17 ธ.ค. 2021 เวลา 02:00 • กีฬา
" ปั่นโค้งๆ แบบเฟอร์กี้ "
2
เมื่อปี 2015 ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มีการจัดแข่งขันฟุตบอลการกุศลเพื่อ UNICEF ของ เดวิด เบ็คแฮม เป็นการเจอกันระหว่างทีมรวมดาวสหราชอาณาจักร + ไอร์แลนด์ เจอกับทีมรวมดาราโลก
เกมนั้นฝั่งทีมสหราชอาณาจักรได้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาเป็นกุนซือให้ด้วย
ก่อนเกมแข่งไม่กี่วัน เบ็คแฮม ให้สัมภาษณ์หยอกกับนักข่าวว่า "บางที มันอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่มันสามารถเกิดขึ้นได้อีกครั้งนะ บางคนพูดเรื่องนี้กับผมวันก่อนนี่เองแหละ เรามารอดูกัน"
ที่ เบ็คส์ พูดถึงว่าสามารถเกิดขึ้นได้อีกก็คือ "เหตุการณ์สตั๊ดบิน" ในปี 2003 หลังเกมเอฟเอ คัพ ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
เมื่อเวลาผ่านไป ฝุ่นตกตะกอน ทุกคนก็ย้อนกลับไปมองถึงมันแบบไม่ซีเรียสอีกต่อไป เดวิด เบ็คแฮม เองก็เช่นกัน เขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะมาก เคยให้สัมภาษณ์ติดตลกถึงเรื่องนี้หลายครั้ง
1
สำหรับหลายคนที่อาจลืมเหตุการณ์วันนั้นไป มันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2003 เป็นเกม เอฟเอ คัพ รอบ 5
ตอนนั้น คู่ปรับที่เจอกันแล้วใส่กันแหลกคือแมนฯ ยูไนเต็ด กับอาร์เซน่อล ความเกลียดชังพุ่งสูง สู้กันทุกรูปแบบ ในสนาม นอกสนาม แย่งแชมป์กันอย่างสนุก
ปรากฏว่าอาร์เซน่อลเป็นฝ่ายบุกมาเอาชนะ 2-0 มีหลายคนของแมนฯ ยูไนเต็ด เล่นไม่ได้ตามมาตรฐาน ไรอัน กิ๊กส์ มีโอกาสยิงจ่อๆ ตอนสกอร์ 1-0 แต่ก็พลาดแบบไม่น่าเชื่อ
ทว่าคนที่กลายเป็นเหยื่ออารมณ์ของ เฟอร์กี้ คือ เดวิด เบ็คแฮม
เพราะหลังจบเกม เฟอร์กี้ ระเบิดอารมณ์ในห้องแต่งตัว ป๋าดันเตะสตั๊ดของใครก็ไม่รู้ที่กองอยู่บนพื้น แต่สตั๊ดเจ้ากรรมดันพุ่งไปโดนเหนือคิ้วของ เบ็คแฮม พอดี
เนื่องจากมีการถกเถียงกันมาก่อนแล้ว พอโดนเข้าแบบนี้ เบ็คแฮม น็อตหลุดทันทีพุ่งจะเข้าไปเอาเรื่องเจ้านายแต่เพื่อนร่วมทีมต้องช่วยกันฉุดรั้งเอาไว้
1
ต้องถือว่าในช่วงนั้น เฟอร์กี้ เริ่มทะเลาะกับเบ็คแฮม ซึ่งเคยเป็นเด็กดี เป็นลูกรักบ่อยครั้งขึ้น เนื่องจากในมุมมองของเฟอร์กี้ เบ็คส์ ไปโฟกัสเรื่องนอกสนามมากเกินไป จากการมีภรรยาเป็นนักร้อง เป็นเซเล็บชื่อดังอย่าง วิคตอเรีย อดัมส์
วันต่อมาเหตุการณ์ก็แดงขึ้นเมื่อมีหนังสือพิมพ์ถ่ายภาพเบ็คแฮม ที่แปะพลาสเตอร์เป็นกากบาท เพื่อเน้นรอยแผล แถมคาดผมเปิดหน้าผาก เพื่อให้คนเห็นรอยแผลชัดๆ เข้าไปอีกโดยไม่มีผมมาคอยปกปิด
เฟอร์กี้ เคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติฉบับปี 2003 เอาไว้ว่า เหตุการณ์นี้เอง ที่ทำให้เขาตัดสินใจบอกบอร์ดว่า หลังจบฤดูกาลนี้ เดวิด ต้องไป
1
เมื่อไหร่ก็ตามที่นักเตะล้ำเส้น หรือมีทีท่าคุกคามต่ออำนาจการควบคุมห้องแต่งตัวของผู้จัดการทีม เมื่อนั้น สโมสรอยู่ในความเสี่ยง เพราะนักเตะจะเริ่มมีอิทธิพล
1
เรื่องนี้เราเห็นได้ในสโมสรต่างๆ ในทุกวันนี้ กุนซือคนใหม่เข้ามาก็จะต้องเจอปัญหาที่นักเตะใหญ่คับสโมสร แต่สำหรับ เฟอร์กี้ แล้ว ป๋าจะตัดไฟแต่ต้นลมเสมอ
1
มีหลายกระแสมากว่า เฟอร์กี้ นั้นตั้งใจจะเล่นงานเบ็คแฮม จงใจหวดสตั๊ดเพื่อให้โดนลูกทีมรายนี้ แต่ความจริงมันไม่ใช่
เฟอร์กี้ เองสมัยหนุ่มๆ เขาเป็นนักเตะ เล่นเป็นกองหน้าฝีเท้าใช้ได้เลย แม้จะไม่ถึงระดับเกรด เอ แต่ก็เป็นนักเตะที่โลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุดของสก็อตแลนด์ได้โดยไม่อายใคร
2
ตลอดอาชีพการเป็นนักเตะ ผลงานในลีกสก็อตแลนด์คือ 317 นัดยิงได้ถึง 171 ประตู ไฮไลท์คือการเล่นให้กับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทีมยักษ์ใหญ่ 2 ปี เล่นไป 66 นัดทำได้ 35 ประตู
1
ปี 1967 ทีมชาติสก็อตแลนด์ มีการออกทัวร์ และเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ เฟอร์กี้ เล่นให้ทีมชาติ ลงไป 4 นัดทำได้ 4 ประตู แต่เกมแบบนี้ ไม่ถูกบันทึกว่าเป็นเกมทางการ
1
หมายความว่าจริงๆ แล้ว เฟอร์กี้ ไม่ถูกนับว่าเคยเล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่เลยแม้แต่นัดเดียว
BBC Sport มองว่า เฟอร์กี้ คือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดที่ไม่เคยติดทีมชาติสก็อตแลนด์ชุดใหญ่ นั่นเป็นการบ่งบอกว่าจริงๆ แล้ว ยอดกุนซือผู้นี้ สมัยเป็นนักเตะก็มีฝีเท้าไม่เบา
เรื่องนี้ เฟอร์กี้ เองก็ค่อนข้างมั่นใจในฝีเท้าตัวเอง ไบรอัน คิดด์ เคยเล่าว่า ตอนเขาทำงานเป็นมือขวาให้ เฟอร์กูสัน ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งคู่มักคุยกันเรื่องต่างๆอย่างสนุกสนาน แล้วสุดท้าย ก็มาลงเอยที่มักจะ "ขิง" กัน หรือบลัฟ ใส่กันว่าตอนเป็นนักเตะ ใครเก่งกว่าใครกันแน่
1
เนื่องจาก ไบรอัน คิดด์ เองก็เป็นกองหน้าฝีเท้าดีเช่นเคย ด้วยวัย 19 ปี เขาทำประตูให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1968 ที่เอาชนะเบนฟิก้า 4-1 คว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกมาครอง
คิดด์ เล่นให้กับทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, แมนฯ ซิตี้, เอฟเวอรตัน, โบลตัน และเคยติดทีมชาติอังฤษชุดใหญ่ 2 นัดด้วยกัน
หนึ่งในการให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ของ เบ็คแฮม ก็เอ่ยแซว เซอร์ อเล็กซ์ ในเรื่องนี้ ว่าเฟอร์กี้ เองก็มั่นใจในฝีเท้าตัวเองในฐานะกองหน้า และมันก็พ่วงเข้ากับเหตุการณ์สตั๊ดบินในวันนั้น
"เรามีการถกเถียงกันมาตลอด 13 ปี คุณรู้มั้ยเจ้านายนะ เวลาคืนฟุตบอลยุโรปทุกครั้งเลย เขาจะลงมาในสนาม เขาจะเริ่มยิงจุดโทษและฟรีคิก และบอกพวกเราทุกคนว่าเขาเก่งแค่ไหนตอนยังเป็นนักเตะ - เล่าเรื่องประตูที่เขายิงได้มากมายอะไรแบบนั้น"
1
"แต่ตอนที่ผมได้ค้นพบจริงๆ ว่าเขาเก่งแค่ไหน ก็คือหลังเกมกับอาร์เซน่อลนั่นแหละ ซึ่งเกมนั้นผมว่าผมเล่นพลาดไป 2-3 อย่าง"
"ป๋าเข้ามาในห้องแต่งตัว เราเถียงกัน เขาเริ่มเดินมาหาผมและเตะกองเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้น แต่แล้วสตั๊ดก็ลอยมาโดนผมเข้าพอดี"
"ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักอย่างแท้จริงว่าป๋าเตะได้แม่นแค่ไหน!"
1
ความบาดหมางในวันวานถูกลบเลือนไปนานแล้ว ทุกวันนี้ เบ็คแฮม ก็ยังรักและนับถือเฟอร์กี้ เช่นเดียวกับที่เฟอร์กี้ ก็คงมองเห็นความสำเร็จในชีวิตของ เบ็คส์ และเฝ้ามองอดีตศิษย์รักคนนี้เติบโตเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม
4
หากนั่นคือการเล่าในเชิงติดตลกของเบ็คแฮม ยังมีอีกคนที่ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์วันนั้น มันมาจากความบังเอิญจริงๆ นั่นก็คือปากคำของ คาร์ลอส เคยรอช
เคยรอช เป็นมือขวาของ เซอร์ อเล็กซ์ ในฤดูกาลนั้นพอดี ก่อนย้ายไปคุม เรอัล มาดริด ซึ่งก็คุม เบ็คแฮม ที่ย้ายไปในหน้าร้อนเดียวกันนั่นแหละ แต่ เคยรอช คัมแบ็กมาอีกครั้งตอนปี 2004
เหตุการณ์สตั๊ดบินคราวนั้น เคยรอช เล่าเอาไว้ว่ามันฟลุ้ก ที่เฟอร์กี้เตะแล้วมันดันแม่นไปโดนเบ็คแฮม เพราะเฟอร์กี้ เตะด้วยเท้าซ้ายข้างไม่ถนัดด้วยซ้ำ
1
"มันควรต้องย้ำถึงความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้นะ บางคนเคยบอกผม ซึ่งมันก็จริงนะ เขาบอกว่าถ้า เซอร์ อเล็กซ์ ตั้งใจเตะรองเท้าให้โดนเบ็คแฮม จริงๆ ละก็ แสดงว่าเท้าซ้ายของเขาต้องฉมังสุดๆ เลยหละ!"
1
"ผมอยู่ในห้องแต่งตัวในวันนั้นด้วย เอาเป็นว่าความจริงคือ มันไม่ได้เป็นการเตะที่แม่นยำอะไรหรอก เพราะรองเท้ามันปลิวไปโดนโต๊ะก่อนแล้วจึงแฉลบไปทางเบ็คแฮมพอดี"
1
"เซอร์ อเล็กซ์ ผมขอโทษนะ แต่เท้าซ้ายของคุณไม่ได้แม่นยำอย่างที่คุณคิดหรอก!!!" เคยรอช ทิ้งท้ายเอาไว้ให้อมยิ้ม
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา