19 ธ.ค. 2021 เวลา 07:00 • ข่าวรอบโลก
สรุปประเด็นร้อนรอบโลก ด้านการเงินการลงทุน
ระหว่างวันที่ 13 - 19 ธ.ค. 2564
สรุปข่าว
1️⃣
ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับหากเก็บภาษีขายหุ้นกระทบวอลุ่มเทรด แนะคลัง-ก.ล.ต.พิจารณาอัตราเหมาะสม เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนักลงทุน และยังช่วยให้เราแข่งขันกับตลาดอื่นได้ในภูมิภาค
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้มุมมองเกี่ยวกับประเด็นภาษีขายหุ้นว่า การจัดเก็บภาษีจะทำให้ต้นทุนของนักลงทุนสูงขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะมีนักลงทุนบางประเภทที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นกลุ่มเทรดดิ้ง ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศที่ซื้อขายเร็วด้วยการหวังกำไรระยะสั้นคงจะมีผลกระทบ โดยคงจะต้องรอให้ราคาของสินทรัพย์ของตราสารเคลื่อนไหวมากกว่าเดิมถึงจะมีการซื้อขาย เพราะฉะนั้นจะมีการกระทบต่อวอลุ่มการซื้อขายของตลาดแน่นอน จากปัจจุบันที่ตลาดมีมูลค่าการซื้อขายที่ราว 9 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งยังคงสูงเป็นอับดับ 1 ในภูมิภาคเอเซียน
ดังนั้น อยากกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ควรพิจารณาการจัดเก็บภาษีขายหุ้นอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะกระทบกับนักลงทุนเหมาะสม ซึ่งหากมีการจัดเก็บภาษีตามปริมาณการซื้อขาย หรือ หลักเกณฑ์บางอย่าง จะสามารถลดผลกระทบกับนักลงทุนได้
ด้านอัตราการจัดเก็บภาษีที่จะใช้ มองว่าควรมีความเหมาะสมและเป็นอัตราภาษีที่ยังสามารถให้ตลาดทุนไทยแข่งขันกับตลาดอื่นๆในภูมิภาคได้
นอกจากนี้ ควรมีระยะเวลาแจ้งนักลงทุนให้ทราบล่วงหน้าอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะให้นักลงทุนปรับตัวได้ทัน รวมไปถึงในอุตสาหกรรมจะต้องมีการวางแผนเรื่องระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษี การเก็บข้อมูล และระบบด้านอื่นๆ ให้ทันเวลา
ภาครัฐมองว่าปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บภาษีดังกล่าวเนื่องจากได้รับการยกเว้นมาหลายปีแล้ว และปัจจุบันภาครัฐมีความจำเป็นที่จะเก็บภาษีเพื่อมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเราได้วิเคราะห์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากมีการเก็บภาษีขายหุ้นกับคลัง และ ก.ล.ต. ไปเพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งเราอยากจะให้พิจารณาอย่างเหมาะสมเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนักลงทุน และยังช่วยให้เราแข่งขันกับตลาดอื่นๆได้ในภูมิภาค
ขณะที่การรับรู้ข่าวสารว่าจะมีการจัดเก็บภาษีของนักลงทุนในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก มองว่าเป็นผลมาจากที่ได้รับรู้ข่าวนี้มานานแล้ว และรับรู้ว่าจะมีการจัดเก็บภาษีเกิดขึ้น รวมไปถึงปริมาณการซื้อขายในช่วงปลายปีที่ค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้มีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่มากนัก
2️⃣
อีก 3 ปี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจไร้เงาบริษัทจีน นักวิเคราะห์เชื่อ หมดเวลาของบริษัทจีน เตรียมถอนตัวจากตลาดวอลล์สตรีทกลับฮ่องกงหรือเซี่ยงไฮ้ภายในปี 2024
David Loevinger จาก TCW Group บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลกกล่าวกับ CNBC ว่า ตอนนี้หมดเวลาของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว โดยนี่คือความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมากว่า 20 ปี และยังไม่สามารถแก้ไขได้
ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ก.ล.ต.สหรัฐฯ ได้ประกาศกฎหมายที่อนุญาตให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถถอนบริษัทต่างชาติออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ หากผู้สอบบัญชีไม่ปฏิบัติตามคำขอ โดยนี่เป็นส่วนหนึ่งของ กฎหมาย HFCAA ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2020 หลังหน่วยงานกำกับดูแลจีนปฏิเสธคำร้องจากคณะกรรมการกำกับดูแลบัญชีบริษัทมหาชนของสหรัฐฯ มาหลายครั้ง
David Loevinger กล่าวว่า ความไม่เชื่อใจกันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไม่น่าจะดีขึ้นในเร็วๆ นี้ และไม่มีทางที่ความสัมพันธ์จะดีขึ้นภายในไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเขาคาดว่า บริษัทจีนส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ จะกลับมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงหรือเซี่ยงไฮ้ภายในปี 2024
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ Didi ผู้ให้บริการเรียกรถโดยสารรายใหญ่ที่สุดของจีน ที่ออกมาประกาศหลัง IPO ในสหรัฐฯ ไปไม่ถึง 6 เดือนว่า บริษัทเตรียมถอนตัวจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และวางแผนจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทน
ก่อนหน้าประกาศดังกล่าว มีรายงานระบุว่า รัฐบาลจีนรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของ Didi ที่ตัดสินใจ IPO เข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยไม่แก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ซึ่งเป็นความกังวลใหญ่ของทางการจีน
การถอนตัวออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งใน Nasdaq หรือ NYSE จะทำให้บริษัทสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนในวงกว้าง หลายฝ่ายมองว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบถึงนักลงทุน เพราะบริษัทส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้จดทะเบียนในตลาดหุ้นของเขตปกครองพิเศษฮ่องกงด้วยเช่นกัน และบริษัทที่จะทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำด้านเทคโนโลยีของจีนอย่าง Alibaba, JD.com, Baidu, NetEase และ Weibo
3️⃣
เจอโรม พาวเวลล์ มองเหรียญคริปโต Stablecoins ช่วยระบบการเงินเก่ามีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ต้องได้รับการกำกับดูแลที่ดี
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยว่าการเข้ามาของสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซีจะทำให้ระบบการเงินแบบเก่าหายไป ในทางกลับกัน เขามองว่า ‘Stablecoins’ หรือเหรียญดิจิทัลอิงสกุลเงินดอลลาห์นั้นจะทำให้ระบบการเงินเก่ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหากมีการกำกับดูแลที่ดีขึ้น
โดยพาวเวลล์ออกมาสนับสนุนรายงานจากคณะทำงานของประธานาธิบดีด้านตลาดการเงินที่ได้ตีพิมพ์ออกมาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ถึงเสถียรภาพของคริปโตว่าทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็กำลังคอยสอดส่องประเด็นความเสี่ยงต่างๆ และจะเข้าไปจัดการตามสมควร และควรเข้าไปกำกับดูแลอย่างเร่งด่วน
ทางพาวเวลล์มองว่า Stablecoins มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพต่อผู้ใช้งานในระบบการเงินหากได้รับการควบคุมที่ดี เนื่องจากธนาคารกลางเป็นไปเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาในระบบการเงินมั่นใจว่าปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ได้รับการดูแลที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม เหรียญดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการขยาย (Scale) และจะดีอย่างมากหากร่วมมือกับเครือข่ายของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
นอกจากนี้ Fed ก็ไม่ได้มองว่าคริปโตจะสร้างความไม่มีเสถียรภาพทางการเงิน หากแต่ความกังวลอยู่ที่คริปโตถูกทำให้เป็นสินทรัพย์ของการเก็งกำไรเสียมากกว่า จากการไม่มีสินทรัพย์ใดอ้างอิง
อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์มองว่า เขาก็จะยังคงไม่เดินตามแนวทางอย่างที่รัฐบาลจีนทำกับคริปโตแน่นอน ซึ่งหมายถึงการสั่งแบน
Next Week!! ประเด็นที่น่าจับตาในสัปดาห์หน้า
- ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนธ.ค. ของยุโรป ในวันที่ 21 ธ.ค.
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 22 ธ.ค.
- การนำเข้าและส่งออกของไทย ในวันที่ 23 ธ.ค.
ฝากติดตามเพจ Cashury - เพจความรู้พื้นฐานด้านการเงินการลงทุน
ติดตาม Cashury ผ่านช่องทางอื่นๆ ได้ที่
🔸YouTube Channel: https://www.youtube.com/cashury
โฆษณา