17 ธ.ค. 2021 เวลา 08:58 • คริปโทเคอร์เรนซี
“ผมจะไม่มีวันขายบิตคอยน์โดยเด็ดขาด”
สิ่งที่ขวางกั้น และโอกาสที่บิตคอยน์จะขึ้นไปถึง 100,000 USD
- Kevin O'Leary เป็นนักธุรกิจ นักเขียน นักการเมือง นักลงทุน และกรรมการในรายการ Shark Tank ซึ่งเป็นรายการชื่อดังในสหรัฐอเมริกาที่ให้ผู้เข้าแข่งขันเข้ามาเสนอโปรเจคและรับเงินลงทุนในการทำธุรกิจโดยแลกกับการเป็นหุ้นส่วน
- Kevin ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Alex McShane ในรายการ The Center Cannot Hold ทางช่อง Bitcoin Magazine
============
1. Regulation คือสิ่งที่ขวางกั้นไม่ให้สถาบันลงทุนในบิตคอยน์
============
- สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ regulatory ในปี 2017 การซื้อบิตคอยน์ต้องทำแบบแอบๆ เพราะในวงการ Fintech, Financial Service ธุรกิจพวกนี้มันถูก regulate มากๆ regulator ไม่สนับสนุนคริปโต
- เหตุผลเดียวที่สถาบันชั้นนำและบริษัทใหญ่ๆ ยังไม่ครอบครองบิตคอยน์ เพราะว่ามันยังไม่ผ่านฝ่ายอนุมัติตามข้อบังคับ (compliance department) ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นโอกาส เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะเริ่มมีคนใช้มันมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือน US Dollar ที่กว่าจะกลายเป็นสกุลเงินของโลกก็ใช้เวลาเป็นร้อยปี บิตคอยน์ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกันในการที่จะเป็นแบบนั้น
- ในฐานะนักลงทุนคุณจะต้องตัดสินใจจะเป็นครอบครองบิตคอยน์หรือไม่ครอบครองบิตคอยน์ เมื่อคุณคิดได้แล้วว่าคุณจะครอบครองบิตคอยน์ คุณก็ต้องให้ compliance department อนุมัติ สมมุติเมื่อคุณได้รับอนุมัติแล้ว ก็ต้องมาคิดต่อว่า คุณจะถือมันอย่างไร จะถือมันที่ไหน จะใช้มันเหมือนเป็นสกุลเงิน จะเทรด หรือจะเก็บเป็นทรัพย์สินเหมือนอสังหาริมทรัพย์
- เหตุผลที่ผมถือบิตคอยน์ ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ ผมเชื่อว่าภายในอีก 5 ปีข้างหน้า บิตคอยน์จะถูกอนุมัติให้ซื้อได้โดยสถาบันขนาดใหญ่ และความต้องการที่มหาศาลนั้นจะทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
- ความต้องการ (demand) ของบิตคอยน์มีมากมายในระดับผู้บริหารสถาบัน ผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนระดับผู้จัดการ แต่สิ่งเดียวที่ทำให้มันไม่เกิดขึ้นคือติดที่ compliance department และนั้นคือเหตุผลที่เราต้องการให้ regulator มีการออกมาตรฐาน (standardization)
============
2. การลงทุนของสถาบันกับบิตคอยน์ในอนาคต
============
- การกระจายความเสี่ยงแบบคลาสสิคของสถาบัน (Classic Institution Diversification Matrix) คือ ไม่ลงทุนในหุ้น (stock) หรือพันธบัตร (bond) ตัวใดตัวหนึ่งเกิน 5% และไม่ลงทุนในอุตสาหกรรม (sector) ใดอุตสาหกรรมหนึ่งเกิน 20% และโดยทั่วไปจะเป็นอัตราส่วน 50:50 หรือ 70:30 ระหว่าง equity กับ fixed income อันนี้เป็นโมเดลที่ใช้กันมาเป็นร้อยๆ ปี
- สิ่งที่เป็นถกเถียงกันเกี่ยวกับบิตคอยน์คือ สถาบันจะมองบิตคอยน์เป็นหุ้นหรือพันธบัตรแล้วลงทุนไม่เกิน 5% หรือจะมองว่าบิตคอยน์เป็นอุตสาหกรรม (sector) แล้วลงทุนไม่เกิน 20%
- ตอนนี้ใน S&P 500 มีทั้งหมด 11 sector (ซึ่งอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในนั้น) เชื่อว่าบิตคอยน์ (หรืออาจจะเป็นคริปโตทั้งหมด) ควรจะได้รับการพิจารณาเป็น sector ที่ 12 ของ S&P 500 ซึ่งทำให้สถาบันสามารถลงทุนได้มากถึง 20% ของพอร์ต ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ถูกมองเป็น sector เรายังห่างไกลจากนั้นมาก แต่ผมคิดว่าบิตคอยน์ที่ถือว่าเป็นคุณปู่ของคริปโตทั้งหมด และเป็นที่ต้องการที่สุดจากสถาบัน สุดท้ายจะถูกมองเป็น sector ไม่ได้ถูกมองเป็น stock
- โอกาสที่แท้จริงสำหรับบิตคอยน์ที่จะขึ้นไปเกิน 100,000 USD หรือมากกว่า คือต้องมีธุรกิจแบบดั้งเดิมเริ่มคิดที่จะลงทุนในบิตคอยน์ในอัตราส่วน 5% หรือ 20%
- มันไม่มีคริปโตตัวอื่นที่มีความต้องการโดยสถาบันมากไปกว่าบิตคอยน์ และผมเชื่อว่ามันจะไม่ถูกเทรด ถูกมองเป็นสกุลเงิน หรือถูกมองเป็นระบบจ่ายเงิน แต่ผู้คนจะใช้มันเพื่อเป็นสินทรัพย์ (asset) เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ (inflation) นั้นเป็นความคิดส่วนตัวของผม
============
3. มีจุดไหนที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดที่เราควรจะขายบิตคอยน์ออกไปไหม
============
- ถ้าผมจะเริ่มทำแบบนั้น ผมจะต้องคิดว่าบิตคอยน์เป็นระบบการจ่ายเงิน (payment system) แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด สำหรับการลงทุนในบิตคอยน์ ผมไม่เคยขายออกไปสักเหรียญเลย และจะไม่มีวันขายออกไปด้วย ผมอาจจะ stake มัน ซึ่งผมทำไปแล้ว แต่ผมจะไม่มีวันขายมันออกไปเด็ดขาด
- ตอนนี้ผมมีเหรียญอยู่มากจำนวนนึงและผม stake มันเพื่อให้ได้ USDC และใช้ USDC เป็นระบบการจ่ายเงิน
- โลกที่เกี่ยวกับบิตคอยน์ทั้งหมดจะเริ่มยากขึ้นเหมือนมีคนอย่างผมมากขึ้น คนที่ไม่เคยคิดจะขายบิตคอยน์ และนั่นคือจุดที่คนถกเถียงกันว่าบิตคอยน์คืออะไร ผมคิดว่ามันคือทรัพย์สิน (property) และผมเป็นเจ้าของมัน เพราะมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (unique) มันมีไม่เพียงพอ (scarce) และหายากขึ้นเรื่อยๆ
- ผมจะไม่มีวันขายมัน และถ้าสักครึ่งนึงของโลกคิดแบบผม แต่อีกครึ่งโลกไม่คิด และคิดว่ามันคือระบบการจ่ายเงินแบบ decentralized ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะที่มันหายากขึ้นเรื่อยๆ และต้นทุนในการได้มาสูงขึ้น มันเป็นเรื่องท้าทายมากที่จะใช้มันเป็นระบบการจ่ายเงิน มากกว่าการเป็นทรัพย์สิน เรื่องนี้อาจจะต้องรอดูกันอีกทีในอนาคต
============
4. ในอนาคตที่สถาบันเปิดกว้างมากขึ้น บิตคอยน์จะเข้ามาแทนที่ทองคำ ที่ดิน และหุ้นไหม
============
- สุดท้ายแล้วผู้ลงทุนมองหาสิ่งเดียวเท่านั้นก็คือ ผลลัพธ์ของการลงทุนที่มีการต่อต้านและความเสี่ยงน้อยที่สุด (performance with the least resistance and risk) เพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าคุณคิดว่า perfomance ของบิตคอยน์จะเป็นยังไงถ้าเทียบกับทางเลือกในการลงทุนอื่นๆ มันอาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วมันจะไม่มีวันกลายเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่สถาบันลงทุนได้ เพราะด้วยข้อกำหนดของการลงทุนที่ต้องมีความหลากหลาย (diversity mandates)
============
5. สิ่งที่คุณคาดหวังสำหรับบิตคอยน์คืออะไร
============
- สิ่งที่ผมอยากจะให้แก้ไขในทันทีคือ ประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง ESG (Environmental, Social, and Governance) ซึ่งจริงๆ มีการริเริ่มแก้ไขไปบ้างแล้วในบางที่
- การขุดบิตคอยน์สามารถจะทำให้เป็นกิจกรรมที่ยั่งยืน (sustainable activity) ได้ เพราะว่ามันบังคับให้คุณต้องหาต้นทุนที่ถูกที่สุดในการขุด หาพลังงานที่ยั่งยืนที่สุด
- โครงการต่างๆ พวกนี้เริ่มมีขึ้นแล้วในประเทศแถบนอร์ดิก ตอนเหนือของแคนาดา หรือในตะวันตกของเท็กซัส
- ผมจะเถียงว่าจริงๆ แล้วมันจะดีมากๆ สำหรับพลังงาน เพราะโรงงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะถูกผลักดันให้สร้างขึ้น ยังสามารถแบ่งพลังงานบางส่วนไปให้ท้องถิ่นใช้งานอีกด้วย
- ตอนนี้ Bitcoin miners และ data operators ที่เข้ามาในสหรัฐอเมริกากำลังเริ่ม operate ด้วยความ sustainable ในการผลิตพลังงาน มันสำคัญมากที่จะนำสิ่งนี้ไปสู่สถาบันทั่วโลก ไม่ใช่บิตคอยน์ทั้งหมดที่ถูกขุดด้วยถ่านหิน มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว
- เหตุผลนึงที่มันไม่ถูกทำให้อยู่ใน sustainability committees เพราะจดหมายของ Larry Fink ผู้จัดการทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุดในโลกพูดถึง ESG sustainability และเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับ Bitcoin เราต้องการการแก้ไขในประเด็นนี้ เพราะผมเชื่อว่ามีลูกค้าหลายๆ คนของ Blackrock (บริษัทของ Larry Fink) ต้องการจะซื้อบิตคอยน์ แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นคำถาม เพราะเขายังไม่เห็นสิ่งนี้ถูกแก้ไข
- หนึ่งในทางที่สถาบันหรือรัฐบาลต่างประเทศจะลงทุนในบิตคอยน์ได้ คือการลงทุนในการพัฒนา data center และ mining facility ที่เป็น mining sustainably นี้เป็นหนึ่งในวีธีแก้ปัญหา มีเจ้านึงที่ผมเห็นว่าเริ่มทำไปแล้ว และเชื่อว่ามีอีกหลายๆ เจ้าที่กำลังทำ จะทำให้คนไม่มองว่าบิตคอยน์เป็นการลงทุนที่ขัดกับ ESG อีกต่อไป
============
6. คิดว่าสิ้นปีนี้บิตคอยน์จะราคาเท่าไหร่
============
- มีคนพูดว่ามันจะถึง 100,000 USD แต่จริงๆ แล้ว คนที่จะกำหนดราคาของบิตคอยน์ตอนสิ้นปีคือ regulator ยิ่งพวกเขาเปิดกว้างมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ demand เกิดขึ้นมากขึ้นเท่านั้น
- สัญญาณด้านบวกใดๆ ก็ตามจาก regulator จะช่วยเสริมราคาของบิตคอยน์ให้เพิ่มขึ้น มันแค่รอความมั่นใจในระดับสถาบันว่า regulator จะไม่ทำอะไรรุนแรง และผมคิดว่าพวกเขาก็จะไม่ เพราะพวกเขาต้องการ innovation
- ผมพูดสิ่งนี้อยู่บ่อยๆ ว่า developer มือทองที่เก่งที่สุดอยู่ใน Bitcoin Community เพราะมันคือที่ๆ มีโอกาส แล้วทำไมคุณถึงจะต้องการขัด innovation ละ regulator คงแค่ต้องการจะใช้เวลาในการทบทวน มันเหมือนขดลวดสปริง วินาทีที่ regulator อนุมัติสินทรัพย์พวกนี้ ราคาจะพุ่งขึ้นไปอย่างมหาศาล
============
7. คำแนะนำสำหรับคนที่ยังสงสัยเกี่ยวกับบิตคอยน์หรือเพิ่งเข้ามาในวงการ
============
- อยากแนะนำให้ลองศึกษามันดู วิธีคือเริ่มต้นเล็กๆ ให้เข้าใจแพลตฟอร์ม เข้าใจวิธีการซื้อผ่าน centralize หรือ decentralize ลองให้หมดทุกทาง เรียนรู้โดยประสบการณ์ มันมีหลายวิธีที่จะเข้าหามัน มีหลายวิธีที่จะเป็นเจ้าของ
- ผมสนับสนุนให้ทุกๆ คนเรียนรู้ ลูกชายอายุ 25 ปีของผม เรียนรู้วิธีการเทรดทุกวิธี การถือทุกรูปแบบ การ stake เขาเรียนรู้ทั้งหมดด้วยตัวเอง เขาเป็นคนรุ่นต่อไป เขาไม่เคยไปธนาคาร และไม่รู้ทำไมจะต้องไปด้วย
- เริ่มตั้งแต่ Gen Z, Gen Y และตอนนี้ Baby Boomers ก็เริ่มที่จะเรียนรู้ แน่นอนเราอาจจะทำผิดพลาดเสียเหรียญไปบ้าง แต่ถ้าเราทำด้วยจำนวนเล็กๆ เราก็จะเรียนรู้ที่จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำ
- ผมคิดว่าบิตคอยน์เป็นโลกที่มหัศจรรย์ เป็นทรัพย์สินที่ยอดเยี่ยม เป็นสิ่งที่คุณควรเป็นครอบครอง ถ้าคุณเป็นนักลงทุน และข่าวดีคือ community นี้มีแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ที่มากมาย คุณอาจจะใช้เวลาแค่ 3-4 ชั่วโมง ก็สามารถกลายเป็นคนที่รู้เรื่องในระดับนึงเกี่ยวกับบิตคอยน์ว่ามันทำงานยังไง และจะครอบครองมันยังไง
============
สรุปจาก I would NEVER Sell My Bitcoin - Kevin O'Leary
===========
#Bitcoin #BitcoinMagazine #KevinOLeary #วันนี้สรุปมา
โฆษณา