12 ธ.ค. 2021 เวลา 03:10 • ธุรกิจ
แค่ลดอัตตาถ้ารวยแล้วหรืออยากรวยต้องความสุข
ปกติถ้ายึดอนัตตาก็รวยสุข(สำหรับกลุ่ม "โลกุตตระสุข")
แต่ถ้าแค่ละลดอัตตา(ไม่ต้องเลิก) ก็เป็นกลุ่ม"โลกิยสุข" ที่มีโอกาศมั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์และอริยทรัพย์
ถ้าทำธุรกิจตามเงื่อนไขความสำเร็จของอุปนิสัยและคุณลักษณะที่จำเป็น ต่อความสำเร็จ
เพราะคนพุทธตีความว่า อนัตตา คือ, การปล่อยวาง, จิตว่าง
เหมือนไม่อยากให้ผู้คนร่ำรวย
คือคิดว่าคนรวยทั่วไป เกิดความสุขเพียงแค่รวยแต่วัตถุ
แต่พุทธองค์พูดอนัตตาเป็นหนึ่งใน "ความจริง/ปรมัตถสัจจะ/สัจจธรรม(truth)ที่เป็นกฎธรรมชาติ ของ "ไตรลักษณ์"
แต่อีกมุมมองในมิติของ"กลุ่มโลกิยสุข"ว่า
คนที่ไม่ติดยึด "อัตตา"คือ ไม่โลภมาก ไม่โกรธมาก ไม่หลงมาก ไม่ลำเอียงแม้แต่ลำเอียงในสิ่งที่ดี
คือเน้นทางสายกลาง(มรรค8)ที่ย่อสรุปมาเป็น
1.ศีล(แค่ศีล5=ไม่เบียดเบียนใคร)
2.สมาธิ(ใจจดจ่อกับเป้าหมายชีวิตที่กำหนดเสมือนหนึ่งไต่เขาทีละลูกจากเล็กขึ้นใหญ่กว่า
3.ปัญญาที่รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำกับด้วย "จินตนาการ" ในการปรับกระบวนการคิด(thought) ที่เสริมด้วย "ความใฝ่รู้ใฝ่เห็น (curiosity)
ในบทบาทของคนที่ตื่นตัวตื่นรู้รับความจริง (awaken) อย่างต่อเนื่องด้วยจิตที่ชื่นบาน
และด้วยความผลักดันให้มี
ความปรารถแรงกล้า (passion)
ที่จะรวยแล้ว "แบ่งปัน"แก่กลุ่มคนมี่ด้อยโอกาสกว่าด้วยจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเอื้ออาทร
คือความพอดีที่แต่ละคนมีความพอดีต่างกัน
ดังนั้นการตีความในพุทธเรื่องอนัตตา ด้วยการ "ละลดอัตตา" ตามที่คุยมาแล้ว
หมายถึงการจะเกิดของสติปัญญาที่จะนำทางไปสู่ "ความมั่งคั่งของโภคทรัพย์และอริยทรัพย์"
ถ้าคนมี "อัตตา"มากก็หนัก
จะแบกไว้ทำไม ก็วางสะ
จะได้มีโอกาศเป็นเศรษฐี หรืออนาคตเศรษฐี แล้วมีความสุขด้วยในระดับกลางสูง
แม้ "คน"นั้นวิบากกรรมทำให้ "เกิดมามืด"
แต่มีความเป็น "มนุษย์"ที่ต้องการ "ไปสว่าง"
เพราะมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันในการกำหนดชะตาชีวิตของตนในภพนี้(โดยไม่ต้องหวังพึ่งพระเจ้าและเทพเทว
ไม่ใช่เกิดมามืดไปมืดก็เสมือน "พอแล้วๆๆๆเหมือนหนอนในโถขี้
ที่พอใจแค่ขี้หล่นมาให้กิน
**โดย ศ.ดร.ดิเรก ฤกษ์หร่าย , 12ธค.64 www.blockdit/direkrerkrai
โฆษณา