11 ธ.ค. 2021 เวลา 15:03 • สุขภาพ
#ออกกำลังกาย มือใหม่เล่นเวทแบบทั้งตัว หรือวันละส่วนดี
สำหรับคนที่อยากจะเริ่มออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง คงจะเคยได้ยินโปรแกรมการเวทเทรนนิ่งมาหลายแบบ แต่ที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คงมี 2 แบบ ก็คือ
แบบที่ 1️⃣ Full body หรือ Total body program.
และแบบที่ 2️⃣ Split program ใช่มั้ยครับ
เมื่อการเวทเทรนนิ่งมีให้เลือกหลายรูปแบบ ก็อาจจะทำให้เกิดการสับสน ไม่รู้จะเลือกใช้แบบไหนดี วันนี้ เราจะมาช่วยแนะนำถึงข้อดี,ข้อด้อย ของแต่ละแบบ เพื่อเป็นแนวทางกันครับ
ปล.ในโพสต์นี้ จะเทียบจากการเทรนเพื่อเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อ (Muscle hypertrophy)
🏋🏽‍♂️ที่ความหนัก(Load) = 67-85% ของ 1RM.
🏋🏽จำนวนครั้ง(Repetition) = 6-12 ครั้ง ต่อ 1 เซ็ต
การเวทเทรนนิ่งแบบ Total body : คือการออกกำลังกายแบบใช้กล้ามเนื้อทั้งตัวใน 1 ครั้ง มักใช้ท่าประเภท Compound movement เป็นส่วนใหญ่
ส่วนการเวทเทรนนิ่งแบบ Split program : คือการจัดโปรแกรมแบบแบ่งเล่นวันละส่วน เช่น วันนี้เล่นอก พรุ่งนี้เล่นหลัง มะรืนเล่นไหล่ หรืออาจจะเป็น วันนี้เล่น upper body พรุ่งนี้เล่น Lower body ฯลฯ ท่าที่ใช้ มีทั้งท่า Compound movement และ Isolation movement แล้วแต่การออกแบบของแต่ละคน
ข้อดีของการเวทเทรนนิ่งแบบ Total body : คือ ได้ใช้กล้ามเนื้อหลายๆ มัดในการออกกำลังกาย 1 ครั้ง ท่าที่นิยมใช้ มีความท้าทายค่อนข้างสูง ทำให้ใช้งานร่างกายได้เต็มที่ เล่นได้หนัก (แต่ต้องทำท่าให้ถูก) ความเข้มข้นในการออกกำลังกายสูง และประหยัดเวลา ใน 1 สัปดาห์ สามารถเทรนกล้ามเนื้อแต่ละส่วนได้หลายครั้ง
ข้อดีของการเวทเทรนนิ่งแบบ Split program : คือ สามารถกระตุ้นให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ ที่ต้องการ เกิดความเมื่อยล้าได้ดี เพราะในการออกกำลังกาย 1 ครั้ง จะเน้นที่กล้ามเนื้อแค่กลุ่มเดียว ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นได้
ข้อด้อยของการเวทเทรนนิ่งแบบ Total body : คือ ไม่มีการเน้นที่กล้ามเนื้อมัดไหนเป็นพิเศษ ทำให้ไม่สามารถใช้งานกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการให้ล้าได้เต็มที่ หรือถ้าอยากเน้น ก็อาจจะต้องเพิ่มท่าออกกำลังกายให้เยอะขึ้น ซึ่งก็จะใช้เวลาเยอะขึ้นตามไปด้วย
ข้อด้อยของการเวทเทรนนิ่งแบบ Split program : คือ การใช้กล้ามเนื้อแต่ละมัดซ้ำ ใน 1 อาทิตย์ จะทำได้น้อย เพราะต้องรอจนครบทุกส่วนก่อนถึงจะวนซ้ำได้ และอาจมีกล้ามเนื้อบางส่วนที่ได้ใช้งานน้อย หรือไม่ได้ใช้ ถ้าวันที่เทรนส่วนนั้นๆ เราไม่สามารถออกกำลังกายได้ รวมไปถึงการใช้งานใช้งานร่างกายอาจไม่เต็มที่ เท่ากับการเทรนแบบ Total body เพราะ ท่าที่ใช้ ส่วนใหญ่จะเป็นท่า Isolation movement
แล้วเราจะเทรนแบบไหนดี?
สำหรับการเวทเทรนนิ่งแบบ Total body จะเหมาะกับคนที่มีเวลาในการออกกำลังกายไม่มาก เพราะได้ใล้ร่างกายครบทุกส่วนใน 1 ครั้งของการออกกำลังกาย
และการเทรนแบบ Total body ยังเหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มหัดออกกำลังกายเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้จะเน้นกระตุ้นกล้ามเนื้อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ไม่มากก็จริง แต่ก็ยังมากพอที่จะกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อพร้อมๆ กันทั้งตัวได้ ยิ่งสำหรับคนที่เริ่มต้นออกกำลังกาย การเทรนแบบ Total body จะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อได้ด้วย
ส่วนการเวทเทรนนิ่งแบบ Split program จะเหมาะกับคนที่สามารถกำหนดเวลาออกกำลังกายเองได้ และมีเวลามากพอ โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ในการออกกำลังกายมาอยู่แล้ว การเทรนแบบ Split program จะช่วยเพิ่มความเข้มข้นในการใช้งานกล้ามเนื้อแต่ละมัดให้มากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการสร้างกล้ามเนื้อได้มากขึ้นอีกด้วย
สรุป : การเวทเทรนนิ่งทั้ง 2 แบบ มีทั้งข้อดี และข้อด้อยของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่า คุณ เหมาะกับการเทรนแบบไหน มีเป้าหมายแบบไหน ก็เลือกในแบบที่ตรงกับคุณได้เลยครับ
ใครเลือกแบบไหน หรือใครที่อยากแบ่งปันข้อมูลเพิ่มเติม ลองคอมเม้นมาบอกด้านล่างได้เลยนะครับ 💪🏽👇🏽
โฆษณา