17 ธ.ค. 2021 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์
'มินามาตะ' โรคประหลาดในเด็กญี่ปุ่น ปรากฎการณ์แมวฆ่าตัวตาย และการต่อสู้ของภาคประชาชนกับโรงงานอุตสาหกรรม คดีที่มีการชดใช้ค่าเสียหายมากที่สุด
เมืองเล็กๆที่สงบสุขเป็นหนึ่งเดียวกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่บนเกาะคิวชู เป็นที่ตั้งของเมืองมินามาตะ (Minamata) รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์สีเขียวสดกลมกลืนไปกับสีครามของท้องฟ้าและท้องทะเล ตัวเมืองประกอบไปด้วยชุมชนที่ดูอบอุ่นของผู้คนประมาณ 30,000-40,000 คน เป็นเมืองที่ดูไม่แออัดและวุ่นวายเหมือนเมืองใหญ่ แม่น้ำและทะเลเป็นตัวหล่อเลี้ยงผู้คนและชุมชนมาแสนนาน อาชีพหลักของคนที่นี่คือการทำประมง
หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกของเธอที่ป่วยเป็นโรคมินามาตะ ขอบคุณรูปภาพจาก marumuru
แต่ภาพสวยงามเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยบาดแผลที่แฝงเอาไว้อย่างสาหัส และยังไม่อาจลบเลือนมันออกไปได้ แม่น้ำที่เต็มไปด้วยปลาหลายหลายชนิดรวมไปถึงรวบรวมจิตใจของคนทั้งเมืองเอาไว้ หลังจากมีการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น และหนึ่งในนั้นคือโรงงานผลิตปุ๋ยของบริษัทที่ชื่อว่าชิสโซะ (Chisso Corporation) ที่เปิดกิจการในปีค.ศ. 1908 และต่อมาก็พัฒนามาเป็นโรงงานผลิตสารเคมีขนาดใหญ่
ในปี ค.ศ.1971 ได้เกิดโศกนาฏกรรมกับผู้คนในเมือง เด็กที่เกิดในปีนั้นหลายคนมีร่างกายที่บิดเบี้ยว พิการ พูดไม่ได้ ไม่ได้ยิน ซึ่งคนในเมืองบางส่วนเชื่อว่าเป็นผลมาจากสารปรอทจากโรงงานที่ถูกปล่อยลงลำน้ำของเมือง และทำให้ปลาได้รับสารนั้นเต็มๆ ผู้คนก็ไปจับปลาเหล่านั้นมารับประทาน และก็ได้รับสารนั้นไปด้วย สำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ก็จะส่งสารพิษไปสู่ทารกเกือบทั้งหมด ทำให้เด็กๆที่เกิดมามีรูปร่างที่ไม่สมประกอบ
การค้นหาโรคมินามาตะ
1 พฤษภาคม พ.ศ.2499 เป็นวันที่ค้นพบโรคมินามาตะอย่างเป็นทางการ โดยสำนักงานสาธารณสุขของเมืองมินามาตะ กว่า 65 ปีที่ผ่านที่ผู้คนบนเกาะมินามาตะต้องทนทุกข์กับโรคร้ายที่ผลิตขึ้นจากมนุษย์ด้วยกันเอง
ต้นสายปลายเหตุมาจากเมื่อปีเดียวกันนั้น วันที่ 2 เมษายน เด็กหญิงรายหนึ่งชื่อ ชิซุโกะ วัย 6 ขวบ เด็กหญิงเริ่มมีอาการแปลกๆ ปกติเธอเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส แต่เธอกลับเริ่มมีอาการผิดปกติ เริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างพร่าเลือน จับตะเกียบไม่อยู่ เดินและพูดลำบาก ร่างกายเริ่มชักกระตุก พ่อแม่ของเธอเห็นก็ตกใจและรีบนำส่งโรงพยาบาลมินามาตะทันที
แต่หมอก็ไม่สามารถวินิจฉัยให้ได้ว่าเธอเป็นโรคอะไรกันแน่ ในวันที่ 29 เมษายน จิตสึโกะ น้องสาวของชิซุโกะวัย 3 ขวบ ก็เริ่มมีอาการเช่นเดียวกัน นจิตสึโกะไม่สามารถนั่งได้ กินอาหารไม่ได้และพูดไม่ได้ เรื่องรางวที่เกิดขึ้นกับเด็กๆทำให้ครอบครัวน้ำตาตกกันเกือบทุกวันเพราะหาทางรักษาเด็กหญิงไม่ได้
แพทย์ที่รักษาเด็กทั้ง 2 เริ่มตระหนักถึงความรุนแรงและอาการแปลกประหลาดนี้รวมไปถึงไม่ใช่เพียงเด้กหญิงทั้งสองที่มีอาการผิดปกตินี้ ก่อนหน้านี้ก็มีคนจำนวนหนึ่งมีอาการที่เป็นปริศนานี้ด้วยเช่นกัน เหล่าแพทย์จึงออกสำรวจผู้ป่วยตามบ้าน จนกระทั่งพบเด็กที่มีอาการป่วยในลักษณะเดียวกันถึง 8 คน อาการสำคัญคือ มีการอักเสบหรือบวมบริเวณสมอง หรือสมองถูกทำลาย เนื่องจากความผิดปกติบางอย่างที่สมองส่วนกลาง
ตามรายงานบันทึกการรักษาระบุว่า ลักษณะของเด็กเหล่านี้มีอาการวิกลจริตอ่อนๆ ขาดสารอาหาร กรีดร้อง นัยน์ตาดำขยายกว้างเล็กน้อย ลิ้นแห้ง แขนขาเคลื่อนไหวลำบาก กระตุกตัวแข็งเป็นบางครั้ง มุมมองสยาตาแคบลง แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานยิ่งหนัก แขนขาเริ่มบิดงออย่างรุนแรง
จากการชันสูตรศพและเก็บตัวอย่างหอย ปู ปลา และเครื่องปรุงอาหาร กลามแพทย์สันนิษฐานเบื้องต้นว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับน้ำเสียจากโรงงานของบริษัทชิสโสะอย่างแน่นอน บริษัทชิสโสะคือบริษัทผลิตปุ๋ยเคมี และได้มีการผลิตสาร Acetaldehyde ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของเคมีภัณฑ์หลายชนิด รวมไปถึงพบว่ามีการปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารปรอทลงสู่แหล่งน้ำของหมู่บ้าน จึงเป็นที่มาของความผิดปกติในเด็กที่เกิดใหม่ และสัตว์ต่างๆ
พวกเขาเคยทำการทดลองนี้กับแมว นั่นจึงเป็นที่มาของปรากฎการณ์ “แมวฆ่าตัวตาย” บนเกาะมินามาตะ เพราะแมวหลายตัวที่ได้รับสารเหล่านี้จะมีอาการเหมือนบ้า ดิ้นทุรนทุราย จนตายไป และมีหลายตัวที่กระโดดลงทะเลฆ่าตัวตายไปเลย
นายแพทย์ Hajime Hosokawa ผู้อำนวยการโรงพยาบาลของบริษัทชิสโซะ เป็นผู้ค้นพบคำตอบนี้ แต่ก็ได้ถูกปิดปากในเวลาต่อมา นั่นจึงเป็นเหตุให้ W.Eugene Smith ช่างภาพชาวอเมริกัน พยายามขุดคุ้ยเรื่องราวของโรคมินามาตะและพยายามที่จะนำมันไปเผยแพร่สู่โลกภายนอก แม้ว่าอุปสรรคที่เขาเจอนั้นเกือบทำให้เขาได้พบกับจุดจบของชีวิต และเขาก็เกือบถอดใจ แต่สุดท้ายเขาก็ให้ความช่วยเหลือจนถึงที่สุด
เรื่องราวนี้ได้ตีแผ่ผ่านสารคดี 'มินามาตะ ภาพถ่ายโลกตะลึง' แสดงโดยจอห์นนี่ เดปป์
หลังจากเรื่องราวถูกแพร่ออกไป มีการรวมตัวของผู้เสียหาย 138 รายและได้ทำการฟ้องร้องบริษัทชิสโซะต่อศาลจังหวัดคุมาโมโตในปี 1968 ซึ่งในปี 1973 ศาลก็ได้ตัดสินให้บรัทต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชาวเมืองราวๆ 158 ล้านบาท คดีนี้จึงกลายเป็นคดีที่กล่าวกันว่าเป็นคดีที่มีมูลค่าชดใช้ค่าเสียหายมากที่สุดในญี่ปุ่นด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ยังดำเนินการชดใช้มาจนถึงปัจจุบัน และเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของชาวบ้านตาดำๆด้วย
ถือเป็นกรณีศึกษาให้กับชาติอื่นๆในการจัดการข้อกฎหมายและกฎระเบียบการปล่อยสารเคมี โดยเฉพาะสารปรอทลงสู่แม่น้ำลำครอง เพราะผลลัพธ์ที่ตามมานั้น มันไม่เคยได้ประโยชน์อะไร นอกจากเม็ดเงินที่ไหลเวียนเข้าสู่กระเป๋านายทุน ผู้รับกรรมคือชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ
Content By Sutheemon_kum
โฆษณา