Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เที่ยววัด...ตามใจ
•
ติดตาม
12 ธ.ค. 2021 เวลา 01:07 • ประวัติศาสตร์
ประวัติการสร้างสมเด็จอรหัง
สมเด็จอรหังเป็นลักษณะพระสมเด็จขนาดชิ้นฟักมีด้วยกัน
หลายพิมพ์ ตามบันทึกเรื่องสมเด็จอรหัง “ตรียัมปวาย”
เขียนไว้ใน “ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง”
เล่มพระสมเด็จฯ บันทึกกล่าวว่า
สมเด็จสังฆราชสุก ท่านสร้างเมื่อปี พ.ศ.2363
สมัยที่ถูกย้ายจากวัดราชสิทธาราม วัดพลับฝั่งธนบุรี
มาครองวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ ได้ปีเดียว
"ตรียัมปวาย" เขียนอีกว่า พระสมเด็จอรหัง ส่วนใหญ่
ไม่ได้บรรจุกรุ นอกจากบางส่วนที่มีผู้นำไปบรรจุไว้
ที่วัดสร้อยทอง นนทบุรี ภายหลัง
พระสมเด็จอรหัง เป็นพระเนื้อปูนปั้น มีเนื้อสองชนิด
คือ เนื้อขาว ซึ่งจะมีวรรณะค่อนข้างขาว
หรือขาวหม่นนวลๆ มีบ้างที่ลงรักปิดทอง
ยังมีเนื้อปูนแดง ที่เจือด้วยปูนกินกับหมาก มีวรรณะชมพู
หรือปูนแห้ง (ถ้าสีแดงคล้ำ ครูตรียัมปวายท่านว่า เป็นของปลอม) และมีผิวเป็นฝ้านวลๆ
ศิลปะพระสมเด็จอรหัง เป็นพระปฏิมาพุทธศิลป์สมัยใหม่
เข้าใจว่า สมเด็จพุฒาจารย์โต ซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่าน
ได้รับอิทธิพลในการสร้างพระเครื่องสืบต่อมา
ด้านหลังพระ มีอักขระขอมจารึกว่า "อรหัง"
เป็นที่มาของชื่อสมเด็จอรหัง
ลักษณะอักขระจารึก มีสองแบบ แบบเส้นเป็นร่องลึก
ซึ่งเป็นแบบธรรมดา และแบบเส้นเป็นทิวนูน ซึ่งมีน้อย
เรียกกันว่า หลังแบบตั้งโต๊ะกัง คล้ายการตีตรานูน
ขึ้นมาบนเนื้อทองรูปพรรณ
วงการพระเครื่องปัจจุบัน พบพระสมเด็จอรหังมากขึ้น
ผู้รู้เคยรวมไว้ได้มากถึง 8 พิมพ์ และในจำนวนพระ
ที่พบ บางองค์ ก็หลังเรียบ ไม่มีรอยจาร
เอกสารอีกชิ้นที่มีความสำคัญในการยืนยันการสร้าง
สมเด็จอรหังปรากฎในเอกสาร
พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า
(สุกไก่เถือน)
รวบรวมและเรียบเรียงโดย พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร
จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ หน้า 230 ระบุเนื้อหาไว้ดังนี้
ตามหลักพระบาลีมูลกัจจายน์
พระอาจารย์สุก พระองค์ท่านทรงมีความรู้เกี่ยวกับวิชาการ
อันเกี่ยวเนื่องกับพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ
จากผลพลอยได้อันเกิดมาจากการปฏิบัติพระกรรมฐาน
ทั้งวิชาการทางจิตทุกแขนง เช่น การเขียนผงอิทธิเจ
ใช้ผงผสมทำ "พระอรหัง" ทรงทราบวิชาสูรยกลา
จันทกลา วิชาหุงปรอทกายสิทธิ์ วิชาการทำกระสุนคด
การลงอักขระเลขยันต์ วิชาทำธาตุกรรมฐานต่างๆ
พระองค์ท่านจะทรงถ่ายทอดให้ เพื่อให้หายสงสัย
ถ่ายทอดวิชาไปแล้ว ผู้รับการถ่ายทอดทำได้สำเร็จแล้ว
พระองค์ท่าน ก็จะกล่าวสอนว่า
"ขอให้เอาไปใช้ ให้เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา"
น.272 ระบุนามบุคคลที่แกะพิมพ์พระสมเด็จอรหัง
ถวาย สังฆราชสุกไก่เถื่อน มีรายละเอียดตามบันทึกดังนี้
ครั้งนั้นพวกช่างฝีมือทั้งหลาย ที่มาช่วยทำการก่อสร้าง
พระอุโบสถวัดราชสิทธาราม เกิดความเลื่อมใสในเมตตาธรรม ของพระญาณสังวรเถร (สุก) จึงมาขอ บรรพชาอุปสมบทหมู่ กับพระอาจารย์สุก แต่พระอุโบสถยังสร้างไม่แล้วเสร็จ มีแต่ฐานพระอุโบสถเท่านั้น
ช่างเหล่านั้นได้ขออนุญาติ จากทางราชการแล้ว เพื่อการอุปสมบทครั้งนั้น พระญาณสังวรเถร (สุก) ทรงชุมนุมสงฆ์ สวดสมมุติเสมาขึ้นมาก่อน เพื่อทำการอุปสมบท พวกช่างเหล่านั้น ครั้งนั้น มีช่างดำเป็นหัวหน้าบวชเป็น
พระภิกษุองค์แรก ที่พัทธเสมา วัดพลับนี้ ตั้งแต่การก่อสร้างพระอุโบสถ ยังไม่แล้วเสร็จ มีแต่ฐานพระอุโบสถเท่านั้น ต่อมาภายหลัง พระภิกษุดำ ได้เป็น
พระครูสัญญาบัติ ที่พระครูภูมิโสภณ ในปลายรัชกาลที่ 1
พระภิกษุดำ หรือช่างดำนี้ ต่อมาท่านได้เกาะพิมพ์
พระอรหัง ทำด้วยไม้ ถวายพระญาณสังวรเถร
จำนวน 2 พิมพ์ ท่านเป็นช่างประจำพระองค์ของ
พระญาณสังวรเถร (สุก)
ในกาลต่อมา มีฝีมืองานประณีตศิลปต่างๆ ภายใน
วัดราชสิทธาราม (พลับ) ครั้งนั้น ล้วนเป็นฝีมือของ
ช่างพระภิกษุดำ และภิกษุสหายของช่างดำ
ช่างภิกษุวัดราชสิทธาราม สมัยต่อมา ล้วนสืบทอดมาจาก
ช่างภิกษุดำ และสหายทั้งนั้น
น.294 สามเณรโต มาศึกษากรรมฐานครั้งนั้น
พระญาณสังวรเถร ทรงประทาน พระอรหัง
ให้สามเณรโต 1 องค์เพื่อเป็นบาทฐานของพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ
ช่วงปีที่เริ่มจัดสร้างสมเด็จอรหังตามบันทึกปรากฎ น.313
หลังจากพระญาณสังวร (สุก) มาสถิตวัดพลับแล้ว ในปี
พระพุทธศักราช 2327ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ประชุมสงฆ์ผูกพัทธสีมา วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
อันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต นั้นแล้ว
ประมาณกลางปีพระพุทธศักราช 2328 พระญาณสังวร
ทรงมีพระดำริว่า พระแก้วมรกตเป็นของศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้าน
คู่เมือง และยังเป็นของศักดิ์สิทธิ์
ประจำกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ท่าน จึงทรงถือเอาองค์พระปฎิมากรณ์พระแก้วมรกตนี้ มาเป็น นิมิตหมายอันประเสริฐ จึงทรงนำเอานิมิตหมายนี้มาสร้าง พระอรหัง
หรือที่เรียกกันว่า "สมเด็จพระอรหัง"
เนื่องจากพระองค์ท่าน ทรงเล็งเห็นกาลไกลว่า กาลภายหน้าพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จทรงมาบำเพ็ญพระกรรมฐาน
ณ. วัดพลับ จึงทรงสร้างพระอรหัง
ถวายเพื่อเป็นบาทฐาน ของพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ซึ่งจะเป็นนิมิตหมายว่า พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับนี้ จะยั่งยืนสถาพรมั่นคงต่อไป
พร้อมกันนั้นจะได้นำเอา พระอรหังส่วนหนึ่งบรรจุไว้ใน
พระอุโบสถ เวลาผูกพัทธสีมา เวลานั้นวัดพลับ มีช่างมาก่อสร้างพระอาราม อยู่มากมาย
คืนนั้น พระองค์ท่าน ทรงพระดำริในพระทัยอีกว่า การที่จะสร้างพระอรหังนั้นต้องมีผงวิเศษ ผสมกับองค์พระ องค์พระจึงจะมีอานุภาพ ผงที่พระองค์ท่านจะลบ และเขียนขึ้นนั้น เช่นผงพระพุทธคุณ ผสมผงปูนที่ใช้ฉาบพระอุโบสถ เอามาผสมกับผงอิทธิเจ ที่พระองค์ท่านเตรียมไว้
พระองค์ท่านทรงพิมพ์ด้วยพระหัตถ์ ของพระองค์ท่านเอง 3 องค์ ทรงพิมพ์แม่พิมพ์แรก2 องค์ ทรงพิมพ์แม่พิมพ์ที่สอง 1 องค์ ทรงพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์สามองค์ ครบองค์แห่งพระรัตนไตร แล้วให้พระครูปลัดชิต พระครูสมุห์ฮั่น ไปพิมพ์อีก 81 องค์ รวมเป็น 84องค์ เท่ากับเลขหน้า ของพระไตรปิฏกคือ 84,000 พระธรรมขันธ์ แล้วพระองค์ท่านทรงจารข้างหลังองค์พระว่า "อะ ระ หัง" ซึ่งมีความหมายว่า เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส เป็นพระพุทธานุสสติเครื่องเตือนใจ ให้บำเพ็ญพระกรรมฐาน เพื่อละกิเลสพระองค์ท่านสร้างแล้ว เก็บรักษาไว้นานถึง 10 ปี จึงนำเอาออกมาถวาย พระเจ้าแผ่นดินในครั้งนี้
ผู้ที่ได้รับ "สมเด็จอรหัง" จากสังฆราชสุกไก่เถื่อนนั้นจากบทความในช่วงแรกที่ท่านจัดสร้าง
1.พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
(รัชกาลที่ 1)
2.สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสิงหนาท
3.พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
ทรงสร้างสมเด็จอรหัง ฉลองสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อนทรงให้กรมช่าง 10 หมู่ สร้างพระอรหังถวาย 84,000 องค์ สร้างเสร็จแล้วทรงถวายให้สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ทรงอธิฐานแผ่เมตตา เสร็จแล้วทรงแจก แด่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย พร้อมกับประชาชนทั่วไป
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เล่าไว้ในลายพระหัตถ์ ในสาสน์สมเด็จว่าเมื่อสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ทรงอธิฐานแผ่เมตตา ปลุกเสก พระอรหัง อยู่นั้น ได้มีนางงูเห่าเลื้อยขึ้นมา ขนด บนพระเพลา (ตัก) ของพระองค์ท่าน นางงูเห่านั้นได้ออกไข่บนพระเพลาของพระองค์ท่าน เมื่องูเห่าได้ออกไข่จนหมดสิ้นแล้ว นางงูเห่านั้นได้คาบไข่งู ทั้งสิ้น ขยอกเข้าปากแล้ว ก็เลื้อยออกจากพระเพลา (ตัก) ของพระองค์ท่านไป นำไข่งูทั้งสิ้นไปไว้ที่รังของมัน ณ ที่ใต้ถุนกุฏิ ของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ที่ใต้ถุนกุฎิของพระองค์ท่าน มีทั้งรังงูเห่า งูเหลือม และไก่ป่า ไก่บ้าน ทั้งหมดอยู่กันด้วยความสุขไม่เบียดเบียนกัน และกัน
ขณะที่สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน กำลังอธิฐานจิต แผ่เมตตา ปลุกเสกพระอรหังอยู่นั้น นก กา ไก่บ้าน ไก่ป่า ที่เคยร้องขานขันในเวลาเย็น ก็พากันนอนสงบนิ่ง อยู่ใต้ถุนกุฎิของพระองค์ท่านยังกล่าวอีกว่า ภายในวัดราชสิทธาราม ขณะที่พระองค์ท่านทรงปลุกเสกพระอรหังอยู่นั้น เงียบสงบ ไม่ได้ยินเสียงแม้ เสียงนกร้อง เสียงไก่ขัน เสียงลมพัด หรือเสียงใบไม้ไหว ทุกอย่างภายในวัดราชสิทธาราม สงบเยือกเย็นไปหมด และเป็นเดือนอ้ายด้วย ซึ่งอากาศหนาวเย็นด้วย ทั้งนี้เป็นด้วย พระบารมีการแผ่เมตตาจิต ของพระองค์ท่าน บรรดาเหล่าขุนนางที่มาในครั้งนั้น ต่างชื่นชมยินดี และร้องสาธุการ ด้วยเสียงเบาๆโดยถ้วนหน้ากัน
เครดิตข้อมูล
เอกสารพระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุกไก่เถือน)
รวบรวมและเรียบเรียงโดย พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร
จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่
บทความ พลายชุมพล จากเว็ป ไทยรัฐออนไลน์
เผยแพร่ 3 มิ.ย. 256
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย