13 ธ.ค. 2021 เวลา 03:19 • ปรัชญา
※ ธรรมะปริศนาจากพระพุทธรูป ※
เห็นแต่ไม่รู้ คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่าลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ
1. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลม ในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม พระเศียรแหลมนั้น หมายถึงสติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิต และรู้จักแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว ปัญญาคือที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญาชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา จะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ
2. พระกรรณยาน หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือมีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐาน และข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว
เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้ายคนๆ เดียว ที่จะสามารถทำให้เรา
สุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้ คือตัวเราเอง และชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรืองก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับ
ความคิด คำพูด และการกระทำของเราเอง
2
ฉะนั้น ในการใช้ชีวิตให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และมีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่างๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลักกาลามสูตร เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงดั่งพระพุทธองค์
1
3. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไป จะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถ ว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรมสอนให้มองตนเอง และพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเอง ก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น
ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้าย และจ้องแต่จะคอยวิจารณ์ หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาส ในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัส ให้เตือนตนเองว่า “อตฺตนา โจทยตฺตาน” ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย”
นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือการสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้า จนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือมัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว และไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำ จะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก เพราะนั่นคือดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”
4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง ไม่ว่าใครจะด่าว่า พระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว ใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบ รับแรงกระทบต่างๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ
ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบ ด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตายตกไปตามกัน
หากเรารู้จักนิ่งสงบ รับแรงกระแทกต่างๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้ จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง
1
5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก สุดท้ายคือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจ ความจริงของโลก ความจริงที่ว่า ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรคงทนถาวร ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง
ความสุขและความทุกข์เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจความจริง จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง
นอกจากนั้น รอยยิ้มของพระพุทธรูป คือรอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกัน ก็เข้าใจความยิ่งใหญ่ และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเอง
จะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจ
ความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษในเวลาเดียวกัน
อย่าลืมนะว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ” และในอดีต
ก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบัน ที่เรารู้จักกันดี มีพระนามว่า “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา”
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ”
ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ
ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงความจริงอีกประการหนึ่งด้วยว่า ในหัวใจของเรา ก็มีความเป็นพุทธะซ่อนอยู่เช่นกัน
ขอแสงสว่างแห่งปัญญา จงเกิดแก่ผู้อ่านด้วยเช่นกัน
สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ
การให้ธรรมทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง
3
ขออนุโมทนา🙏
.
cr: wat sommanas
โฆษณา