20 ธ.ค. 2021 เวลา 01:01 • ปรัชญา
"คืนสู่ธรรมชาติ ... ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่"
" ... ศีลรักษาไว้ ทานทำได้ถ้ามีโอกาสทำก็ทำ
ศีลต้องทำเพราะมีโอกาสรักษาศีลอยู่แล้ว
สมาธิทำทุกวัน ทุกวันต้องไหว้พระ สวดมนต์
นั่งสมาธิ เดินจงกรม
แบ่งเวลาไว้เลยให้มันเด็ดเดี่ยวลงไป
ถ้าทำได้ ผ่านไปสัก 3 เดือนจิตเราจะมีกำลัง
มันจะเข้มแข็งขึ้นมา
อย่างในพรรษาเราก็ชอบตั้งอธิษฐานไว้ว่า
พรรษานี้เราจะสร้างคุณงามความดีอย่างนี้ๆ เป็นพิเศษ
เราก็ตั้งใจทำ ทำได้จริงๆ ตลอดพรรษา
บางคนตั้งใจไม่กินเหล้าตลอดพรรษา
ตอนออกพรรษาจิตมันจะมีพลัง
แต่พวกนี้พอออกพรรษาก็รีบไปกินเหล้า
ที่สะสมไว้มันก็สลายไปหมดอีก
1
ความดีถ้าเราทำสม่ำเสมอ จนกระทั่งเป็นความเคยชิน
เขาเรียก อาจิณณกรรมฝ่ายดี
ถ้าเคยชินจะทำชั่ว ก็เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายชั่ว
เป็นอาจิณเป็นประจำ
อาจิณณกรรมฝ่ายดีทำทุกวัน
อย่างไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
อะไรอย่างนี้ทำทุกวันๆ มีอาจิณณกรรมที่ดี
มันสะสมพลังของจิต จิตก็จะได้พลังมีเรี่ยวมีแรง
เอาไปเดินปัญญาง่าย
หรือเรามี อาจิณณกรรม
ทำสมถะและวิปัสสนา สองอย่างเลย
เวลาเกิดอะไรขึ้นในชีวิต จิตมันจะไม่ดิ้น
เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาอย่างนี้จะตายอยู่แล้ว
จิตมันไม่ดิ้นรนหรอก
มันมีทั้งศีล มีทั้งสมาธิ มีทั้งปัญญา
ศีล พอคิดถึงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา รักษาศีลมาด้วยดี
จิตมันจะอบอุ่น มันจะมีความอบอุ่นเกิดขึ้นในจิตใจ
ใกล้จะตายแล้วจิตมันอบอุ่นขึ้นมา
เคยทำสมาธิกำลังจะตาย จิตมันก็ทรงสมาธิอยู่
เช่น หายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป
เห็นลมหายใจกำลังจะขาดไปแล้ว
จนกระทั่งมันขาดไปเลย
ตายไปด้วยจิตที่ทรงสมาธิอย่างไรก็ไปดี
หรือเคยเจริญปัญญามาเชี่ยวชาญ
ก็เห็นร่างกายที่กำลังเจ็บหนัก ร่างกายที่ใกล้จะตายนี้
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ
มันก็ทำหน้าที่ของมันสมบูรณ์แล้ว
ตอนนี้มันจะเลิกทำหน้าที่ของมันแล้ว ใจมันยอมรับได้
พวกปัญญา มีปัญญาใจมันก็ยอมรับ
ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ฉะนั้นจะตายด้วยความเบิกบาน
ถ้ามีปัญญาจะเบิกบาน เห็นร่างกายมันตาย
โอ๊ย ใจมันเบิกบาน
ตัวทุกข์มันจะตายแล้วไม่ใช่ของดีตาย
มันเห็นเลยตัวทุกข์มันจะตายแล้ว จิตมันเบิกบาน
เพราะจิตมันอบรมมาดีแล้ว
จิตที่อบรมมาดีแล้ว
มันคืนกาย มันคืนใจให้ธรรมชาติ ตั้งแต่ยังไม่ตาย
ไม่ใช่ตายแล้วก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ อันนั้นยังไม่ใช่
มันคืนธรรมชาติตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นี่ล่ะ
เราเห็นเลยกายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
มันสมบัติของโลก
มันคืนให้โลกไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะตาย
อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าภาวนา
ฉะนั้นเราตั้งอกตั้งใจภาวนาของเราทุกวันๆ ไป
ถึงวันหนึ่งเราคืนกายคืนใจให้โลกไป
ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นชีวิตที่เบา ชีวิตที่รู้ตื่นเบิกบาน
สัมผัสอยู่กับพระนิพพาน สงบ มีความสงบ
มีความสุขอันมหาศาล
เวลาจะตายก็จะเห็นว่าตัวทุกข์มันจะแตก จะรู้สึกอย่างนั้น
ตัวทุกข์มันจะแตกไม่ใช่ตัวเราจะตาย ใจเบิกบาน
คนทั่วไปยังรักกายหวงกายอะไรอย่างนี้
พอจะตายก็เสียดายร่างกายนี้
หรือทรัพย์สมบัติ ครอบครัวลูกเมีย ทุกสิ่งทุกอย่าง
เคยอาศัยร่างกายนี้เที่ยวแสวงหามามากมาย
พอมันจะตายแล้วจะสูญเสียทีเดียวทั้งหมด
แต่เราภาวนาเราเจริญปัญญาเป็น เราคืนทุกอย่างแล้ว
มันสมบัติของโลกทั้งนั้น ร่างกายนี้ก็เป็นสมบัติของโลก
ฉะนั้นบ้านช่องห้องหออะไรของเรา
มันก็สมบัติของโลกทั้งหมด ใจมันไม่เดือดร้อน
ภาวนาถึงจุดสุดท้ายแล้ว
เวลาจะตายแล้วจะรู้ว่าตัวทุกข์มันจะแตกแล้ว
ตัวทุกข์จะแตกเราจะกลุ้มไหม ไม่กลุ้มหรอกมันเบิกบาน
เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านผ่องใสที่สุดมี 2 วัน
วันที่ตรัสรู้กับวันที่ปรินิพพาน
2 วันนี้เป็นวันที่ท่านผ่องใสที่สุด เบิกบาน ผ่องใส
วันที่ตรัสรู้ท่านเข้าถึงพระนิพพานของกิเลส
เป็นกิเลสปรินิพพาน เรียกสอุปาทิเสสนิพพาน
จิตเข้าถึงพระนิพพาน
ตรงนั้นล่ะท่านคืนทุกอย่างให้ธรรมชาติไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่ใช่คืนตอนปรินิพพาน ตอนตาย
คืนตั้งแต่ตอนนั้นเลย
ฉะนั้นท่านผ่องใส ท่านเบิกบาน ท่านเป็นอิสระ
จิตตอนนั้นมีพลังงานมหาศาล มันจะฟอกขันธ์
ฉะนั้นท่านพูดไว้เองท่านบอกพระอานนท์
ท่านจะผ่องใสเป็นพิเศษ 2 วัน
วันที่ท่านตรัสรู้ กับวันที่ท่านปรินิพพาน
วันตรัสรู้จิตท่านทรงฌาน ทรงสมาธิ ทรงปัญญา
มันเป็นความผ่องใสอย่างยิ่ง
ถ้าเรามีสมาธิเราก็ผ่องใส
แต่ถ้ามีปัญญาควบสมาธิเข้าไปจริงๆ แล้วก็ผ่องใสอย่างยิ่ง
เวลาเราเห็นหน้าคน คนฟุ้งซ่านหน้าตาดูไม่ได้น่าเกลียด
คนมีสมาธิสงบสุข ดูเขาผ่องใส
แต่คนที่เขามีปัญญาเห็นความจริงของรูปนามกายใจ
เขาวางได้เขาใสกริบเลย ใสแบบพูดไม่ถูกเลย
ฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือ ความดีทั้งหลายนั่นล่ะทำไว้
ทานมีโอกาสทำก็ทำ ศีลต้องรักษา
สมาธิต้องฝึกทั้งความสงบ ทั้งการเจริญปัญญา
ถ้าเราทำอย่างนี้ได้เท่ากับเราได้ใช้ชีวิตของเรา
ใช้ร่างกายของเรา ทำประโยชน์สูงสุดแล้วให้ตัวเอง
การสงเคราะห์ช่วยเหลือคนอื่นก็เป็นประโยชน์รองลงไปแล้ว
แต่ประโยชน์ที่สำคัญเลยคือพัฒนาตัวเองได้
นำตัวเองไปสู่ความรู้ถูก ความเข้าใจถูก พ้นทุกข์ได้
สุดท้ายจิตมันอยู่กับสุญญตา อยู่กับความว่าง
อยู่กับพระนิพพาน สงบสุข สว่าง ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
ธรรมะอย่างนี้ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า เราจะไม่ได้ยินหรอก
อาศัยปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าท่านสอนมา
1
ครูบาอาจารย์ท่านก็ศึกษาสืบเนื่องกันมา
หลวงพ่อก็เรียนจากครูบาอาจารย์มา
ถึงวันนี้ก็เอามาบอกพวกเราว่า
เส้นทางไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นก็เส้นทางอย่างนี้ล่ะ
ทำทาน ถือศีล ภาวนาไป
ทั้งสมถกรรมฐาน ทั้งวิปัสสนากรรมฐาน
ทำสมถะจะได้ความสงบ
ทำวิปัสสนากรรมฐานจะได้ปัญญา
บุญทั้งหลาย สิ่งที่เรียกว่าบุญ
เป็นการสร้างคุณงามความดีทั้งหลาย เป็นบุญ
แต่สิ่งที่เป็นกุศลต้องประกอบด้วยปัญญา
กุศลแปลว่าความฉลาด
ทำบุญแล้วเราได้อะไร ทำบุญแล้วเราได้ความสุข
เราเจริญกุศลเราได้อะไร เราได้ความพ้นทุกข์
มันเหนือกว่ากันอยู่ชั้นหนึ่ง
เราทำบุญสิ่งที่เราจะได้คือความสุข
อย่างเรารักษาศีลมาดี พอเรานึกถึงเราก็มีความสุขแล้ว
เราได้ช่วยคนอื่น ช่วยสัตว์อื่นอะไรอย่างนี้
พอเรานึกถึงก็มีความสุขแล้ว
เรานั่งสมาธิ เดินจงกรมจิตสงบ
เข้าฌานได้อะไรได้ก็มีความสุข
แต่เราเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ ได้ปัญญา
มันเหนือกว่าบุญคือตัวกุศล กุศลเป็นความฉลาด
รู้ผิดชอบชั่วดี
รู้สิ่งที่ควรละเว้น สิ่งที่ควรประพฤติ มันจะรู้
ก็สามารถพัฒนาจิตใจตัวเองไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
ฉะนั้นบุญให้ความสุขเรา กุศลให้ความพ้นทุกข์
เราทำได้ทั้งบุญทั้งกุศลดีที่สุด
มีทั้งความสุขด้วยและไม่ทุกข์ด้วย
ความพ้นทุกข์มันเป็นอย่างไร
ความพ้นทุกข์ อะไรคือทุกข์
รูปนามขันธ์ 5 นั่นล่ะคือตัวทุกข์ กายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์
ทำกุศลให้ถึงพร้อม เห็นความจริงของรูปนามกายใจได้
วางความยึดถือในรูปนามกายใจได้ เรียกพ้นทุกข์
พอรูปนามกายใจมันถึงวาระที่มันแตกดับ
นั่นคือดับทุกข์ ทุกข์มันดับไม่ใช่เราตาย
มันไม่มีเรามาแต่แรกแล้ว
ค่อยๆ เรียนค่อยๆ ฝึกไปอย่าท้อถอย
ทำทุกวันๆ ไปเถอะความดีทั้งหลาย
มีโอกาสทำๆ ไปเรื่อยๆ แล้วเวลาคับขันจวนตัว
บุญจะมาช่วยเรา ส่วนกุศลจะพาเราพ้นทุกข์ได้. ..."
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
11 ธันวาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์ฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา