13 ธ.ค. 2021 เวลา 17:20 • ความคิดเห็น
ขอตอบในมุมของศาสนา ที่ต้องอาศัยหลักศรัทธาและความเชื่อ ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องลองพิสูจน์ตอนตายลงไปจริงๆ แต่ตัวเองก็ไม่รู้อยู่ดี เพราะกลับมาบอกคนอื่นไม่ได้
1
ในมุมของศาสนาพุทธ ตายแล้วเกิดใหม่เสมอ ไม่มีตายแล้วสูญ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ แต่มีความจริงทางวิทยาศาสตร์ข้อหนึ่งที่ว่า สสารและพลังงานไม่มีวันสูญหายแต่จะเปลี่ยนกลับไปกลับมา จากสสารเป็นพลังงาน พลังงานเป็นสสาร อีกนัยหนึ่ง สสารที่เราเห็นเป็นรูปร่างมีตัวตนก็คือกลุ่มก้อนของพลังงาน ที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่นในช่องว่าง บริเวณใดบริเวณหนึ่งนั้นเอง ในสมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์ รุ่นคุณปู่พบว่า อะตอม หรือหน่วยเล็กที่สุดของสสารที่มีอิเล็กตรอนวิ่งวนโดยรอบเป็นก้อนกลมตัน หรืออีกนัยอะตอมเป็นวัตถุแข็งตัน อะตอมมารวมตัวกันเป็นโมเลกุล เป็นสสาร เป็นวัตถุ สิ่งของต่างๆด้วยพันธะทางเคมี แต่ในความจริงแล้ว นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องกลศาสตร์ควอนตัม กลับพบว่าอะตอมไม่ได้เป็นก้อนตัน
1
เมื่อซูมลงไปในระดับที่เล็กมากๆ( ควอนตัม) นิวเคลียส นิวตรอนโปรตอนไม่ได้เล็กที่สุด มีสิ่งที่เล็กกว่านี้นอีก อิเล็กตรอนก็ไม่ได้อยู่นิ่งๆเฉยๆมันโคจรไปมารอบนิวเคลียสเป็นแบบกลุ่มหมอก เมื่อเราย่อยๆ อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอนเพื่อหาส่วนประกอบของมัน(โดยใข้เครื่องเร่งอนุภาค) กลับไม่พบว่าอะไรคือส่วนที่เล็กที่สุดของมัน แต่พบว่ามันสลายตัวไปมาหายไปในที่ว่างและกลับมาโผล่อีกที มันเกิดๆดับๆ ด้วยความเร็วสูงมากๆ จนเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถจับได้
แล้วเรื่องนี้โยงกับการเกิดและตายอย่างไร สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมค้นพบ ไม่ว่าหลักความไม่แน่นอนของ ไฮเซนส์เบริก, ปรากฎการณ์ลอดอุโมงค์, แมวของขโรดิงเจอร์ ชี้ให้เห็นว่า วัตถุสิ่งของที่เห็นเป็นก้อนตัน จริงๆแล้วมันไม่ตัน มันเกิดดับๆอยู่ตลอดเวลา แต่ประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงได้ สสารและพลังงานแปรเปลี่ยนไปมาอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะเรียกว่าการเกิดและตายได้หรือไม่? สสารเปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน ( สสารตาย พลังงานเกิด) อิเล็กตรอนเป็นทั้ง อนุภาคสสารและพลังงาน แสงก็เช่นเดียวกัน ที่เราเห็นแสงไฟสว่างเป็นเนื้อเดียวกัน จริงแล้ว มันเกิดแล้วตาย ต่อๆกันเป็นคลื่น แต่ตามนุษย์มองไม่ทัน
1
คนเราก็เช่นกัน เราคิดว่าคนเราตาย ในเมื่อความจริงแล้วคนเราก็ตายอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิด นั่นคือเซลต่างๆ อวัยวะ ก็ตายและก็สร้างใหม่ ตลอดเวลา จิตมนุษย์ก็เช่นกันก็เกิดๆดับๆ ก็คือเกิดและตายอยู่ตลอดเวลาเป็นสายยาวเสมือนคลื่น Sine wave ดังนั้นที่ว่าเกิดและตาย อะไรเกิด อะไรตาย?สมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ ยํ้าแนวคิดของชาวพุทธในเรื่องไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตาย เป็นสิ่งที่เรียกว่าปรมัตถ์หรือความจริงขั้นสูงสุด แต่ในโลกความจริงเราใช้สมมติสัจจะ โดยตั้งชื่อเป็นคําเรียกว่า การเกิดและการตายเพื่อยึดโยงกับการใช้ชีวิตประจําวัน เมื่อสิ่งที่เกิดและตายนั้นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ต่อเนื่องตลอดเวลา ในทางสมมติสัจจะหรือทางโลก เราจึงเชื่อได้ว่ามีการตายก็ต้องมีการเกิดเสมอ ไม่มีทางสูญสลายไปไหน และก็จะขัดกับกฏของการอนุรักษ์พลังงานด้วย
แต่ทางพุทธ เรามีคําอธิบายที่ วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ นั่นคือเรื่องวิบากแห่งกรรม อวิชชา ตัณหา ที่เป็นตัวเหนี่ยวนําให้จิตซึ่งเป็นคลื่นพลังงาน จิตดวงสุดท้ายของมนุษย์ตอนตายนั้น ร่างกายอวัยวะไม่ทํางาน จิตก็ดับไปด้วยแต่จิตดวงสุดท้ายที่สะสมวิบากกรรมก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ในภพภูมิใหม่ ที่ไม่ใช่ภพเดิม และพลังงานของจิตที่เป็นเหมือนนามธรรม สร้างรูปหรือตัวตนในภพใหม่ ที่เรียกว่าการเกิดใหม่นั่นเอง ส่วนตัวตนจะเป็นอะไรที่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรม อาจเป็น เปรต อสุรกาย มนุษย์ เทวดา พรหม มนุษย์ต่างดาว etc.
4
โฆษณา