Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกปัจฉา
•
ติดตาม
22 ธ.ค. 2021 เวลา 12:08 • ปรัชญา
“อภิภู” ผู้นำพาไปสู่ความจนอันศักดิ์สิทธิ์ ของชาวอโศก
:โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 22 ธ.ค. 64
อภิภายตนะ 8 หรือผู้ที่รู้ยิ่งรู้จริงในอายตนะ
อายตนะ แปลว่า สะพานเชื่อมระหว่าง 2 สภาพ สะพานเชื่อมสภาวะระหว่างรูปกับนาม มีผัสสะจึงเกิดอายตนะ รูปกับนามทำงานแปะกันปั๊บจึงเกิดอายตนะ
อายตนะก็มี 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งเป็นขั้วรูปอีกขั้วหนึ่งเป็นขั้วนาม
อายตนะของคนก็มีได้ถึง 6 ตากระทบรูป 1 หูกระทบเสียง 2 จมูกกระทบกลิ่น 3 ลิ้นกระทบรส 4 ข้างนอกข้างในกระทบกัน 5 ข้างในข้างในกระทบกันอีกเป็น 6 เป็น 6 คู่เรียกว่าอายตนะ 6
ส่วน อายตนะ 8 คือ อภิภายตนะ 8 มันไม่ได้หมายถึงอายตนะพวกนั้นเท่านั้น แต่มันหมายถึงคุณสมบัติความเก่งความสามารถ ของคนที่มีความรู้ในอายตนะ ได้ถึง 8 ชนิด
มีคำว่า อภิภู อภิภายตนะ และ อภิภุยฺย
อภิภู คือตัวบุคคลนั้น ที่ทรงไว้ ซึ่งความรู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเล็กนั้นๆ
อภิภายตนะ คือ อายตนะที่มีคุณสมบัติถึง อภิ ขั้นยิ่งใหญ่ เป็นคุณสมบัติของผู้อภิภู อีกทีหนึ่ง มีคุณสมบัติ คุณวิเศษ ของผู้อภิภู ถึง 8 อย่าง
อภิภุยฺย มันหมายถึง ความสามารถความเก่งของอภิภู ที่สามารถมีอิทธิพลอยู่เหนือสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่เหนือ
ตั้งแต่รูป กำหนดเอารูปภายนอก แล้วกำหนดเอารูปภายใน เห็นรูปภายนอกพร้อมกันทั้งสองสภาพ
รูปภายนอกและรูปภายในคู่กันเสมอไม่ขาด เป็นสองสภาพ
คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่เรียกว่า อภิภู เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ
พวกหลับตาปฏิบัติ คือพวกเดียรถีย์ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมีความสามารถ ต้องเปิดตาเห็นข้างนอกต้องเปิดเผยได้ยินเสียงข้างนอก จมูกรับกลิ่นข้างนอก ลิ้นกระทบรสอยู่ โผฏฐัพพะก็กระทบสัมผัสอยู่ ไม่ใช่ไปปิดความรู้สึก ปิดความรับรู้เลยทั้ง 5 ทวารนอก ไม่ใช่ ไปรู้อยู่แต่ทวารใจคู่ที่ 6 ไม่ใช่ !
พวกหลับตาทั้งหลายแหล่ ปิด 5 ทวารนอกทั้งหมดเลยไปยึดเอาอยู่แต่ภายใน ภายในก็เลยกลายเป็นพวกนิรมาณกายเป็นสัมภเวสีต่างคนต่างสัมภเวสี ต่างคนต่างจิตวิญญาณของตัวเอง เป็นของตัวเองอยู่คนเดียว เรียกว่าวิญญาณสัมภเวสี แปลว่าวิญญาณล่องลอย คือวิญญาณไม่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นที่ตั้งร่วมกันกับคนอื่นๆ สามารถรับรู้เกี่ยวข้องกัน รู้กันและกัน พูดกันรู้เรื่อง แต่นี่มันไม่มี นั่งสร้างนิรมิต เนรมิตเอาเองแต่ละคนปั้นไป ไม่มีความจริงเลยเป็นนิรมาณกาย
เสร็จแล้วมาทำทีเป็นว่า รู้ด้วยกันเป็นสัมโภคกาย ต่างคนรู้เรื่องกันตรงกันพูดกันรู้เรื่องกัน โมเมไป แต่ทุกคนเป็นอาทิสสมาณกาย คือพวกตาบอดทั้งหมด ไม่มีใครเห็นของใคร มีแต่ของตนเองอยู่ นิรมาณกาย นี่คือ กาย 3 ที่เป็นกันอยู่จริง พวกหลับตา เดียรถีย์ เป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย จึงเป็นพวกที่น่าสงสารมากงมงายงมคลำไปแล้วสมมุติกันไป ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างพบแต่ของตนผู้เดียว
จึงเป็นพวกสัตตาวาสข้อที่ 1 เป็นพวกสัตว์ข้อที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน ต่างคนต่างสร้างภพสร้างชาติสร้างตัวสร้างตนไปกัน ต่างคนต่างไปเลย จริงๆไม่ได้ตรงกันสักอย่าง แต่โมเมทำทีกันว่าสัมโภคกายรู้ร่วมกันไป แต่แท้จริงต่างคนต่างโมเมชั่น นี่เป็นโลกแห่งสมมุติแท้ๆ เป็นพวกปลอม 100%
เพราะฉะนั้นมันมีตั้งแต่สัตตาวาสข้อที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน เป็นมารเป็นมนุษย์เป็นพรหมก็สมมุติกันไปเอง เลอะเทอะกันไปหมด ต่างคนต่างสมมุติว่ากันไปสารพัดสารเพ กายต่างกันสัญญาต่างกัน
เพราะฉะนั้นในข้อที่ 1 ของอภิภายตนะ รายละเอียดของผู้ที่เป็น อภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ผู้มีอำนาจเหนือที่แท้จริง เหนืออะไรต่างๆ เหนือ อะไรบ้าง
เหนือ ตั้งแต่ทวารภายนอกทวารภายในจะรู้ร่วมกันได้พร้อมกันเสมอ เร็วจนกระทั่งถือว่าพร้อม รู้ขณะนี้ข้างนอกก็รู้กันอยู่ข้างในก็รู้กันอยู่มีร่วมกันอยู่ไม่ขาดจากกัน เพราะว่าจิตมันเร็วกว่าแสง แสงมันจะกระทบข้างนอกแค่นั้น ข้างในมันเป็นจิตนั้นมันรู้อะไรต่ออะไรอีกมากมาย
เพราะฉะนั้นแสงกระทบกัน มันกระทบกันตั้งไม่รู้กี่ทีแล้ว จิตมันตามรู้ได้หมดทุกอย่าง มันเร็วกว่าแสงตั้งเท่าไร ความเร็วของจิตนั้น เร็วกว่าแสงตั้งไม่รู้กี่เท่า รู้หมด
เพราะฉะนั้นข้างนอกข้างในจึงไม่ได้เป็นเรื่องยากเรื่องลำบากอะไรของ อภิภู
นอกใน กำหนดหมาย เรียกว่าสัญญา กำหนดรู้ได้เร็วได้หมดทั้งรูปภายนอก ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอก เสร็จแล้วถึงจะมีรายละเอียดเป็น ปริตตัง
ข้อแรก ปริตตะ ข้อที่ 2 ถึงจะเป็น อัปปมาณา
ท่านแปล ปริตตัง ว่า เล็ก แปล อัปปมาณา ว่าใหญ่ แปลว่าเล็กก็ได้ แต่มันยังไม่บริบูรณ์ควรจะแปลว่าน้อยมากกว่าเป็นเชิงปริมาณ ปริมาณเราไม่เรียกเล็กนะ ปริมาณเราจะเรียกว่าน้อย อัปปมาณา เราจะเรียกว่ามาก มากจนกระทั่ง Infinity มากจนประมาณไม่ได้
หรือจะเรียกว่าเล็กกับใหญ่ก็ด้วย น้อยกับมากก็ด้วย ปริตตังกับอัปปมาณา
ต่อมาคำว่า สุวัณณะ ทุพัณณา ท่านแปลว่า ผิวพรรณดีผิวพรรณทราม อาตมาว่า แปลว่าผิวเฉยๆ ก็เอาน้ำมันเอาแป้งมาทาสิ ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ได้หมายถึงผิวพรรณแค่นี้ แต่มันหมายถึงขั้นชั้น ความสูงความต่ำความเจริญความเสื่อมทราม
ความเสื่อมทรามก็ ทุ ความยิ่งใหญ่ ความเจริญก็ สุ
หมายถึงระดับขั้นชั้น ดีกรี ของความยิ่งใหญ่ความเจริญความประเสริฐ ความวิเศษ เรียกว่า สุพัณณะกับทุพัณณะ
อภิภู ท่านไปแปลในนี้ว่า ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว อภิภุยะ คุณสมบัติ อภิภุยยะ คือ ครอบงำหรือมีอิทธิพลเหนือรูปเหล่านั้นแล้ว ขั้นแรกเป็นขั้นรูป ข้อที่ 1 คือขั้นรูป
อภิภายตนะขั้นที่ 2 ก็รูปอยู่ ข้อที่ 3 ถึงจะไป อรูป
แต่ว่า ข้อที่ 1 เน้น รูปภายในเห็นรูปภายนอก ข้อที่ 1 เป็น ปริตตัง ข้อที่ 2 เป็น อัปปมาณา
ข้อที่ 3 ไปก็จะมี อรูป ก็มีปริตตะกับอัปปมาณา ข้อที่ 4 ก็อัปปมาณา แล้วก็มีสุพัณณะทุพัณณะ
แล้วอภิภู เป็นคนในระดับใด ?
อภิภู เป็นคนในระดับ สยังอภิญญา สูงไปก่อนสยีมภู จากสยังอภิญญา เข้าไปหาสยัมภู เป็นอภิภู
สยังอภิญญา เป็นคำกลางๆ รู้เอง ข้ามชาติมาเท่านั้น การรู้ข้ามชาติมานี้เล็กๆน้อยๆก็ได้ จนกระทั่ง รู้ได้อย่างดีรู้ได้อย่างมีสาระจริงๆเป็นขั้นคนสูง คนสูงขั้น อภิภู คนผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ต้องเป็นโพธิสัตว์ขั้น 7 ขั้น 8 ขึ้นไป
ทีนี้คำว่า ส่วนบุญ หมายความว่าความสามารถกำจัดกิเลสได้แล้ว ส่วนบุญคือส่วนที่กำจัดกิเลสได้แล้ว ไม่ไช่ได้อะไรมาให้ตนเป็นสมบัติแต่เป็นวิบัติ การได้ส่วนบุญจะเหมือนมีอภิภูไปทีละขั้นหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่อภิภูนี้เลยไปจากนั้นแล้ว โพธิสัตว์ 4 ระดับ ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอาริยบุคคล ถึงขั้น อรหันต์ ก็เป็นอาริยบุคคลเต็ม
พอเลยจากอาริยบุคคลเต็มขั้นที่ 4 ไปสู่ขั้นที่ 5 ก็เป็นอนุโพธิสัตว์ ก็หมายความว่าจะเริ่ม บำเพ็ญพุทธภูมิ ขั้นแรก อนุโพธิสัตว์
ผู้ที่บำเพ็ญภูมิขั้นแรกนี้ยังไม่เป็น อภิภู หรอก
เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
อนุโพธิสัตว์ยังไม่เป็นขั้น อภิภู
แม้แต่ขั้นที่ 7 ก็ค่อยๆสะสมไปเป็นลำดับ ขนาดอาตมาสะสมอภิภู ไปเรื่อยๆ มหาโพธิสัตว์ถึงเรียก อภิภูได้เต็มปาก
อาตมาพยายามอธิบายนี้เป็นการสะสมความเป็น อภิภุยยะ ไปเรื่อยๆ
สามารถมีในระดับ โสดาบัน มีอภิภุยยะไปเรื่อยๆได้ไหม? สามารถมีอภิภุยยะในบางเรื่องได้ไหม?
คำตอบคือ ไม่ได้ ยังไม่ควรเรียก เพราะว่า อภิภุย ท่านแปลว่า ผู้ที่ครอบงำได้แล้วนะ มีอิทธิพลเหนือสิ่งเหล่านั้นเสร็จแล้ว
อาตมามีภูมิบางอย่างอธิบายได้แล้ว แต่ก็ยังเป็นไม่ได้ก็มี
ภูมิต่ำกว่านั้นยังไม่ต้องแหยม อธิบายไว้เป็นเส้นทางในการนำทางเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิ ไม่ผิดหรอก แต่ว่า มันต้องพูดไว้
อภิภู นั้น ยังภูมิต่ำกว่า สยัมภู
สยังอภิญญา ยังภูมิต่ำกว่า อภิภู
สยังอภิญญา คือผู้ดำเนินไปสู่ อภิภู
สยังอภิญญา คือ ผู้ที่มีแล้วของตนเอง ข้ามชาติมา อย่างอาตมานี่ชัดเลย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 สยังอภิญญา สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
อาตมาเป็นคนนั้นระบุเป็นบุคคลจึงตัวตนจริงในยุคนี้ แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าใช่คนนี้ แล้วคนที่เขาไม่เชื่อมันก็น่าสงสารไป แต่คนที่เข้าใจแล้ว ก็โอ้โห แล้วมันมีจริงเป็นจริงได้อย่างไร
เป็นจริงก็คือ 1 รู้ธรรมะในขั้นโลกุตระ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ สูงกว่าอรหันต์ อย่างน้อยก็ขั้นที่ 7 ขึ้นไป
อาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็นขั้นที่ 7 ที่จริงจะปีนไปหาขั้นที่ 8 บ้างแล้วอย่างไรอาตมาก็ไม่จำเป็นจะต้องไปพูด อธิบายแต่ขั้นที่ 7 นี้ คนอื่นๆก็ยังภูมิไม่ถึงอาตมา อาตมาจึงไม่จำเป็นต้องยกตัวเองเป็นขั้นที่ 8 ขั้นที่ 9 มันไม่มีขั้นที่ 7 ให้อาตมาซ้อนชั้นขึ้นไปอีกแล้วจะไปพูดทำไม อาตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วเป็นไก่ตัวคนพี่แล้ว แล้วจะมีไก่ตัวพี่ของที่ไหนขึ้นไปอีก ลมลมแรงๆเปล่า
ชาตินี้ถึงบอกว่าใครเป็นไก่ตัวพี่ก็ปรากฏตัวหน่อยน้องจะได้อาศัยบ้าง ก็ไม่เห็นจะมีใครโผล่มา ถึงโผล่ออกมาแล้วอธิบายไม่ได้ก็หน้าแตก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าโผล่มา คงประมาณกันแล้วว่าไม่ใช่ของเล่น หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยนะ ก็ยังไม่มีใครกล้าโผล่มา
เราก็ขยายสภาพจริง
1. ทั้งอธิบาย 2. นำพาให้ปฏิบัติ 3. สำเร็จผลเป็นไปได้
4.รวมตัวกันเป็นหมู่เป็นเป็นสังคม
5. มีคุณวิเศษถึงขั้น เมื่อมาเป็นสังคมแล้วมีวัฒนธรรม
มีทั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่รวมกัน มีลาภที่ได้มาโดยธรรมก็มารวมกันเป็นกองกลาง กินใช้ร่วมกัน เป็นสาธารณโภคี แล้วก็อยู่ร่วมกันอย่างเสมอสมานกัน ทั้ง ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา ครบตามสาราณียธรรม 6
แล้วแต่ละคนก็ยืนยันอีกว่า สั่งสมคุณสมบัติวรรณะ 9 แต่ละคนเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมามักน้อย มากล้าจน มาตั้งใจ จนเต็มใจจน จนเป็นคนจนสำเร็จจริง ไม่ใช่จนเล่นๆ แต่จนจริงๆ ไม่สะสมไม่ต้องมีอะไรเลย อยู่กันอย่างสุดยอดเศรษฐศาสตร์ เป็นคนจน
จนก็พอ เพียงพอ คนรวยนัน มันไม่มีเพียงพอหรอก แต่คนจนเราเพียงพอได้เพราะมันจนถึง 0 แล้วไม่มีทางเป็นอื่นอีก มันก็พอเท่ากัน จึงมีความเสมอภาคกัน เพราะมันจนเท่ากันหมดเลย
อ้าว รับสมัครงานล้านตำแหน่ง ทุกคนมาทำงานที่นี่ได้เงินเดือนเท่ากันกับเจ้าของร้านเลย เท่ากันกับผู้อำนวยการเลย เงินเดือน 0 บาทเท่ากันหมด ท่านหนักแน่นบอก อย่างนี้มีด้วยหรือ มาสมัครเลย เลยอยู่เลยไม่ไปเลย พวกคนงานบ้านคำกลาง มาทำงานอยู่ที่นี่เงินเดือนสูงกว่าเจ้าของอีก ซื้อรถแบคโฮรถปิคอัพรถเก๋งได้เลย
กลายเป็นสังคมวิเศษ สังคมพระศรีอาริย์ สังคมคนเจริญที่มีคุณสมบัติ คุณวิเศษที่ลอกเลียนกันได้ก็เชิญเลย ซึ่งมันไม่ใช่จะลอกเลียนกันได้ง่ายๆ มาเสแสร้งแกล้งเป็น มันทำไม่ได้ มันต้องเป็นจริง มันไม่จริงมันไม่ได้เลย อยู่ไม่ได้ เป็นไม่ได้ อย่างไรก็ไม่เหมือน อย่างไรก็ไม่คือ ถึงคือ ทำเต๊ะท่าได้หน่อยเดียวก็ต้องดิ้นหนี โดยไม่ต้องไปไล่หรอก มันทนไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีคุณสมบัติทางจิตแท้ๆอยู่ไม่ได้หรอก
จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ไปเบียดเบียนไม่ได้ผลักไสไม่ได้ขับดัน ไม่ได้ไปทำร้ายทำลายอะไรกัน มันเป็นเรื่องสัจจะจริงๆเองเลย เป็นสัจจะของแต่ละคนๆ จริงเอง มันสุดยอดอย่างนั้น
จึงเป็นการพิสูจน์คน พิสูจน์จิตวิญญาณที่ได้ฝึกปรือเรียนรู้กฎอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า มันจึงเป็นคนพิเศษจริงๆเป็นคนวิเศษจริงๆ ที่ไม่เหมือนโลกียะเลย
ส่วนคนที่จริงแล้วไล่อย่างไรก็ไม่ไป นอกจากว่า คุณจะแย่จนกระทั่งไล่คุณก็ไม่ไป ต้องหาตำรวจมาจับออกไป แบบนั้นก็มันแย่แล้ว ก็หน้าด้านหน้าทนเกินไป ไม่ออกได้ยังไงคุณแย่กว่าเกณฑ์เขาเหลือเกินไม่ไหว
มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่มันย้อนแย้ง Incredible เป็นเรื่องไม่น่าเป็นไปได้เลย เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยังไง มันไม่น่าจะเป็นไปได้สิอย่างนี้ มันเหนือกว่า Impossible อีก
เราคนจน ทำไมขายต่ำกว่าทุนแล้วแจกได้อีกด้วย มีนายทุนลึกลับส่งเงินให้หรืออย่างไร ก็ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องของแรงงานพลังงานของแต่ละคน ที่มีคุณสมบัติวรรณะ 9 กินน้อยใช้น้อย ชีวิตไม่เปลืองไม่ผลาญ แต่ขยันสร้างสรรค์
นอกจากกินน้อยใช้น้อย ไม่เปลืองไม่ผลาญ แล้วไม่สะสมที่ตัวด้วย เอามารวมไว้กับส่วนกลาง ทุกคนมีทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน มันจึงมารวมอยู่ที่นี่หมดเลย มหาสมุทรนี้ใหญ่ แม่น้ำเล็กแม่น้ำน้อยไหลมาอยู่ที่นี่หมดเลย มาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วเรียกชื่อเดียวกันหมดเลย แม่น้ำร้อยพันสาย มารวมกันที่นี่หายไปหมดเลยชื่อเดิม เป็นหนึ่งเดียวคือมหาสมุทรนี้ ใครๆก็เป็นตระกูล “จน” หมด
นามสกุล จน ของชาวอโศก เท่าที่นับได้ตอนนี้
1. จนดีจริง
2. มุ่งมาจน
3. กล้าจน
4. ตั้งใจจน
5. เต็มใจจน
6. พร้อมจน
7. มาจน
8. จนสุขสำราญ
9. จนอีหลี
10. จนอีหลีอีหลอ
11. จนทุกชาติ
12. จนแล้วจนรอด
13. จนสำเร็จ
......พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 22 ธ.ค. 64
1 บันทึก
4
2
3
1
4
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย