20 ธ.ค. 2021 เวลา 07:10 • นิยาย เรื่องสั้น
กรรมที่หลายคนประมาท
เรื่องนี้นำมาจากเค้าโครงเรื่องจริง และขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของเรื่องที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่เป็นธรรมทาน แต่ขออนุญาติใช้นามสมมุติแทน
เรื่องนี้น่าจะเป็นกรรมใกล้ตัว เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม คิดว่าไม่เป็นไร สามารถทำได้ น้อยคนนักที่จะตระหนักว่าเป็นสิ่งไม่ควร เป็นสิ่งที่ก่อเวรกรรม ผูกเวรต่อไป
นี่คือเรื่องราวของสารภี พนักงาน Office คนหนึ่ง ที่ทำงานแบบรูทีน ไม่ได้มีแรงบันดาลใจ หรือเป้าหมายในการทำงานอะไร แค่ทำให้เสร็จ สิ้นเดือนรับเงินเดือนเป็นพอ
เงินเดือนก็น้อย โบนัสเท่าหางอึ่ง อย่าเรียกว่าโบนัสเลย เรียกว่าค่าขนมดีกว่า อาศัยว่าทำมานานแล้ว แก่แล้ว หมดไฟจะไปทำอะไรอย่างอื่น
ลูกเล็ก ผัวยังเด็ก จะลาออกไปหางานใหม่ ก็ไม่กล้ารับความเสี่ยง อีกอย่างงานที่นี่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร นั่งๆ ไป คุยๆ ไป หมดเวลา ก็ตอกบัตรกลับบ้าน
สารภีทำงานในตำแหน่งธุรการ ต้องดูแลเอกสาร และเบิกจ่ายอุปกรณ์สำนักงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียน หมึกพิมพ์ กระทั่งอุปกรณ์ของแม่บ้านทำความสะอาด เช่น กาแฟ น้ำตาล น้ำยาล้างห้องน้ำ
สารภีรับหน้าที่นี้มาเป็นสิบปี จนแทบจะหลับตาทำได้ และสิ่งที่สารภีทำเป็นประจำทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี คือการนำของใช้สำนักงาน ไปใช้ส่วนตัว
ไม่ว่าจะเป็นซองจดหมาย เครื่องเขียนก็เอาไปให้ลูกใช้ในการเรียน กระดาษ A4 หมึกพิมพ์ แฟ้มเอกสาร ที่เย็บกระดาษ เรื่อยไปจนถึงอุปกรณ์ของแม่บ้าน เช่น กาแฟ น้ำยาล้างจาน กระทั่งน้ำยาขัดห้องน้ำ
เวลาลูกจะทำรายงาน สารภีจะนำมา print ที่ทำงาน print ทีก็ใช้กระดาษของ office ใช้ทีเป็นรีมๆ
กระทั่งกระดาษรีไซเคิล ที่แม่บ้านจะต้องเก็บขายเพื่อนำมาเป็นเงินและนำเข้าบริษัท
สารภี ยังแอบม้วนกระดาษเหล่านั้นยัดใส่กระเป๋ากลับบ้านทุกวัน วันละหลายๆ ม้วน สิ้นเดือนทีก็ขายซาเล้งได้หลายร้อยบาท
สารภีทำแบบนี้มาเป็นสิบๆ ปี โดยไม่รู้สึกว่ามันผิดบาปอะไร "จะผิดบาปได้ยังไงล่ะ ก็เราเป็นคนดูแลอุปกรณ์ส่วนนี้เอง เราก็ต้องมีสิทธิ์" สารภีคิดเช่นนั้น
เธอยังคิดอีกว่า "ก็ช่วยไม่ได้ เจ้านายดันขี้เหนียว เงินเดือนก็ขึ้นหลักร้อย โบนัสเท่าหางอึ่ง จะเอาที่ไหนไปพอใช้ ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ อีกอย่าง ก็ไม่ได้เอาไปเยอะแยะมากมายอะไรซะหน่อย เอาเฉพาะที่ต้องใช้เท่านั้น เอาไปแค่นี้ขนหน้าแข้งเจ้านายไม่ร่วงหรอก"
การกระทำของเธอ ไม่มีใครรู้เห็นทั้งนั้น เพราะบรรดาอุปกรณ์เหล่านี้ เธอเป็นคนเบิกจ่ายเองทั้งหมด
อ่านมาถึงตอนนี้ คุณผู้อ่านคงพอจะทราบได้ ว่าสารภีเธอค่อนข้างเป็นคนขี้เหนียวพอสมควร เพื่อนน้อย เพราะเธอไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับใคร ไม่ออกงานสังคม ไม่ไปงานบุญงานบวชใครทั้งนั้น เบื่อที่จะต้องมาใส่ซองให้ใครต่อใคร เก็บเงินไว้ให้ลูกกินข้าวดีกว่า
วันหนึ่ง มีพนักงานเข้าใหม่ ในแผนกบัญชี พอเด็กใหม่มาเบิกของ เบิกไปก็พูดคุยตามประสาคนรุ่นใหม่วัยใส ช่างเจรจา เธอเล่าว่าเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา เธอไปวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เธอได้ฟังคำสอนจากพระอาจารย์ท่านหนึ่งแล้วรู้สึกประทับใจมาก
สารภีก็ฟังไปงั้นๆ ตั้งใจฟังบ้าง ไม่ตั้งใจฟังบ้าง เพราะง่วนอยู่กับการงานตรงหน้า แต่ไปสะดุดคำว่า "มีรถรับส่งฟรี" ในใจก็นึกว่าของฟรีมีด้วยหรือ
เจ้าน้องคนนี้ช่างพูดช่างเจรจา มาพูดบ่อยเข้าก็กลายเป็นเพลินน่าฟัง จนสารภีเริ่มรู้สึกอยากจะไปบ้าง นานๆ ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมะกับเค้าบ้างก็ดีเหมือนกันนะ ที่สำคัญมีรถบริการฟรี นี่คือสิ่งที่ทำให้สารภีสนใจเป็นพิเศษ
“พี่พาลูกกับสามีไปด้วยได้ไหม และฟรีจริงๆ ใช่ไหม” สารภีถามย้ำ
“ฟรีจริงค่ะพี่ หนูไปมาหลายครั้งแล้ว พาลูกกับแฟนพี่ไปได้เลย”
สารภีคิดในใจว่า ก็ดีเหมือนกัน วันหยุดได้เปลี่ยนบรรยากาศ ได้นั่งรถเล่น ชมวิวเพลินๆ แถมไม่ต้องเสียเงิน
เมื่อถึงวันเดินทาง นัดแนะกันที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง จะมีรถตู้คอยบริการ สมาชิกร่วมเดินทางต่างหน้าตาอิ่มเอิบ อิ่มบุญ คงจะเคยไปกันหลายครั้ง
ระหว่างเดินทาง สารภีไม่คิดอะไรมาก นอกจากพอไปถึงจะเที่ยวเดินเล่นให้ผ่อนคลายสบายใจ ไม่ได้ตั้งใจมาฟังเทศน์ฟังธรรมอะไรหรอก
เมื่อเดินทางมาถึงสถานปฏิบัติธรรม รอสักพัก พระอาจารย์ก็เริ่มเทศน์ สารภีฟังอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง ภาษาบาลีก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่สิ่งที่ได้คือรู้สึกถึงความสงบ ความผ่อนคลาย พร้อมความรู้สึกว่าอยากจะกลับมาอีกสักครั้ง
สารภีได้กลับมาที่นี่อีก 2-3 ครั้ง วันนั้นพระอาจารย์เทศเรื่องศีล ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอยังบกพร่องอยู่แต่เธอไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะศีลข้อ 2 อทินนาทานว่าด้วยเรื่องการขโมย ฉ้อโกง ยักยอก หรือนำสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน
เมื่อสารภีฟังแล้วรู้สึกอะไรบางอย่าง เหมือนพระอาจารย์จะเจาะจงพูดถึงเธอโดยเฉพาะ แต่ละคำที่เทศน์ เหมือนเป็นเรื่องราวของเธอ หรือเธอจะคิดไปเอง แต่เธอก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างไรพิกล
สารภีคิดกลับไปกลับมา พยายามปลอบใจตัวเองว่า ก็ของเพียงเล็กน้อย ไม่ได้มีค่าอะไรสักหน่อย ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แต่ด้วยความที่สารภียังมีจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์อยู่สูง ไม่ถึงขั้นทำชั่วแบบตาไม่กระพริบ ทำให้สำนึกด้านดีสูงกว่า
จนสุดท้ายเธอก็รวบรวมความกล้าทั้งหมด นำเรื่องพฤติกรรมของเธอที่หยิบฉวยของใช้สำนักงานไปเป็นของตัวเอง ไปปรึกษากับน้องแผนกบัญชีที่เสมือนเป็นกัลยาณมิตร ให้ธรรมะแก่เธอ
เมื่อน้องได้ฟังเสร็จ คำแรกที่ถามสารภีกลับมา ทำให้สารภีถึงกับสะอึก
“หนูถามจริงๆ นะ พี่เอาของไปใช้ ไปใช้ฟรี หวังจะประหยัด แล้วทำให้พี่รวยขึ้นมั้ย”
สารภีได้แต่ส่ายหน้า และแย้งว่า “ก็ของมันไม่ได้มีค่าอะไร คงไม่บาปอะไรใช่มั้ย”
น้องแผนกบัญชีหัวเราะเบาๆ ... “พี่สารภีคะ ศีลข้อ 2 ไม่ได้เกี่ยวกับของที่เอาไปค่ะ แต่เกี่ยวที่ว่า ของนั้นมีเจ้าของ และเจ้าของไม่ได้ให้พี่ ตัวพี่มีจิตคิดจะเอาของนั้นมาเป็นของตัวเอง และพี่ได้ลงมือกระทำได้สำเร็จ เท่านี้ก็ครบกระบวนการของการผิดศีลข้อ 2 แล้วค่ะ”
คำพูดของน้อง ทำให้สารภีครุ่นคิด
น้องยังพูดต่อว่า “พี่ลองพิจารณาดูนะคะ ว่าขณะที่พี่หยิบกระดาษ A4 หรือที่เย็บกระดาษกลับบ้าน พี่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรือพี่สามารถเปิดเผยให้ทุกคนรู้ได้เลยว่าพี่เอาไป …. ถ้าพี่ยังต้องหลบซ่อน แสดงว่าการกระทำนั้นต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอนใช่มั้ยคะ! ถึงแม้พี่จะพยายามหาเหตุผลมาเพื่อปลอบใจตัวเอง เช่น ของนั้นเป็นของไม่มีค่า แต่มันก็เป็นแค่คำปลอบใจค่ะ มันไม่ใช่ความจริง”
สารภีฟังน้องอย่างตั้งใจ และรู้สึกละอาย แต่ยังไม่ยอมจนมุม พูดต่อว่า
“ก็แหม!! เงินเดือนนิดเดียว ใช้ไม่พอ พี่ก็ต้องทำแบบนี้แหละ จะได้ประหยัดค่าอุปกรณ์การเรียนของลูกบ้าง ถ้าจะบอกว่าพี่บาป แล้วทีเจ้านายเราล่ะ ไม่บาปบ้างเหรอ กดขี่ลูกน้อง ขี้เหนียว ให้เงินเดือนนิดเดียว” สารภีพูดว่าด้วยความเจ็บใจ
น้องแผนกบัญชีจึงพูดว่า “เงินเดือนน้อย ใช้ไม่พอ ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำผิดศีลได้นะคะ ไม่งั้นถ้าคนทั้งโลกใช้ข้ออ้างนี้ โลกคงวุ่นวายตายเลยใช่มั้ยคะพี่ .... ถ้าเงินไม่พอใช้ พี่ควรหางานใหม่ หรือหารายได้เสริม ใช้ความขยันและความสามารถของตัวเอง ในการหาช่องทางใหม่ๆ ค่ะ แต่การหยิบของบริษัทไปใช้ นอกจากจะไม่ได้ทำให้พี่รวยขึ้นแล้ว ในระยะยาวถ้าเจ้านายเรารู้เข้า พี่อาจมีความผิด โดนไล่ออก ขาดรายได้ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ค่ะ"
... "และที่พี่ถามว่า เจ้านายเราเขาไม่บาปบ้าง เหรอ ที่ขี้เหนียว ขี้ตืด …. พี่สารภีลองนึกถึงวันแรกที่เราเข้ามาทำงานนะคะ เขาได้แจ้งรายละเอียดเงินเดือนในสัญญาจ้างไว้เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายบุคคลได้ชี้แจ้งเรื่องเงินเดือนและโบนัสเรียบร้อยแล้ว ว่าได้เท่าไหร่ เราเองไม่ใช่เหรอคะที่ยอมรับข้อตกลงนั้นเอง ... ส่วนที่เขาจะขี้เหนียว ตระหนี่แล้วได้รับผลกรรมอย่างไร หนูว่ามันเป็นเรื่องของเขาค่ะ ถ้าเขาทำผิดบาปเขาก็จะได้รับกรรมของเขาเอง แต่ถ้าเราทำผิดบาป เราก็ต้องได้รับผลกรรมของเราเหมือนกันนะคะ"
สารภียังไม่ยอมจนมุม ยังแย้งอีกว่า “ใครๆ ก็ทำกัน ใน office ก็ไม่น่าจะมีพี่คนเดียวหรอกที่ทำแบบนี้ office อื่นเค้าก็ทำกันทั้งนั้นแหละ”
น้องตอบอย่างเมตตาว่า “อบายภูมิถึงได้ล้นไปด้วยคนที่คิดแบบนี้ไงคะ วันนี้พี่โชคดีนะคะ ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำสอนอันประเสริฐจากสาวกของพระพุทธเจ้า พี่สามารถนำคำสอนนี้ไปทำให้ตัวพี่พ้นอบายได้ โทษของการลักขโมยไม่ได้มีแค่ในอนาคตที่เราต้องไปเกิดในอบายภูมิเท่านั้น ... โทษในปัจจุบันก็เป็นทุกข์ คือทำอะไรก็ไม่เจริญ ไม่สำเร็จ โดนหลอก โดนโกง มีแต่เรื่องให้ต้องเสียเงิน เก็บเงินไม่อยู่ ได้มาเท่าไหร่ก็มีเรื่องให้ต้องใช้ไปเสียหมด หรือไม่จู่ๆ ก็โดนปล้น มีเหตุให้ทรัพย์นั้นต้องหมดไปค่ะ"
น้องเดินจากไปแล้ว เหลือแต่สารภีที่ยังนั่งคิดพิจารณา จริงทุกอย่างที่น้องพูดมา โดยเฉพาะเรื่องเสียทรัพย์ เดินตลาดอยู่ จู่ ๆ ก็เงินหาย เธอเคยโดนหลอกให้ลงทุนโดยหวังจะรวย สุดท้ายก็โดนโกง
นับแต่นั้นมา สารภีไม่เคยหยิบข้าวของบริษัท มาเป็นของตนอีกเลย สารภีเข้าใจแล้ว สำนึกแล้ว เงินจากการขายกระดาษรีไซเคิลเดือนละ 2-3 ร้อย ไม่ได้ทำให้เธอรวยขึ้นเลย ไม่คุ้มและไม่มีอะไรคุ้มที่ต้องทำบาปทำกรรม ผูกเวรผูกกรรมต่อกัน
และเธอเริ่มที่จะนำของบางส่วนทยอยมาคืนบริษัท เช่น น้ำยาล้างจาน กระดาษ บางเดือนก็ไม่ทำเรื่องเบิก แต่ใช้เงินตัวเองในการซื้อ เธอหวังว่าอย่างน้อยบุญใหม่ที่ตั้งใจทำนี้ จะทำให้กรรมได้เบาบางลง
ผู้เขียนขอสารภาพว่าตนเองก็เคยทำกรรมแบบนี้เช่นกัน ด้วยความโง่เขลา และความประมาท นำอุปกรณ์สำนักงานมาใช้ส่วนตัว เอาเวลางานมาทำงานส่วนตัว
ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้ว แม้เพียงน้อยนิด ก็ให้ผล เราจึงไม่ควรประมาทแม้เพียงกรรมอันเล็กน้อย
โฆษณา