20 ธ.ค. 2021 เวลา 07:35 • ประวัติศาสตร์
เมื่อทูตอังกฤษถูกสั่งให้กราบจักรพรรดิจีน
เมื่อทูตอังกฤษถูกสั่งให้กราบจักรพรรดิจีน
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนืออันเป็นรัฐบริติชนั้นเดิมทีชื่อ “ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่” (อังกฤษ: Kingdom of Great Britain) อันเป็นรัฐมหาอำนาจในโลกตะวันตก อีกทั้งยังมีอาณานิคมเป็นจำนวนมาก ส่วนจีนในเวลานั้นปกครองโดยราชวงศ์ชิง (จีน: 清朝) ซึ่งเป็นราชวงศ์แมนจูและต้าชิงก็ถือเป็นมหาอำนาจในโลกตะวันออก [ซึ่งทางผู้เขียนขอเรียกบริเตนใหญ่ปนกับคำว่า “อังกฤษ” เพื่อความสะดวกและป้องกันความสับสน]
ในเวลานั้นหลายๆ ชาติในยุโรปเริ่มสนใจเอเชียแล้ว โดยเฉพาะอินเดียอันอุดมไปด้วยเครื่องเทศกับจีน ซึ่งอินเดียต่างจากจีนตรงที่อินเดียนั้นแตกเป็นราชอาณาจักรและราชรัฐน้อยใหญ่ ไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ต่างจากจีนที่เป็นแผ่นดินผืนใหญ่และเรืองอำนาจมาก ทำให้ยุโรปต่างสนใจจีนด้วย เนื่องจากการค้าของชาวยุโรปกับจีนจํากัดอยู่เป็นเวลานาน ในปี พ.ศ. 2300 พระจักรพรรดิเฉียนหลง (จีน: 乾隆) ทรงจำกัดการค้าทั้งหมดไว้ที่เมืองกวางโจว พระองค์ทรงระมัดระวังต่อการเปลี่ยนแปลงของจีนอันจะเกิดจากอิทธิพลของต่างชาติ ภาษาจีนถูกห้ามสอนแก่ต่างชาติ อีกทั้งแหม่มชาวยุโรปก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าประเทศ จนกระทั่งในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 18 บรรดาพ่อค้าชาวอังกฤษนั้นรู้สึกว่าตนถูกจำกัดมากเกินไปทางด้านค้าขาย
ส่วนดุลทางการค้าระหว่างบริเตนใหญ่หรืออังกฤษกับต้าชิงนั้นไม่สมดุลกัน กล่าวคืออังกฤษซื้อสินค้ามาจากจีนเป็นจำนวนมาก แต่จีนกลับไม่ซื้อสินค้าจากอังกฤษเลย ประกอบกับสหราชอาณาจักรต้องการชาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นสินค้าที่ชื่นชอบของชาวอังกฤษ กับสินค้าอื่นๆ จากจีนอีกมากมายโดยเฉพาะเครื่องถ้วยลายคราม ผ้าไหม โดยมีบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (East India Company) เป็นผู้ดูแลการค้าบริเวณนี้ โดยราชวงศ์ชิงบังคับให้อังกฤษใช้จ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนชาด้วยโลหะเงิน ด้วยเหตุนี้ทำให้โลหะเงินของอังกฤษร่อยหรอลง แต่ในขณะเดียวกันจีนแทบจะไม่ซื้อสินค้าของอังกฤษเลย ทำให้อังกฤษต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก และทางอังกฤษต้องการค้าขายกับจีนเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดการขาดดุลอันนี้กับจีน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดสงครามฝิ่นต่อไป
ในเวลานั้นดินแดนทางฝั่งทิศตะวันออกส่วนใหญ่ของอินเดียตกอาณานิคมเป็นของอังกฤษแล้ว บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษได้เริ่มปลูกฝิ่นในอินเดียเพื่อนำไปขายจีนแล้ว โดยทางอังกฤษตั้งใจจะนำฝิ่นไปขายให้ชาวจีน อันจะเป็นการลดการขาดดุลลงบ้าง
โดยจอร์ช แม็คคาร์ทนีย์ เอิร์ลแม็คคาร์ทนีย์ที่ 1 (George Macartney, 1st Earl Macartney, ค.ศ. 1737 - 1806, พ.ศ. 2280 - 2349) เคยเป็นผู้ว่าการในเมืองมัทราส (ในปัจจุบันคือเมืองเจนไนของอินเดีย) ซึ่งในขณะนั้นตกเป็นอาณานิคมนิคมของจักรวรรดิบริเตนใหญ่
ในปี ค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) นายกรัฐมนตรีแห่งบริเตนใหญ่ในเวลานั้นได้ส่งชาร์ลส์ อลัน แคธคาร์ท (Charles Allan Cathcart) ให้ไปเป็นราชทูตอังกฤษเพื่อเยือนประเทศจีนคนแรก แต่แคธคาร์ทได้เสียชีวิตก่อนที่จะไปจีน ซึ่งทำให้ความพยายามของอังกฤษในการสานสัมพันธ์กับจีนครั้งแรกนั้นเป็นไปอย่างล้มเหลว
แม็คคาร์ทนีย์ที่ได้เสนอที่จะสานสัมพันธ์กับจักรวรรดิจีนอีกครั้งหนึ่ง โดยเสนอชื่อร่วมกับเซอร์จอร์ช สตอนตัน บารอเน็ตที่ 1 (Sir George Staunton, 1st Baronet, ค.ศ. 1737 - 1801, พ.ศ. 2380 - 2344) ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยมีผู้เสนอว่าเมื่อแม็คคาร์ทนีย์ตกลงที่จะสานสัมพันธ์กับจีน จะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากกษัตริย์อังกฤษให้เป็นเอิร์ล และอนุญาตให้เอิร์ลแม็คคาร์ทนีย์สามารถแต่งตั้งเซอร์จอร์ช สตอนตันผู้เป็นเพื่อนในการเป็นราชทูตไปเยือนจีนได้โดยได้แต่งตั้งให้สตอนตันเป็นมือขวา และให้สตอนตันดำเนินการสานสัมพันธ์กับจีนต่อหากเอิร์ลแม็คคาร์ทนีย์เกิดปัญหาอะไรขึ้น
ในช่วงก่อนที่จะเดินทางไปจีนนั้นทางราชทูตได้ทำการตระเตรียมสิ่งต่างๆ มากมาย แต่เกิดปัญหาทางด้านภาษาขึ้น เมื่อจักรพรรดิจีนทรงมีรับสั่งห้ามชาวจีนสอนภาษาแก่ต่างชาติ เนื่องจากทรงกลัวการเปลี่ยนแปลงของจีนอันจะได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ ด้วยเหตุนี้ทำให้คนต่างชาติที่รู้ภาษาจีนนั้นมีน้อย ซึ่งแม็คคาร์ทนีย์นั้นไม่ต้องการล่ามพื้นเมือง โดยจอร์ช สตอนตันได้เสนอให้ นักบวชชาวจีนนิกายโรมันคาทอลิกจากราชอาณาจักรเนเปิลส์ (ปัจจุบันเป็นดินแดนทางตอนใต้ของอิตาลี) สองคน ซึ่งแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่สามารถใช้ภาษาละตินได้ ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นบาทหลวงจีนที่ต้องการกลับประเทศจีน
ทางอังกฤษนั้นต้องการให้จีนมอบสิทธิพิเศษทางการค้าแก่ตนสูงสุด แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องยากเพราะรัฐในยุโรปบางรัฐก็ได้สิทธิพิเศษมาก่อนอังกฤษด้วยซ้ำ ทั้งยังสามารถติดต่อกับราชสำนักจีนโดยตรงได้อีกด้วย เช่นโปรตุเกสที่มีแม้กระทั่งคณะเยซูอิตในราชสำนักจีนถาวร และทางอังกฤษต้องการให้จีนผ่อนคลายการจำกัดการค้าเฉพาะพื้นที่ที่กำหนด ทางราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ต้องการตั้งสถานทูตในจีนเพื่อเพิ่มการติดต่อระหว่างรัฐทั้งสอง โดยไม่ต้องการให้ใช้พ่อค้าชาวจีนเป็นคนกลางในการสื่อสารระหว่างสองราชสำนัก ซึ่งทางอังกฤษต้องการสานสัมพันธ์กับรัฐเอเชียตะวันออกรัฐอื่นด้วย โดยอังกฤษต้องการซื้อใจจีนโดยการอวดวิทยาการและเทคโนโลยีของตัวเองว่ามีความเจริญก้าวหน้าเพียงไร ซึ่งอังกฤษคาดหวังว่าจะทำให้จีนสนใจสินค้าของอังกฤษมากยิ่งขึ้น โดยนวัตกรรมสมัยใหม่ที่อังกฤษจะนำไปอวดจีนก็มีอยู่หลายอย่าง อาทิ นาฬิกา อาวุธ กล้องสำหรับดูดาว เป็นต้น
ทางราชทูตได้เดินทางโดยออกจากท่าเรือที่พอร์ตสมัธทางใต้ของอังกฤษ ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 1792 (พ.ศ. 2335) โดยได้เดินทางผ่านสถานที่ต่างๆ [ทางผู้เขียนขอไม่กล่าวถึง เรื่องจากยาวเกินเหตุ] เมื่อคณะราชทูตได้เดินทางมาถึงจีนแล้วนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่จีนต่างตกตะลึงในประสิทธิภาพของกองเรืออังกฤษมาก ทางจีนคิดว่าคงจะเป็นการเลาะตามชายฝั่งเพื่อไปยังท่าเรืออีกแห่ง แต่กลับกันคืออังกฤษกลับล่องลงอ่าวใหญ่โดยไม่ได้เลาะตามชายฝั่งแถมยังเร็วกว่าเรือจีนมากด้วย
โดยทูตอังกฤษนั้นได้เข้ามาในช่วงเฉลิมพระชนมพรรษาจักรพรรดิเฉียนหลงครบรอบ 83 พรรษา ดังที่กล่าวไปนั้นราชทูตอังกฤษเดินทางมาไกลมาก ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก อ้อมทางดินแดนในแอฟริกาใต้ในปัจจุบัน ไปสู่ทะเลจีนใต้โดยใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง 9 เดือนเต็มๆ และหลังจากลำบากมานานราชทูตเหล่านี้ก็มาถึง
ซึ่งแต่เดิมนั้นจักรพรรดิเฉียนหลงเคยต้อนรับราชทูตจากนานาประเทศมาหลายที่แล้ว แต่ครั้งนี้ดูแปลกประหลาดกว่าครั้งก่อน เนื่องจากเป็นราชทูตจากราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ที่เดินทางมาจากประเทศแม่โดยตรง ไม่ได้ส่งมาในนามของบริษัทอินเดียตะวันออกหรือแบบอื่นๆ เหมือนครั้งก่อนๆ ทำให้องค์จักรพรรดิทรงโสมนัสยินดีพระทัยเป็นพิเศษ
จักรพรรดิเฉียงหลงเคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนเจียงหนานถึง 6 ครั้ง แต่ทรงไม่เคยเสด็จออกนอกจักรวรรดิของพระองค์เลยแม้แต่ครั้งเดียว พระองค์ทรงไม่ทราบเลยว่าราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์หรืออังกฤษตั้งอยู่ส่วนใดของโลก แต่แน่นอนว่าตามความคิดของชาวจีน การที่ทูตอังกฤษเดินทางผ่านมหาสมุทรน้อยใหญ่แสดงว่าต้องยำเกรงในพระเดชานุภาพและต้องเลื่อมใสศรัทธาจีนเป็นแน่แท้ ซึ่งในความเป็นจริงอังกฤษไม่ได้ยำเกรงจีนแต่อย่างใด การมาครั้งนี้มาเพื่อผลประโยชน์แอบแฝง แต่ด้วยที่ทรงคิดเช่นนี้ทำให้ทรงต้องการที่จะต้อนรับอังกฤษอย่างดี โดยแต่งตั้งข้าราชการรับผิดชอบและดูแลราชทูตโดยเฉพาะ
ทูตอังกฤษเปลี่ยนเรือที่เทียนสินเป็นเรือโดยสารภายในประเทศในเวลาต่อมาก็ถึงกรุงปักกิ่ง แม็คคาร์ทนีย์ได้นำผู้ติดตาม 12 คน เข้าเฝ้าจักรพรรดิเฉียนหลง จากปักกิ่ง อุทยานเฉินเต๋อ ผ่านกำแพงเมืองจีน ซึ่งแม็คคาร์ทนีย์รู้สึกตกตะลึงในความมโหฬารของสถานที่ต่างๆ เป็นอย่างมาก เขาไม่รู้เลยว่ากำแพงเมืองจีนนี้สร้างให้ใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ในบริเวณนี้มีทั้งป่าที่หนาทึบ ภูเขาที่สูงชันอย่างมาก
จักรพรรดิเฉียงหลงทรงประทับรอราชทูตบนพระแท่นสูง ณ พระตำหนักฤดูร้อน (จีน: 颐和园) บรรดาราชทูตเข้าเฝ้าอย่างเป็นระเบียบ องค์จักรพรรดิทรงใส่พระทัยราชทูตเป็นอย่างมากทั้งการต้อนรับ การเลี้ยงอาหาร ที่อยู่ การพาคณะทูตท่องเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งจักรวรรดิจีน โดยมีการจดบันทึกโดยเอกสารต่างๆ ของทางจีนทุกขั้นตอน
แต่ก็เกิดปัญหาระหว่างทั้งสองขึ้น เมื่อราชทูตอังกฤษเข้าเฝ้าจักรพรรดิจีนนั้น ด้วยธรรมเนียมที่แตกต่างกัน และวัฒนธรรมประเพณีระหว่างทั้งสองก็ดูเหมือนจะแตกต่างกัน ตามปกตินั้นเมื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิจีนจะต้องก้าวสามครั้ง กราบสามครั้งและคำนับเก้าครั้ง โดยเอิร์ลจอร์ช แม็คคาร์ทนีย์มองว่าพิธีกรรมดังกล่าวถือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นพระเกียรติพระเจ้าจอร์ชที่ 3 กษัตริย์แห่งบริเตนใหญ่ (อังกฤษ: King George III of Great Britain) อีกทั้งในหมายกำหนดการนั้นก็มีแต่เพียงกล่าวว่าให้ทำความเคารพแบบพิธีของยุโรปก็เพียงพอแล้ว ทำให้เกิดปัญหาขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายและต่างฝ่ายต่างก็เจรจา อีกฝั่งหนึ่งจะให้กราบ อีกฝั่งหนึ่งก็จะทำตามพิธีของตนเอง ต่างฝ่ายต่างต่อรองแล้วต่อรองอีกเป็นเวลานาน
โดยทางราชสำนักราชวงศ์แมนจูนั้นถือว่าตนยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ เป็นประเทศกลางของโลก การเมือง ความยิ่งใหญ่ล้วนเฟื่องฟูในยุคนี้ทั้งสิ้น อีกทั้งพระจักรพรรดิทุกพระองค์ล้วนถือว่าทรงได้รับเทวโองการจากสรวงสวรรค์ให้มาปกครองมนุษยโลก ทำให้จีนมองรัฐต่างๆ ที่ด้อยกว่าว่ามีสถานะเพียงประเทศราชหรือศักดิ์ศรีต่ำกว่าจีนทั้งหมด การมาของอังกฤษในครั้งนี้มาเพื่อให้จีนเป็นตลาดการค้าหนึ่งของอังกฤษ ไม่ได้มาเนื่องจากเกรงในพระบุญญาบารมีขององค์จักรพรรดิ แต่เฉียนหลงทรงเข้าพระทัยผิดคิดว่าอังกฤษคงมาเนื่องด้วยเกรงในพระบารมีและมาถวายพระพรเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา แถมยังทรงต้อยรับราชทูตเป็นการพิเศษด้วย อีกทั้งในเอกสารต่างๆ ของทางจีนนั้นได้เรียกราชทูตเป็นถึงผู้สำเร็จราชการ แต่เมื่อเฉียนหลงทรงทราบเรื่องจึงโปรดให้เรียกใหม่เป็นทูตสันถวไมตรี
โดยอังกฤษนั้นได้นำของทูลพระขวัญมาถวายจักรพรรดิจีนมากมาย ซึ่งในทางความเป็นจริงทางอังกฤษไม่ต้องการให้เรียกว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการถวายเครื่องราชบรรณาการ เนื่องจากการถวายเครื่องบรรณาการนั้นเป็นการทำให้ศักดิ์ศรีของอังกฤษต่ำกว่าจีน เพราะสิ่งเหล่านี้มักทำโดยรัฐประเทศราชหรือรัฐบริวารที่สยบยอมต่ออำนาจจีน ซึ่งอังกฤษนั้นมองตนเองมีศักดิ์ศรีเท่ากับจีน แต่เมื่ออยู่ในพิธีแล้วทางอังกฤษก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำเรียกได้
เมื่อทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกัน ทำให้เฉียนหลงถือว่าการกระทำต่ออังกฤษถือเป็นการไม่แสดงความเคารพ ทำให้ทรงกริ้วเป็นอย่างมากและทรงกล่าวว่าทูตอังกฤษเป็นผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูง เป็นเหตุให้ทรงไม่สบายพระทัยอย่างยิ่ง คนที่ไม่รู้ขนบธรรมเนียมประเพณีจีนนั้นไม่สมควรต้อนรับมันอย่างดี หลังจากที่ทางอังกฤษทำให้ทรงกริ้ว บรรดาอาหารพิเศษในราชสำนักก็ถูกยกเลิก ของขวัญที่ทางจีนจะมอบก็ถูกยกเลิกเช่นกัน
คณะทูตอังกฤษในเวลานี้เกิดวิกฤต มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะถูกขับออกจากแผ่นดินจีน จนกระทั่งการได้เข้าเฝ้าครั้งต่อๆ มา เนื่องจากอังกฤษทำความเคารพแบบอังกฤษมาตลอด ทำให้จีนต้องทำความเคารพแบบจีนบ้าง ท่าทีของเฉียนหลงก็เปลี่ยนไป ทรงตรัสว่าคนพวกนี้มาจากแดนไกลจึงไม่รู้จักธรรมเนียมจีน จึงมีความจำเป็นต้องให้อภัยแก่อังกฤษบ้าง พระองค์ทรงมีรับสั่งให้เหอเซินผู้เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่พาราชทูตท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ โดยราชทูตต่างชื่นชมพระตำหนักต่างๆ ของจีนว่ามีความงดงามนัก
ในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1793 (พ.ศ. 2336) ในช่วงงานเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดิ หลายๆ ที่รอบพระตำหนักถูกประดับประดาด้วยโคมไปที่สวยสดงดงาม บรรดาข้าราชทั้งฝ่ายบุ๋นกับบู๊และราชทูตได้กราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง พร้อมกล่าวถวายพระพรทรงพระเจริญ ในวันนั้นราชทูตและเอิร์ลจอร์ช แม็คคาร์ทนีย์ได้แต่งตัวเต็มยศ สวมสายสะพายและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ดูงดงามและงามสง่าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งได้นำพระราชสาส์นจากพระเจ้าจอร์ชที่ 3 แห่งอังกฤษเข้ามาถวาย พร้อมถวายเครื่องราชบรรณาการมี 19 ประเภทและเกือบหกร้อยชิ้น โดยเป็นนวัตกรรมที่ทันสมัยในยุคนั้น เช่น นาฬิกา กล้องดูดาว เครื่องวัดอุณหภูมิ ปืนไฟ เป็นต้น
อีกทั้งด้วยความที่จีนถือว่าตนนั้นเป็นประเทศใหญ่ เมื่อให้มากก็ต้องตอบแทนมาก จึงมอบของมีค่ามากมาย ทั้งผ้าเนื้อดี อัญมณี หัตถกรรมจากจีนต่างๆ มากกว่าสามพันชิ้นเพื่อตอบแทนอังกฤษ นอกจากนี้ราชทูตได้รับชมการแสดงซึ่งทางราชสำนักจีนจัดไว้อย่างเพลิดเพลิน
ซึ่งเรื่องถวายบังคมนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าราชทูตอาจจะทำความเคารพองค์จักรพรรดิแบบอังกฤษทั้งสองครั้ง แต่จากการวิเคราะห์จากนักวิชาการจีนนั้นแสดงให้เห็นว่าราชทูตเข้าเฝ้าจักรพรรดิเฉียนหลง 2 ครั้ง ครั้งแรกทำความเคารพแบบอังกฤษ แต่ครั้งที่สองนั้นจึงถวายบังคมตามแบบจีน เนื่องจากมีหลักฐานที่กล่าวว่าราชทูตนั้นกราบราบพื้น แล้วถวายพระราชสาส์นผ่านอำมาตย์ฝ่ายซ้ายแล้วจึงถวายถึงพระหัตถ์ ส่วนทางเอกสารของทางอังกฤษนั้นก็กล่าวเช่นกันว่ามีการกราบหลังจากเข้าเฝ้าครั้งที่ 2 ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังถกเถียงกันต่อไป แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่าเหตุใดหลายๆ คนจึงถกเถียงกันเรื่องการกราบ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่สาระหรือประเด็นของการเข้าเฝ้าของราชทูตเลย
ตามกฎของจีนนั้นราชทูตจะพำนักในกรุงปักกิ่งได้ไม่เกิน 40 วัน ทำให้แผนของอังกฤษซึ่งต้องการเข้าเฝ้าจักรพรรดิจนถึงเทศกาลตรุษจีนจึงต้องเป็นอันล้มเลิก และพระราชสาส์นจากพระเจ้าจอร์ชที่ 3 ที่ถวายในนามของรัฐบาลอังกฤษก็ถูกแปลเรียบร้อย โดยพระราชสาส์นนั้นมี 2 ภาษาคือภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหลังจากพระราชสาส์นถูกแปลเป็นภาษาจีนและเฉียนหลงได้ทรงอ่านแล้ว ทำให้ทรงกริ้วเป็นอันมาก โดยในเนื้อหานั้นมีสาระสำคัญ เช่น ขอตั้งสถานทูตและให้ทูตมาประจำที่ปักกิ่งถาวรซึ่งแน่นอนว่าผิดกฎของจีนเนื่องจากห้ามทูตพำนักในเมืองหลวง 40 วัน อีกทั้งทรงเริ่มรู้สึกว่าการมาครั้งนี้ดูจะมีนัยยะแอบแฝง ไม่ได้มาถวายพระพรอย่างเดียว จึงทรงมีรับสั่งให้ทูตออกจากแผ่นดินนี้
ท่าทีของจีนที่แข็งกร้าวเช่นนี้ทำให้เอิร์ลแม็คคาร์ทนีย์รู้สึกว่าไม่ได้ง่ายดังที่คิดไว้ อีกทั้งทางรับบาลอังกฤษได้มอบสารลับแก่แม็คคาร์ทนีย์ให้นำไปถวายจักรพรรดิ แต่เมื่อจะถามกลับถูกเหอเซินเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น พอถึงปักกิ่งแม็คคาร์ทนีย์พยายามใช้วาทะเพื่อโน้มน้าวใจเหอเซินไม่ให้เบี่ยงประเด็น เนื่องจากว่าถ้าไม่ได้ถวายสารลับนี้การมาจีนครั้งนี้คงไม่ได้การแน่ๆ เขาพยายามมอบสารนี้ไปถวายถึงพระหัตถ์องค์จักรพรรดิให้ได้ โดยในเนื้อหานั้นคือทางรัฐบาลอังกฤษของพระเจ้าจอร์ชที่ 3 ขอให้จักรพรรดิทรงยินยอมตามคำขอของรัฐบาลอังกฤษอีกครั้ง พร้อมทั้งขอให้จีนเปิดเมืองท่าอีกหลายแห่ง ลดภาษี ให้ชาวอังกฤษมาอยู่ได้ สอนศาสนาอย่างเสรี สิ่งเหล่านี้ส่อให้เห็นว่าการกระทำแบบนี้อังกฤษมีเจตนาจะขยายเขตแดนและอิทธิพลอย่างชัดเจน
เมื่อเฉียนหลงทรงอ่านแล้วนั้นทำให้ทรงกล่าวว่าดินแดนทั้งหมดจะแบ่งแยกไม่ได้ ส่วนอีกหลายข้อเรียกร้องนั้นพระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบเป็นข้อๆ อีกทั้งทรงกล่าวตำหนิการกระทำของอังกฤษว่าสามหาวเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ที่อังกฤษนั้นอาจเป็นดินแดนไร้อารยธรรม นอกจากนี้คำขอของอังกฤษดังกล่าวไม่ได้เกิดผลประโยชน์ต่อจีนแม้แต่ข้อเดียว และทรงกล่าวว่าอังกฤษควรคิดถึงหัวอกของคนอื่นด้วย หากกระทำและล่วงละเมิดจีนอีก ทางการจีนคงจำเป็นต้องขับอังกฤษออกไป ในเวลานั้นพวกพ่อค้าอังกฤษตงจะต้องกลับบ้านด้วยมือเปล่า เพราะฉะนั้นควรคิดถึงคำเตือนจากพระองค์ด้วย
สุดท้ายแล้วความหวังที่ทางอังกฤษต้องการนั้นถูกทำลายจนป่นปี้ และจำเป็นจะต้องกลับประเทศด้วยมือเปล่า นอกจากนี้ทางรัฐบาลจีนยังได้รับมือกับเหตุร้ายหากพวกอังกฤษเกิดก่อเรื่องขึ้น
จะเห็นได้ว่าการเจรจาครั้งแรกระหว่างสองชาติเกิดความล้มเหลว สาเหตุหลักคือทั้งสองมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ต่างคนต่างก็ยึดถือตนเองเป็นเหตุผลหลัก ดังเช่นการกราบ การทำความเคารพ กฎหมายของทั้งสองก็แตกต่างกันด้วย ทางจีนนั้นยึดถือเศรษฐกิจพอเพียง แต่อังกฤษนั้นเป็นโลกอุตสาหกรรมยุคแรกเริ่ม ทำให้ต้องแสวงหาทรัพยากร อังกฤษจึงต้องแสวงหาตลาดการค้า ขยายอาณานิคม เพื่อรักษาความมั่งคั่งของจนเอาไว้
การที่ราชทูตอังกฤษกับจีนพบกันครั้งแรกนี้ เริ่มทำให้ทั้งสองเริ่มีความเข้าใจความแตกต่างของฝั่งตรงข้ามในเบื้องต้น ซึ่งแม้อังกฤษจะกลับไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลับมา ทางอังกฤษยังเห็นว่าต้องให้จีนเข้าตลาดโลกให้ได้ ในอีก 23 ปีต่อมาในรัชกาลของเจี่ยชิ่ง (จีน: 嘉庆) ทางอังกฤษส่งราชทูตมาเข้าเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง โดยทูตนั้นมาตามจุดประสงค์เดิมของรัฐบาล แต่ราชทูตนั้นไม่ยอมกราบสามครั้งคำนับเก้าครั้งตามประเพณีจีน ทำให้เจี่ยชิ่งทรงขับไล่ราชทูตออกไปในทันที
บรรณานุกรม
.
ภาษาไทย
- พระราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์)
ภาษาต่างประเทศ
- Bivins, Roberta (1 December 1999). "Expectations and Expertise: Early British Responses to Chinese Medicine". History of Science.
- Harlow, Vincent Todd; Madden, A. F. (1953). British Colonial Developments, 1774–1834. Oxford: Clarendon Press.
- Harrison, Henrietta (2017). "The Qianlong Emperor's Letter to George III and the Early Twentieth Century Origins of Ideas About Traditional China's Foreign Relations". American Historical Review.
เว็บไซต์
THE MACARTNEY EMBASSY: GIFTS EXCHANGED BETWEEN GEORGE III AND THE QIANLONG EMPEROR.//สืบค้นเมื่อ 19 ธันวาคม 2564./จาก/https://www.rct.uk/collection/themes/trails/the-macartney-embassy-gifts-exchanged-between-george-iii-and-the-qianlong
YouTube (4 สิงหาคม 2017).
บันทึกลับราชวงศ์ชิง [Video].
โฆษณา