8 ธ.ค. 2021 เวลา 22:39 • ปรัชญา
พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริง(มิจฉาทิฏฐิ คือการหลับตาปฏิบัติ)  ...โดย พ่อครูสมณะโพธิรักษ์
การแก้ไข “มิจฉาทิฏฐิ” ที่ไปยึดถือการนั่งหลับตาปฏิบัติ มันสุดแสนยากยิ่งกว่า“ปลุก”พญานาคให้ตื่นเสียอีก
อาตมาใช้เวลามา ๕๐ กว่าปีแล้วตั้งแต่บวช  ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้คือ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ก็แก้“มิจฉาทิฏฐิ”ต่างๆเหล่านี้ให้ฟื้นคืนกลับสู่“สัมมาทิฏฐิ”กัน มันช่างยากเย็นแสนเข็นเหลือเกิน นี่ก็“ยืนยัน”ความเสื่อมตามคำตรัส ก็ชัดๆอยู่โต้งๆ
ซึ่งมันยังไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งเข้าไปหา“ปรมัตถธรรม”อะไรเลย แค่พูดกันให้รู้เรื่อง“หลับตา”กับ“ลืมตา”ปฏิบัติกันเท่านั้น มันก็แค่“รูปแบบ”ของการปฏิบัติตื้นๆต้นๆแท้ๆ ก็ยังหลง
ผิดติดยึดดำมืดหลับใหลหนักจัดกันเป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองของพระพุทธเจ้าอยู่ใต้กันบึ้งมหาสมุทร
ใครจะ“ปลุก”อย่างไรก็“ไม่ตื่นรู้(ชาคริยา)”ขึ้นมาได้สักที มันช่างตรงกับชาวพุทธทุกวันนี้ที่“หลับดับมืด”หนักหนายิ่งกว่า“พญานาค”กันปานนั้นทีเดียว ความหลับมืดเมาโมหันต์ของ“พญานาค”นี้ก็ช่างเป็นอุทาหรณ์ตำนานเล่าขานเปรียบเปรยไว้ให้ศึกษาได้วิเศษยิ่งชัดเจนแจ่มกระจ่ายอดเยี่ยมเสียจริงๆ
เรื่อง“พญานาค”นี้ อาตมาก็ได้อธิบายให้เห็น“ความจริง -ความไม่จริง”ของตำนาน“พญานาค”กันมาหลากครั้ง หลายหนแล้ว
ตำนาน“พญานาค”นี้สำคัญมากสำหรับศาสนาพุทธ
มาพูดกันให้รู้เรื่อง“พญานาค”กันให้ชัดๆกันเสียที
ก่อนอื่น ถ้าถามว่า “พญานาค”มีจริงมั้ย?
ก็ตอบได้ว่า “มีจริง” และ“ไม่มีจริง”    
นี่.. ไม่ใช่ตอบเล่นลิ้นยียวนกวนประสาทดอกนะ!
มันก็เหมือนกับ ถามกันว่า “คำโกหก”จริงหรือไม่จริง?
ก็ตอบได้ว่า “คำโกหก”มีจริง แต่“คำโกหก”นั้นไม่จริง!!!
ใช่มั้ยล่ะ?  “คำโกหก”คือ“คำที่ไม่จริง” แต่“คำโกหก”มันก็มีอยู่จริงในมวลมนุษย์มากมาย แม้ทุกวันนี้ก็ยัง“โกหก”กันอยู่
คนผู้“ไม่โกหกแล้วเด็ดขาด”เท่านั้น ที่จะ“ไม่มีโกหก”
มาสาธยายตำนานต่างๆของ“พญานาค”กันดูบ้าง 
พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริงก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธ
1. “นาค” คือ “งู” ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอนท่าหลับ ดังนั้นลัทธิยึดท่าหลับ คือ “หลับตา”ปฏิบัติซึ่งเป็นศาสนา ลัทธิของเขา
2. “นาค” มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ “หลับตา” ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา” ปฏิบัติซึ่งเป็นคนปลอมเอาของปลอมเข้ามาในศาสนาพุทธ 
เพราะพุทธที่สัมมาทิฏฐินั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี อปัณณกปฏิปทา 3 ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่อย่างนี้แต่เขาก็มืดบอดจริงๆ 
การหลับตาปฏิบัติมันตรงกันข้ามกันเลยกับ “อปัณณกปฏิปทา 3”
3. ผู้นำวิธี “หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็นนาคหรืองูปลอมเข้ามาเผยลัทธิวิชาของเดียรถีย์ เมื่อมาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น “งู” ที่ยังมี “ธาตุแท้”หรือหลับ คือนอน จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็เลยเผยธาตุแท้ออกมาคือ เผลอนอน เผลอหลับไป จนร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู นอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็นนาคปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึกไล่ออกไป นี่อาตมาไม่ได้พูดเอาเองนะแต่มีตำนานเล่าขานกันมาให้รู้สึกตัวให้รู้ถึงเนื้อแท้ 
แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธจึงให้ใช้คำว่า นาค เรียกผู้ที่จะขอเข้ามาบวช
คำว่า นาค จึงเรียกผู้เตรียมบวช
ในยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่มีนะ แต่คนในยุคหลังก็เรียกกัน ไม่มีคำว่านาคในพระไตรปิฎก มามีอยู่ในรุ่นหลัง
4. เมื่อ “นาค” พยายามแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธ ก็พยายามจะไม่ให้ “ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะไม่ให้ตนเป็นนาค ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น “นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็นนาคผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังแน่แท้ แล้วตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดถึงนิพพาน ถึงพระพุทธเจ้าให้ได้ ก็แสดงถึงความเป็นนิยตะ คือเลข 7 ขั้นที่ 7 คือขั้นเป็นผู้มีเชื้อพุทธแท้แล้วแน่นอนไม่มีเปลี่ยนแปลง มีแต่จะไปสู่ที่สูงที่สุด
จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็นนาคอย่างยิ่งและออกจากความเป็นนาคได้เด็ดขาดจริงแท้ จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทัน ผู้ปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ เป็นผู้ปราบผู้ปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่ ความเป็นงูความเป็นนาค ผู้มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาค
5. แต่ “นาค” ก็ยอดเก่งยอดบุกรุก จนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู จอมนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น “พญางู”มาตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่างให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ มีอะไรต่างๆเป็นลวดลาย ให้ดูเขื่องดูโก้ ดูยิ่งใหญ่หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจากงูสามัญ เป็น “พญางู-พญานาค” ดังที่เห็นกันนั่นเอง
6. สุดท้าย “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ “หลับ” ยิ่ง “หลับ” ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ก็ยิ่งคือผู้อวิชชาเป็น “พญานาค”
7. สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็นพญานาคที่หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น จะรู้สึกตัวขึ้นมาจากการ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็น “พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลก
ถาดทองคำก็จะลอยทวนกระแสขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ดัง “ด้วยเสียงของถาดทองคำ” ทีเดียว ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่งโลกุตระธรรม อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้ “พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ “ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า” ได้
เมื่อได้ยินเสียงวิเศษนี้ จึงพอจะรู้สึกตัวขึ้นมาครั้งหนึ่ง หลังจากได้หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชามาตลอดกาลที่เป็นกาละ ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาในโลกอีกพระองค์หนึ่งแล้วหรือ? ว่าแล้วก็ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ด้วยการหลงใหลหลับใหลอยู่กับการ “หลับตา” นี่เอง เป็น “พญานาค” นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด เพราะ พระพุทธเจ้า นั้นอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆองค์แล้ว
8. “พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี “หลับตา”หรือ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็คือ “โจรปล้นศาสนา”อยู่นั่นเอง
9. พระพุทธเจ้าจึงทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่ “โจร”ก็ไม่ตาย จึงทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็ส่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาก็เพราะเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตาย
10. ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” ไม่มี “จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก”กันอยู่ เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง
นี่ปอกเปลือกพญานาคให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือเปล่า ?...พญานาคไม่มี 
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย ความมีกับความไม่มี ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันหมด
สรุปแล้ว ในโลกนี้มีความมีกับความไม่มี แม้แต่พญานาค ก็คือ สิ่งที่มีหรือสิ่งที่ไม่มี (ไม่มี)แต่มันมี อาตมาเป็น อนุปคัมมะ มัชฌิมา เป็นคนกลางๆ ก็เห็นอยู่ว่าพญานาคมันก็มี อนุปคัมมะ ผู้มีอิทธิพลเหนือความมีความไม่มี ความจริงความไม่จริง ก็จึงเห็นว่า มันเป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องนิรันดร มันก็ยังมี
พระพุทธเจ้าเปรียบเปรยว่าเป็นโจรปล้นศาสนา ให้เอาไปฆ่าตอนเช้าด้วยหอกร้อยเล่ม ก็ยังไม่ตาย ตอนกลางวันเจอแล้วเอาไปฆ่าอีกก็ยังไม่ตาย เย็นพบอีกบอกว่าไม่ตาย ก็ให้เอาไปฆ่าอีกตอนเย็น ท่านก็จบไว้แค่นั้น พรุ่งนี้เช้ามาถามอีกก็ต้องเสียหอกไปอีกร้อยเล่ม ฆ่าก็ยังไม่ตาย ตอนกลางวัน ตอนเย็นก็ยังไม่ตาย พรุ่งนี้ก็มาถามอีกมันก็ยังไม่ตาย
ในมูลสูตร 10มีฉันทะเป็นมูล มีความยินดีเป็นรากเค้าใหญ่เลย ชาวพุทธก็มีความยินดีในศาสนาพุทธทั้งนั้นแหละแต่ไม่ใช่ฉันทะ เป็นแค่ศรัทธา 
จิตที่ฉันทะ โอ้โหต้องทำใจมันยินดีแล้วจะต้องเอาให้ได้ๆ เอาโลกุตระ เอาอนัตตาให้ได้ เอานิพพานให้ได้ จะได้ต้องทำไง ก็ต้องทำใจ มนสิการ ต้องเข้าไปทำใจในใจให้เป็น 
เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตาเขาก็เข้าไปทำใจในใจของเขา อันนั้นทำใจให้เละ เลอะ มันไม่เป็นมันไปไม่ได้มันมืด มีแต่เป็นพญานาคดำมืด
สุดท้ายก็กลายเป็นพญานาคนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น อวิชชาอยู่ตลอดกาล หลับนานมากเลยนะ นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นมืดดับอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำ เฝ้าถาดทองคำพระพุทธเจ้าอยู่เป็นล้านล้านถาด กอง นอนเฝ้าอยู่นั่นแหละนิรันดร พวกหลับตา อวิชชา นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น พวกนี้นิรันดร โง่นิรันดร ไม่รู้เรื่องนิรันดร มืดนิรันดร มืดอยู่อย่างนั้นแหละ
จนกว่าจะมีเสียงวิเศษของพระพุทธเจ้าที่ลอยถาดทองคำมากระทบถาดทองคำของพระเจ้าองค์ก่อน ดังกิ๊ก ก็จะรู้สึกขึ้นมา 1 ครั้ง ในนิรันดรที่คุณหลับ หลับไม่รู้ว่า โธ่เอ๋ย พระพุทธเจ้ามาเกิดฃทำไม พระพุทธเจ้ามาเกิดอีกแล้วหรือ ? หรือไม่ก็รู้แค่ว่า พระพุทธเจ้าเกิดอีกพระองค์แล้วหรือ กริ๊ก แล้วก็นอนหลับต่อ หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอยู่ในใต้ก้นมหาสมุทรนั้นอยู่ไปอีกนิรันดรนิรันดร โอ้ย หอก 300 เล่มแทงไปเช้ากลางวันเย็นมันหักจริงๆ ไม่เหลือเลยคนพวกนี้ ไม่เหลือหรอก
โดย พ่อครูสมณะโพธิรักษ์... 8 ธันวาคม 2564
โฆษณา