22 ธ.ค. 2021 เวลา 10:20 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Cloud Atlas คือหนังไซไฟปรัชญาที่พูดบอกเราว่า ทุกเรื่องราวสำคัญ ทุกเรื่องราวมีคุณค่าต่อการเล่าขาน และทุกเรื่องราวมีคุณค่าในการนำมาพูดถึง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย สมหวังหรือผิดหวัง ได้อย่างสวยงาม
สังเกตได้ว่าหนังจะไม่มี subplot แต่ทุกพล็อตเป็น main plot ครับ และไม่มีช่องว่างให้คนดูรู้สึกว่าตรงนี้ช้า ตรงนี้เปื่อย ตรงนี้หน่วงแต่อย่างใดเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ถูกเล่าด้วยการต่ออารมณ์ไปสู่อารมณ์กับเนื้อหาของฉากที่ใกล้เคียงกัน เหมือนที่ในเวลานี้ที่ใครก็ตามกำลังอ่านบทความอยู่ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆ กันจนยากจะนับ
และเราได้อภิสิทธิ์นั้นที่จะได้เฝ้ามองและรับรู้มันพร้อมๆ กันถึง 6 เรื่อง รวมถึงเห็นความสำคัญของชีวิต กับอิทธิพลของชีวิตนึงต่ออีกชีวิตนึง หรืออีกหลายชีวิตอย่างไม่คาดคิด
แม้ 6 เรื่องราวจะไม่ใช่เรื่องราวที่จบดีทุกเรื่อง แต่มันคือเรื่องราวที่ดีที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองกับการเชื่อมโยงไปยังเรื่องราวอื่น เรื่องราวที่ดีคือเรื่องราวที่สมจริงนั่นคือสิ่งที่สร้างคุณค่า (value) ให้กับหนังอย่างมหาศาล เพราะเรื่องราวที่ดูจริงไม่ว่าจะภายใต้ genre ไหน ผนวกเข้ากับข้อความที่แข็งแรง จะสามารถสะท้อนบทเรียนอะไรบางอย่างกลับมาแก่ผู้อ่านผู้ฟังผู้ชม
โดยที่ไม่จำเป็นต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งได้ ท้ายที่สุดตัวละครแต่ละตัว หลังจบเรื่องต่างก็เติบโตไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งและค้นพบเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หนังเรื่องนี้มีทั้งเรื่องราวที่ขมขื่น เศร้าโศก เกี่ยวข้องกับความตายและการไม่สมหวังของ Robert Frobisher, เรื่องราวที่น่าปีติยินดีของ Timothy Cavendish ที่กลับมาลงเอยกับรักแรกอีกครั้ง, เรื่องราวที่น่าเฉลิมฉลองของ Luisa Rey หลังจากผ่านอะไรมาตั้งมากมายก่อนจะเปิดโปงได้สำเร็จ
เรื่องราวที่สวยงามของผู้หลุดพ้นและผู้ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดอย่าง Zachary, เรื่องราวที่น่าเอาใจช่วยที่แม้จะไม่ได้เห็นต่อแต่สามารถจินตนาการได้ของคู่ Adan Ewing และ Tilda และเรื่องราวที่ลึกซึ้งกินใจของ Sonmi-451 กับการตื่นรู้ของหุ่นสังเคราะห์ที่ลุกมาต่อสู้ในฐานะสัญลักษณ์เพื่อเผ่าตัวเองและมนุษย์
ภายใต้ความไซไฟแฟนตาซีของ Cloud Atlas ไส้ในจึงเป็นการนำเสนอเรื่องจริงที่ว่าไม่มีชีวิตใดสมหวังไปซะทุกอย่าง ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรที่จะหมดหวัง จึงควรเชื่อในหลักแห่งการกระทำและยึดมันไว้ให้แน่น คิดหน้าคิดหลังก่อนพูดก่อนทำ เมื่อนั้นเราจะควบคุมชะตาได้ อย่างน้อยๆ ก็เท่าที่ได้ภายใต้กฎเกณฑ์อันน่ากลัวบางอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้นมาและทำให้อีกคนอยู่เหนืออีกคน มนุษย์บางกลุ่มอยู่เหนืออีกกลุ่ม
และแม้คนเราจะมีชีวิตเดียว แต่การได้เป็นพยานของเรื่องราวหลายภพชาติและการรับรู้ว่ามีเรื่องของภพชาติและการกลับชาติมาเกิดอยู่ในหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้โล่งไม่น้อยว่าคนดีบางคนได้สุขสมหวัง คนชั่วบางคนได้รับผลกรรม คนที่ไม่ได้มีโอกาสหรือความสุขได้มีโอกาสใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ซึ่งนั่นก็ทำให้เห็นเช่นกันว่าในบางครั้งมันมีลูปของมันอยู่ ลูปที่ว่าใครเป็นคนยังไงในอีกชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างกับภพชาติอื่นๆ เท่าไหร่นัก
ยิ่งหนังพูดถึงเรื่องผลของการกระทำด้วยแล้ว มีแต่จะเป็นวงจรที่ยากจะหลุดพ้น คนเป็นยังไงก็มักจะเป็นอย่างนั้น (นำไปสู่คำถามน่าสนใจที่ว่าเรามีเจตจำนงเสรีหรือไม่?)
การดูหนังเรื่องนี้เปรียบเสมือนการพลิกหน้ากระดาษในหนังสือที่เรียงตามช่วงเวลาปกติ (linear) กลับไปกลับมา ในจังหวะและช่วงตอนที่ทำให้อารมณ์ไหลลื่นไปด้วยกันได้ โดยที่การที่รู้ชะตากรรมของตัวละครบางตัวในอีกไทม์ไลน์ไม่ได้เป็นการสปอยล์แต่อย่างใด แต่การรู้ปลายทางของตัวละครนั้นยังทำให้อินกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวละครนั้นมากขึ้นด้วย
แม้ว่าจะตัดวิธีการเล่าเรื่องตรงนี้ออกไปแล้วนำมาเรียงใหม่เป็นเรื่องนึงจบอีกเรื่องต่อก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Cloud Atlas ยังคงน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าเดิมคือ ‘เนื้อหาของเรื่องราว’ เพราะนี่คือเรื่องราวแห่งการต่อสู้ เรื่องราวที่เรียกได้ว่าครบรสเหมือนซื้อหนังสือเรื่องสั้น 6 in 1 ในจักรวาลเดียวกัน คุมโทนในธีมหรือเมสเสจเดียวกัน
และเรื่องราวการลุกขึ้นเผชิญหน้ากับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะด้วยความหวังว่าจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ ‘ยิ่งใหญ่’ และ ‘ควรค่าแก่การเล่าขาน’ เสมอ
เรื่องราวทั้ง 6 ไทม์ไลน์มีคุณค่ากับความสำคัญในการนำมาถ่ายทอดและเผยแพร่ และหนังหนึ่งเรื่องชื่อ Cloud Atlas ที่บรรจุเรื่องราวเหล่านี้เองก็ควรค่าแก่การหยิบมาดูแล้วดูอีกเช่นกัน ซึ่งไม่ว่าหยิบมาดูกี่ครั้ง ก็ไม่เคยประทับใจน้อยลง
อ่านบทความที่ผมเขียนวิเคราะห์ ตีความ และอธิบายหนัง Cloud Atlas อย่างละเอียดทุกประเด็นบนเว็บไซต์ a day ได้ที่นี่ครับ proudly present มากๆบทความนี้ อยากให้อ่านกันนะครับ : https://bit.ly/3ENehs6
#Watchman #CloudAtlas
โฆษณา