียงโห่ข่มขู่กดดันจากบนอัฒจันทร์ของเจ้าบ้านแต่ มิลาน ฮึดบุกใส่ ขณะที่ปราการหลังกัปตันทีม ฟรังโก้ บาเรซี่ ก็นำความนิ่ง ความเชื่อมั่นมาสู่ทีม
"ทุกครั้งที่เขาได้พาบอลทะลุขึ้นมาจากแดนหลัง มีบอลอยู่กับเท้า ไฟนรกก็เหมือนจะแหวกเป็นทาง" ซาคคี่ เล่าเอาไว้
มิลาน ไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้ เกมจบที่ 1-1 ทำให้สกอร์รวม 2 นัดเป็น 2-2 สุดท้ายก็ลากไปถึงต่อเวลาพิเศษ สกอร์ไม่มีเพิ่ม ต้องไปดวลจุดโทษ
การดวลจุดโทษ ดราแกน สตอยโควิช ยิงคนแรก ซัดให้ เร้ดสตาร์นำก่อน 1-0 แต่ ฟรังโก้ บาเรซี่ ก็ซัดอย่างเฉียบขาดตีเสมอให้มิลาน 1-1
โรเบิร์ต โปรซิเนซกี้ ไอ้หนุ่มอัจฉริยะวัย 19 ปีกดให้เจ้าถิ่นนำอีก 2-1 และมาถึงคิวของ มาร์โก แวน บาสเท่น
ซาคคี่ เล่าถึงตอนที่เพชฌฆาตพรายกระซิบสังหารจุดโทษไว้ว่า "แวน บาสเท่น เคลื่อนที่เข้าหาลูกบอลอย่างสง่างามดุจหงส์ (ฉายาของเขาคือหงส์แห่งอูเทรคท์) เขายิงเหมือนไม่ได้สัมผัสบอลเลย แต่บอลมันพุ่งเร็วแรง ไม่มีทางเซฟได้เลย เสียบเข้าไปที่มุมขวาบน เป็นการยิงอย่างสมบูรณ์แบบ ผมรู้สึกว่าทั้งสนามมารากาน่า นิ่งอึ้งกันไปหมดที่ได้เห็นการโชว์ที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจและเทคนิคนี้"
หลังจาก แวน บาสเท่น ยิงเป็น 2-2 ด้วยความสมบูรณ์แบบนั้นก็ดูเหมือนโมเมนตัมจะเทมาทางฝั่งมิลาน คนต่อมาของ เร้ดสตาร์ คือจอมเทคนิค เดยัน ซาวิเซวิช ที่ภายหลังจะย้ายกลายมาเป็นตำนานของมิลานอีกคน
ลูกยิงของซาวิเซวิช โดนโจวานนี่ กัลลี่ ใช้ขาเซฟเอาไว้ได้ และเมื่อ อัลเบริโก้ เอวานี่ ยิงไม่พลาด มิลาน ก็นำเป็น 3-2
คนที่ 4 ของ เร้ดสตาร์คือ มิตาร์ เมอร์เคล่า เขายิงเรียดไปทางซ้ายมือตัวเองและอีกครั้งที่ โจวานนี่ กัลลี่ สามารถป้องกันไว้ได้ เขาพุ่งปัดด้วยปลายมือให้บอลหลุดเสาออกไป
หมายความว่าคนที่ 4 ของมิลาน ถ้ายิงเข้าจะชนะทันที และเป็น แฟรงค์ ไรจ์การ์ด
อาร์ริโก้ ซาคคี่ ยอมรับว่าเขาไม่กล้าดูลูกนี้ เขาหันหลังและฟังเสียงเอา
"ท่ามกลางความเงียบกริบในสนามมารากาน่า ผมได้ยินเสียงบอลพุ่งกระทบเสาจังๆ เลือดในตัวผมเย็นเฉียบ แต่หลังจากมันชนเสาบอลก็แฉลบเข้าประตูไปจนได้ ผมไม่มีวันลืมเสียงบอลชนเสานั้นเลย มันคือบทเพลงแห่งความสุข"
"ผมวิ่งลงไปในสนามและกอดนักเตะของผมทุกคน เราเอาชนะ เร้ด สตาร์ แต่ก็ต้องเจอกับความอยุติธรรม, ความรุนแรง, การยั่วยุ พวกเขาถ่มน้ำลายใส่เรา, ตำรวจปล่อยหมาเกือบมาขย้ำอเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า และใช่ เราก็แข็งแกร่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนในวันนั้น"
สำหรับ มิลาน หลังจากได้รับชัยชนะ ดีใจได้ไม่นาน ใจของพวกเขาก็กลับมาพะวงถึงอาการของเพื่อนร่วมทีมที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล
ในภายหลัง โดนาโดนี่ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์ของเขาในโรงพยาบาลที่เบลเกรด
แม้ในสนามฟุตบอลทุกอย่างจะเป็นขั้วตรงข้ามและความเป็นอริรุนแรง แต่ในโรงพยาบาลมันแตกต่างออกไป
"ภาพแรกที่ชัดเจนที่ผมมีคือการตื่นขึ้นมาในห้องที่โรงพยาบาล มีสุภาพบุรุษ 2 คนอยู่กับผมด้วย คนหนึ่งป่วยระยะสุดท้ายแต่ก็ยังคอยถามผมอยู่เสมอว่าผมเป็นยังไงบ้าง ส่วนอีกคน ตกจากชั้น 3 กระดูกแทบจะหักทั้งตัว แต่เขายังปอกส้มและบีบน้ำส้มลงบนริมฝีปากผม เพราะผมไม่สามารถอ้าปากได้ พวกเขาอยู่ในสภาวะที่หนักหนากว่าผมเสียอีก แต่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยผมราวกับผมคือคนที่น่าห่วงที่สุด มันเป็นการอธิบายได้ดีว่าผมโชคดีแค่ไหน"
"สิ่งที่กระตุ้นเตือนผมที่สุดเมื่อย้อนกลับไปดูภาพของเหตุการณ์ในสนามคือปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมทีมผม พวกเขาตกใจและเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาตระหนักได้ทันทีถึงโมเมนต์นั้น จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คุณได้เห็นความรู้สึกของความเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และมิตรภาพที่ผูกพันธ์คุณเข้ากับเพื่อนร่วมทีม"
ความรู้สึกในแง่ลบที่มิลานมีต่อ เร้ด สตาร์ เบลเกรด ถูกลดทอนลงไปเมื่อหลังจบเกม บรังโก้ สแตนโควิช และ โกรัน วาซิลิเยวิช เองมาเยี่ยม โดนาโดนี่ ที่โรงพยาบาล
ประธานสโมสรเอซี มิลาน ผู้โด่งดัง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคลี่ มอบภาพเขียนราคาแพงให้กับ โดนาโดนี่ เป็นการปลอบขวัญ แต่ภาพที่ถูกเขียนได้อย่างชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับ โดนาโดนี่ มาจากการบรรเลงของ อาร์ริโก้ ซาคคี่
"โรแบร์โต้ ทุ่มเทเต็มที่สุดพลังเสมอในทุกนาทีของเกมการแข่งขันหรือในการซ้อม เขาคือคนที่แสดงให้เห็นถึงคอนเซ็ปต์ของผมได้ดีที่สุดคือการทำงานหนักและความสำนึกถึงหน้าที่ ด้วยเหตุผลนี้ เพื่อนร่วมทีมถึงเรียกเขาว่า "กระดูก" เขาไม่เคยท้อถอยเลย"
"เขาเป็นฮีโร่ ไม่ใช่เพราะเขาลงเอยด้วยการไปนอนโรงพยาบาล เขาเป็นฮีโร่ในแบบที่ถูกนิยามไว้โดย โรแม็ง โรลล็องด์ - นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1915 'ฮีโร่คือผู้ที่ทำในสิ่งที่เขาสามารถทำได้'"
"ผมเห็นด้วยกับความคิดนี้ และใช้มัน ผมสามารถพูดได้ว่าผมได้โค้ชทีมของเหล่าฮีโร่ผู้ที่จะกลายเป็นตำนานตลอดกาล"
หลังจากผ่าน เร้ด สตาร์ ไปได้ รอบก่อนรองชนะเลิศ มิลาน ก็ปราบ แวร์เดอร์ เบรเมน ด้วยสกอร์รวม 1-0
จากนั้นถล่ม เรอัล มาดริด ในรอบตัดเชือก 6-1 โดยเฉพาะเกมเลกสองในบ้าน ที่ดาหน้ากันเข้ายิงแบบไม่ซ้ำ ประตูปิดท้ายได้มาจาก โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ ที่เมื่อถึงเดือนเมษายน เขาก็ฟิตกลับมาสมบูรณ์แล้ว
ในนัดชิงชนะเลิศ เตะกันที่ คัมป์ นู มิลาน เป็นฝ่ายที่ทำได้อย่างเด็ดขาด ถล่มใส่ สเตอัว บูคาเรสต์ไป 4-0 จาก รุด กุลลิท และ แวน บาสเท่น ที่ทำคนละ 2 ประตู
มิลาน ของ ซาคคี่ ยังสามารถป้องกันแชมป์ได้อีกสมัยในปีต่อมา และจากนั้นก็ถูกต่อยอดด้วย ฟาบิโอ คาเปลโล่ ที่เข้ามาสานต่อเมื่อ ซาคคี่ อำลาไปคุมทีมชาติอิตาลี
มันคือยุครุ่งเรืองสุดขีดของ เอซี มิลาน อย่างแท้จริง และหนึ่งในเกมที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ไปก็คือเกมที่ เบลเกรด เกมนั้นนี่เอง
ร่วมรับชมคลิปเพิ่มอรรถรสกับเหตุการณ์ของ เอซี มิลาน ได้ที่ :
http://ow.ly/YHZz30s3bQ1
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
www.cheerball.com/news/talk
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
Line :
https://line.me/R/ti/p/@cheerballth
Facebook :
www.facebook.com/cheerball
Twitter :
www.twitter.com/cheerballth
Website :
www.cheerball.com
Youtube :
www.youtube.com/cheerballth
ขอบคุณครับ
1
3 บันทึก
7
3
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย