24 ธ.ค. 2021 เวลา 02:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ธุรกิจและนักลงทุนไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อจีนดำเนินนโยบาย Common Prosperity
5
ในช่วงที่ผ่านมา เราเห็นข่าวการแทรกแซงจากรัฐบาลจีนและการออกมาตรการในหลากหลายด้าน
ตั้งแต่ การห้ามไม่ให้บริษัท Ant Group เสนอขายหุ้นครั้งแรก การกีดกันไม่ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี การถอดแอพลิเคชั่นของบริษัท Didi ออกจาก App store การห้ามการทำกำไรในธุรกิจการศึกษา การกำหนดชั่วโมงในการ เล่นเกมส์ของเยาวชน หรือ การห้ามเยาวชนตั้งกลุ่มแฟนคลับหรือเข้าร่วมกิจกรรมของคนดังที่มีค่าใช้จ่ายสูง
3
มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ นโยบาย Common prosperity ของจีนที่ต้องการที่จะนำพาประเทศจีนก้าวสู่สังคมที่รุ่งเรืองอย่างทั่วถึงและสร้างความมั่นคงทางสังคม
2
อย่างไรก็ตามมาตรการที่ออกมาก็ได้สร้างความปั่นป่วนและเพิ่มความกังวลให้แก่นักลงทุนในตลาดหุ้นจีนเป็นอย่างมาก
3
และทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า การกระทำของจีนในครั้งนี้เป็นเพียงมาตรการในการกำกับอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของเศรษฐกิจจีนกลับไปเป็นระบอบคอมมิวนิสต์สุดโต่งเหมือนยุคสมัยของเหมา เจ๋อตุงกันแน่
1
KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร จะวิเคราะห์ถึงอุดมการณ์ที่เป็นสิ่งชี้นำเศรษฐกิจจีนเพื่อพยายามหาคำตอบว่าทิศทางของเศรษฐกิจจีนในอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
3
ต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบาย Common Prosperity คืออะไร และทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจไทยอย่างไร
2
ทำไมเรื่องนี้ถึงมองข้ามไม่ได้ ?
ถึงแม้ว่าการดำเนินนโยบาย Common Prosperity ของจีนจะดูไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงต่อไทย
แต่ทิศทางที่เปลี่ยนไปของรัฐบาลจีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและส่งผลต่อเนื่องมายังธุรกิจและเศรษฐกิจไทยจากความสำคัญของจีนใน 4 ด้านสำคัญได้แก่
1) คนไทยไปลงทุนในจีนเป็นจำนวนมาก หากไปดูข้อมูลจาก Morningstar จะพบว่า กองทุนรวมต่างประเทศที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในรอบ 9 เดือนของปี 2021 คือกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจีน คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 7.8 หมื่นล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งจากนักลงทุนไทยและเป็นตลาดที่นักลงทุนคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตในระยะยาวที่ดี แต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้น อาจส่งผระกระทบทางด้านงบดุลของนักลงทุนและความมั่นใจในการลงทุนอีกด้วย
2
2) จีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย นอกจากจีนเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในระดับสูงแล้ว ตลาดจีนยังเป็นตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญที่สุดของไทยอีกด้วย โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการไทยไปยังจีนในปี 2019 สูงถึง 3.05 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯหรือคิดเป็นสัดส่วน 13% ของการส่งออกไทยทั้งหมด สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปยังจีนสูงได้แก่สินค้าจำพวกยาง ผลไม้สด ชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับเครื่องใช้สำนักงาน และ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ดังนั้น หากเศรษฐกิจจีนเผชิญกับภาวะชะลอตัวลง ก็จะมีผลสืบเนื่องมายังการส่งออกสินค้าและบริการไทย
1
3) ไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนในสัดส่วนสูง ใน 10 ปีที่ผ่านมา รายได้จากการท่องเที่ยวถือได้ว่าเป็นเครื่องยนต์สำคัญต่อภาคบริการของไทย โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักคือนักท่องเที่ยวจีนที่มีสัดส่วนความสำคัญเพิ่มขึ้นสูงถึง 28% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด 40 ล้านคนในปี 2019 หากไปเทียบกับรายได้ที่มาจากการท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่มีมูลค่ากว่า 12% ของ GDP หมายความว่ารายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็น 3% ของเศรษฐกิจไทย แสดงให้เห็นว่า นโยบายที่ลดแรงจูงใจไม่ให้นักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวต่างประเทศจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ
2
4) ความมั่นคงของเอเชียจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯและจีน เนื่องจากแผนยุทธศาสตร์และนโยบายของจีนจะคำนึงถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนเป็นสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเอเชีย ผลกระทบต่อตลาดการเงินและผลกระทบต่อความมั่นคงทางการทหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย
1
สิ่งที่จุดประกายนโยบาย Common Prosperity
มาตรการต่างๆ ที่เราได้เห็นทางการจีนบังคับใช้ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการเพื่อจัดระเบียบอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่เป็นความพยายามของรัฐบาลจีนที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวใน 5 ประเด็น ได้แก่
1) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่จีนเปลี่ยนผ่านจากระบบคอมมูนและระบบเศรษฐกิจที่รัฐวางแผนในการผลิตทั้งหมดไปเป็นระบบเศรษฐกิจที่เปิดให้มีภาคเอกชนและให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน รวมไปถึงการหันมาพึ่งพาระบบกลไกตลาดมากขึ้น
ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดและกลายมาเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดเป็นอันดับสองของโลก อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดก็ตามมาซึ่งความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
ความเหลื่อมล้ำและการผูกขาดเป็นปัญหาที่สำคัญที่หากยังคงอยู่ในระดับสูงอาจส่งผลต่อการเข้าถึงโอกาส การเข้าถึงการศึกษา ซึ่งจะขัดขวางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวลดลง
1
นอกจากนี้หากจีนปล่อยให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นอย่างเนื่อง อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดปัญหาและความไม่มั่นคงทางสังคมที่จะบั่นทอนอำนาจการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย
ในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐได้ออกนโยบายเพื่อจัดการกับปัญหาการผูกขาดและความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ครอบครองสัดส่วนตลาดสูงและมีการสะสมข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง
ตัวอย่างของนโยบายเช่น การเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด การกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและเล็กมากยิ่งขึ้น หรือการขอความร่วมมือให้เศรษฐีบริจาคเงินให้แก่สังคม
2) หนี้ที่อยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน สาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาและเป็นสัญญาณเตือนต่อความเสี่ยงในอนาคต คือ หนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
1
โดยสัดส่วนของหนี้ทั้งหมดเมื่อเทียบกับ GDP เพิ่มขึ้นจาก 143% ในปี 2006 มาเป็น 287% ในไตรมาสแรกของปี 2021 หากไปดูในรายละเอียดก็จะพบว่า ส่วนที่มีการสะสมหนี้มากที่สุดคือ หนี้ของบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในภาคการเงิน
ในขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าหนี้ครัวเรือนจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับหนี้ของบริษัท แต่ก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
ปัญหาที่ตามมา คือ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่แพงมากจนประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์
หากไปดูสถานการณ์ราคาบ้านในจีนจะพบว่า อัตราส่วนระหว่างราคาบ้านในเมืองเสินเจิ้นต่อรายได้นั้นอยู่ที่ 43.2 ซึ่งหมายความว่า ครัวเรือนต้องใช้เวลาโดยเฉลี่ยกว่า 43 ปีในการซื้อบ้านหนึ่งหลังในเมืองเสินเจิ้น และราคาบ้านโดยเฉลี่ยในเมืองอื่นๆ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ก็อยู่ในระดับสูงมากเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ก็ทำให้ทางการจีนได้ออกนโยบายเพื่อหยุดการเก็งกำไรและป้องกันไม่ให้ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินเพิ่มไปมากกว่านี้
ทั้งการออกมาตรการให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องคงระดับกระแสเงินสดให้อยู่เหนือกว่าระดับของหนี้ระยะสั้น รวมไปถึงนโยบายการปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีความตึงตัวยิ่งขึ้น แต่นโยบายเหล่านี้อาจสร้างความเสี่ยงทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ภาครัฐยินดีที่จะยอมให้เศรษฐกิจชะลอตัวเพื่อรักษาเสถียรภาพของสังคม
3) สังคมสูงวัยที่กำลังจะมาถึง อีกหนึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ คือ ปัญหาสังคมสูงวัยและจำนวนประชากรวัยทำงานที่คาดว่าจะหดตัวลง
จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) คาดว่าในปี 2050 ประชากรกว่า 35% จะมีอายุอย่างน้อย 60 ปีขึ้นไป ในขณะที่ 47% ของประชากรจะมีอายุอย่างน้อย 50 ปีขึ้นไป
1
และนอกจากโครงสร้างประชากรที่มีลักษณะเป็นสังคมสูงวัยแล้ว จำนวนประชากรยังมีแนวโน้มหดตัวลง จากการคาดการณ์ก็จะพบว่า จำนวนประชากรทั้งหมดในจีนจะถึงจุดสูงสุดในปี 2031 และจะลดลงมาเหลือเพียง 1.3 พันล้านคนในปี 2060 เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนประชากรวัยทำงานยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาเรื่องโครงสร้างประชากรจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจในระยะยาวชะลอตัว
โดยทางการจีนพยายามออกนโยบายที่จะกระตุ้นให้อัตราการเกิดเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การอนุญาตให้ครอบครัวมีบุตรได้มากกว่า 3 คน หรือการห้ามไม่ให้ติวเตอร์หลังเลิกเรียนทำกำไรเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการมีบุตร
4) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาจนกลายมาเป็นประเทศที่มีมูลค่าในการส่งออกมากที่สุดของโลกนั้นมาพร้อมกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากที่สุดเช่นเดียวกัน
โดยข้อมูลจาก our world in data ชี้ให้เห็นว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากภาคการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 2.4 พันล้านตันในปี 1990 เป็น 10 พันล้านตันในปี 2018
ถึงแม้ว่าจำนวนการปล่อยก๊าซบางส่วนนั้นมาจากสินค้านำเข้าเพื่อใช้การผลิต ขนาดของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็ยังอยู่ในระดับสูง
ซึ่งต้นตอของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นมาจากการเผาถ่านหินเป็นหลักเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่มาก
2
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาจากการเผาถ่านหินก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศและส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งหลายตามมา
1
จึงทำให้รัฐบาลจีนมีนโยบายที่จะมุ่งเน้นไปยังการเปลี่ยนไปยังพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือมาตรการที่ลดการเผาถ่านและหันไปใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น
5) อิทธิพลจากค่านิยมตะวันตกที่พยายามเข้ามาในตลาดจีนมากยิ่งขึ้น นอกจากการที่จีนผนวกเข้ากับเศรษฐกิจโลกจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศ
สิ่งที่การแลกเปลี่ยนกันข้ามพรหมแดนคือค่านิยมและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นในด้านอาหารการกิน ลักษณะการใช้ชีวิต หรือแม้กระทั้ง ทัศนคติ ความคิดหรืออุดมการณ์
ทั้งนี้ ค่านิยมจากตะวันตกในหลายด้านเป็นสิ่งที่แตกต่างจากค่านิยมจีนอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในเรื่องของอุดมการณ์ทางการเมือง
1
ภาครัฐและพรรคคอมมิวนิสต์จึงมีความพยายามในการสกัดกั้นไม่ให้อิทธิพลจากค่านิยมแบบตะวันตกเพิ่มขึ้นซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางสังคมในมุมมองของจีน
5 ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่จุดประกายให้รัฐบาลต้องออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหา
1
เพราะ หากปล่อยไว้แบบนี้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวอาจชะลอตัวลงซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงทางการเงินและความไม่มั่นคงทางสังคม
อย่างไรก็ตามนอกจากประเด็นเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นต้นเหตุให้รัฐบาลจีนออกมาตรการในการจัดระเบียบทางสังคมแล้ว อีกปัจจัยที่สำคัญ คือ อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง
อุดมการณ์ของ สี จิ้นผิง (Xi Jinping Thought)
ในการที่จะเข้าใจสิ่งที่รัฐบาลจีนกำลังวางแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนไปข้างหน้า
เราต้องพยายามเข้าใจถึงพัฒนาการของอุดมการณ์ที่อยู่ในเบื้องหลังของการตัดสินใจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของผู้นำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
1
เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์และภาครัฐมีบทบาทในการทำนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ความเข้าใจในแนวคิดเหล่านี้อาจฉายภาพให้เห็นได้ว่าอนาคตของนโยบายเศรษฐกิจจีนจะเป็นอย่างไร
เหมา เจ๋อตุง The Great Helmsman
ภายหลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีค.ศ.1949 เป็นต้นมา ผู้นำของจีนแต่ละคนต่างก็ได้วางรากฐานที่สำคัญให้แก่เศรษฐกิจและสังคมจีนที่มีผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน
1
ผู้นำคนแรกและเป็นผู้นำที่มีนโยบายควบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมากที่สุดคือ เหมา เจ๋อตุง แนวคิดของเหมา เจ๋อตุง หรือแนวคิดของลัทธิเหมา (Maoism) นั้น
ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากแนวคิดของลัทธิมาร์กซและเลนนิน (Marxism and Leninism) และเชื่อในเรื่องการขจัดความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ (proletariat) และชนชั้นนายทุน (bourgeoisie)
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิวัติระบบสังคมเดิมให้กลายเป็นระบบคอมมิวนิสต์ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ตัวอย่างของนโยบายที่เป็นผลจากแนวคิดนี้คือนโยบายก้าวกระโดด (the Great Leap Forward) ที่พยายามจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปเป็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมโดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้วางแผนเศรษฐกิจ (Central Planning)
และได้มีการจัดตั้งระบบคอมมูนที่มีการแบ่งปันผลประโยชน์ รายได้ และครอบครองทรัพย์สินร่วมกันในภาคการเกษตร อย่างไรก็ตามนโยบายก้าวกระโดดทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารเกิดขึ้น
เนื่องจากเกษตรกรจำนวนมากต้องหันมาถลุงเหล็กตามคำสั่งรัฐและทำให้เวลาที่สามารถนำไปใช้ในการเพาะปลูกลดลง
เศรษฐกิจจีนในช่วงระหว่างปี 1961 และ 1976 จึงมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่เพียง 3.9% ต่อปี เท่านั้น
นอกจากนี้ ในช่วงปฎิวัติวัฒนธรรมระหว่างปี 1966-1976 มีคนเสียชีวิตมากกว่าสิบล้านคนและมีผู้อพยพหนีออกจากจีนเป็นจำนวนมากอีกด้วย
เติ้ง เสี่ยวผิง The Great Reformer
หลังการเสียชีวิตของเหมา เจ๋อตุง ในปี 1976 จีนภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง มีการปฏิรูปเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งการยกเลิกระบบคอมมูนในภาคการเกษตร การเปิดเสรีให้แก่ภาคเอกชนและผู้ประกอบการให้สามารถก่อตั้งธุรกิจได้
การเปิดเสรีให้การลงทุนจากต่างประเทศ รวมไปถึงการโอนกิจการของรัฐให้เป็นเอกชนมากขึ้น
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญยังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของเติ้ง เสี่ยวผิงที่ต้องการยกระดับความมั่งคั่งของจีนขึ้นมาก่อนถึงแม้ว่าจะต้องยอมให้คนบางกลุ่มรวยก่อน
ทั้งนี้ แนวคิดของลัทธิมาร์กซและเลนนินยังมีความสำคัญต่อจีนอยู่ แต่แนวคิดต้องมีการปรับให้เหมาะสมเข้ากับจีน จึงทำให้เกิดคำที่ใช้เรียกกันว่า สังคมนิยมสมัยใหม่แบบจีน (Socialism with Chinese characteristics) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับแนวคิดนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของเลนนิน (New Economic Policy)
ซึ่งยอมให้ระบบทุนนิยมและระบบตลาดเข้ามามีบทบาทชั่วคราวในการสร้างความมั่งคั่งและสร้างการเติบโต ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นประเทศแบบสังคมนิยมที่มีความเท่าเทียมกัน การเปิดเสรีต่าง ๆ
จึงทำให้เศรษฐกิจจีนในช่วงระหว่างปี 1977 และ 2000 จึงมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงขึ้นอยู่ที่ 9.7% ต่อปี ซึ่งภายหลังจากปี 2000 การเปิดเสรียังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง จนหลังจากจีนเข้าร่วม WTO ในปี 2001 การเติบโตของเศรษฐกิจยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้จีนกลายมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองของโลก
และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเร่งตัวของกระแสโลกาภิวัตน์และภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอดจนนำไปสู่การทำนโยบายการเงินนอกกรอบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สี จิ้นผิง The Core Leader
มาถึงในยุคปัจจุบัน แนวคิดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping Thought) ได้ถูกนำเสนออย่างแพร่หลายในหลายช่องทาง
ตั้งแต่สุนทรพจน์ในรัฐสภาหรือวันสำคัญของชาติ หรือแม้กระทั่งหนังสือที่เขียนถึงแนวคิดของสี จิ้นผิงโดยเฉพาะ (The Governance of China, 2014)
2
ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดนี้ยังถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญของจีนหนังสือในชั้นเรียนอีกด้วย สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของแนวคิดทางการเมืองที่มีต่อสังคมและเศรษฐกิจจีน ในสุนทรพจน์ของสี จิ้นผิงหลังจากได้รับตำแหน่งในปี 2013 และในหนังสือ The Governance of China ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2014
1
อาจอนุมานได้ว่า แนวคิดของสี จิ้นผิงนั้น ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของมาร์กซและเลนนิน
ในความเชื่อที่ว่า ระบบทุนนิยมจะเสื่อมถอยจากความย้อนแย้งในตัวเอง และจะถูกแทนที่ด้วยระบบสังคมนิยมในท้ายที่สุด
ซึ่งความเชื่อนี้ได้ถูกยืนยันในมุมมองของจีนจากทั้งวิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจทุนนิยมตะวันตก รวมไปถึงกระแสโลกาภิวัฒน์และนโยบายการเงินแบบนอกกรอบที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่งซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางสังคม
1
ดังนั้น ภายใต้แนวคิดของสี จิ้นผิง หากปล่อยให้จีนมีการเปิดเสรีและปล่อยให้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่าง ๆ
1
อาทิ สัดส่วนรายได้ของแรงงานที่ลดลง หนี้ที่เพิ่มขึ้น ความกระจุกตัวและการผูกขาดทางเศรษฐกิจ รวมไปถึง ฟองสบู่ในสินทรัพย์ทางการเงิน เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยที่ภาครัฐไม่เข้ามากำกับดูแล
จะเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นแรงงานที่จะขยายมากขึ้น ซึ่งขัดต่ออุดมการณ์ของมาร์กซและเลนนิน และแนวคิดของสี จิ้นผิง โดยตรงอีกด้วย
เมื่อค่านิยมของธุรกิจกับรัฐไม่ตรงกัน
หากสิ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกังวลคือพลวัตของทุนนิยมที่อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ภาครัฐภายใต้แนวคิดของสี จิ้นผิง
จะเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลภาคเอกชนหรือแม้กระทั่งเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทางธุรกิจของภาคเอกชนอีกด้วย
จากผลสำรวจจาก Chinese Private Enterprise Survey ของสมาพันธ์อุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน (ACFIC) ในช่วงที่ผ่านมาจำนวนของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่เข้าไปมีบทบาทในบริษัทเอกชนมากยิ่งขั้น
ถึงแม้ว่าสัดส่วนของบริษัทเอกชนที่มีการจัดตั้ง party organization ที่จะทำให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มีสิทธิมีเสียงในการกำหนดนโยบายของธุรกิจจะอยู่แค่ 48%
แต่สำหรับ 500 บริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจีน สัดส่วนกว่า 92% มีการจัดตั้ง party organization ภายในบริษัท
นี่คือการดำเนินการที่สำคัญที่พยายามผลักดันแนวคิดหรือนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ภาคธุรกิจเอกชนต้องปฏิบัติตาม
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในด้านอื่นจากพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของสี จิ้นผิงที่จะเข้ามาเป็นศูนย์กลางในการกำหนดนโยบายทางสังคมและเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
1
อย่างเช่น การจัดตั้งคณะกรรมการกลางในด้านต่างๆ อาทิ ด้านการปฏิรูป ด้านการเงินและเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคงแห่งชาติ ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศ โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นประธานในคณะกรรมการกลางที่กล่าวมาทั้งหมดและจะรับผิดชอบในการตัดสินใจสำคัญ
1
ในประเทศที่เป็นระบบทุนนิยมเสรี การตัดสินใจของธุรกิจรายหนึ่งในการผลิตสินค้าและบริการ มาจากการแก้ปัญหาการหาค่าที่เหมาะสมที่สุด (Optimization problem)
โดยธุรกิจรายหนึ่งจะพยายามดำเนินธุรกิจให้มีกำไรหรือทำให้มูลค่าของผู้ถือหุ้นของธุรกิจนั้นมากที่สุด
แต่ในแนวคิดของประเทศสังคมนิยมแบบจีน ธุรกิจรายหนึ่งเป็นเพียงแค่หนึ่งองค์ประกอบในการสร้างผลตอบแทนให้แก่สังคมเท่านั้น
ในเมื่อธุรกิจซึ่งต้องการสร้างกำไรให้แก่ตัวเองให้มากที่สุด แต่กลับต้องทำตามการตัดสินใจของภาครัฐที่ต้องการสร้างผลตอบแทนต่อสังคมให้มากที่สุด
ค่านิยมที่ขัดกันตรงนี้ทำให้หลักการพื้นฐานในการลงทุนในจีนแตกต่างกับหลักการพื้นฐานในการลงทุนในประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกาที่เป็นระบบตลาดทุนนิยมแบบเสรีมากกว่า
ดังนั้น สำหรับนักลงทุน การตัดสินใจเข้าไปลงทุนในจีน นอกจากจะต้องศึกษาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทแล้ว ยังต้องดูว่าการประกอบธุรกิจของบริษัทนั้น ๆ ขัดต่อผลประโยชน์ของสังคมซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลกลางจีนหรือไม่
ธุรกิจไหนบ้างที่อาจเจอความเสี่ยงจากภาครัฐ
เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวในหลากหลายด้าน ทำให้รัฐบาลจีนจะเข้ามามีบทบาทในการตัดใจและมีเพิ่มมาตรการต่อภาคธุรกิจเอกชนที่ขัดต่อเป้าหมายนโยบายของภาครัฐ ธุรกิจหรือกิจกรรมที่มีลักษณะดังต่อไปนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับมาตรการเข้มงวดของรัฐบาลจีน
1) ธุรกิจที่ผูกขาดและมีการกระจุกตัวอยู่แค่ผู้เล่นน้อยราย
2) ธุรกิจที่เก็บข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน หรือข้อมูลอื่นๆที่อาจมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ
3) บั่นทอนผลิตภาพในระยะยาว เช่น การเล่นเกมส์มากเกินไป หรือ กิจกรรมในวงการบันเทิง
4) เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน เช่น การเก็งกำไรในตลาดการเงิน shadow banking
5) เพิ่มต้นทุนในการมีบุตร เช่น ค่าเช่าหรือราคาบ้านที่แพงจนเข้าถึงไม่ได้ ค่าเรียนพิเศษที่ราคาสูง
6) ธุรกิจที่กดค่าแรงไว้ในระดับต่ำ
7) กิจกรรมที่มีการแสดงออกถึงค่านิยมแบบตะวันตก
จากลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น กลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงจากมาตรการภาครัฐสูงคือ
กลุ่มเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่มีการผูกขาดและสะสมข้อมูลที่มีความสำคัญมาก
กลุ่ม Fintech ที่อาจกระทบเสถียรภาพทางการ กลุ่มการศึกษาและสุขภาพที่อาจถูกควบคุมราคา กลุ่มเกมส์และงานบันเทิงที่อาจบั่นทอนผลิตภาพของเยาวชนในระยะยาว
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่อาจได้รับการสนับสนุนในระยะสั้นคือ กลุ่มที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี
เช่น กลุ่มภาคการผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ กลุ่มเทคโนโลยีพลังงานสะอาด หรือกลุ่มที่เป็นสินค้าบริโภคเนื่องจากเศรษฐกิจจะหันไปโตด้วยภาคการบริโภคในประเทศมากยิ่งขึ้น
จีนยอมชะลอในระยะสั้นเพื่อความมั่นคงในระยะยาว
นโยบายภาครัฐที่ต้องการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและเพิ่มผลิตภาพในระยะยาวจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายมิติทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
1
1) เศรษฐกิจระยะสั้นมีแนวโน้มชะลอตัวลง มาตรการต่างๆเช่น นโยบายควบคุมการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
หรือนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่อาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนพลังงงานและราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น
เป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงในปีหน้า โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญอย่างยิ่งและมีขนาดใหญ่ถึง 28.7% ของเศรษฐกิจจีนทั้งหมด
2
ถ้าหากลองเปรียบเทียบความสำคัญของภาคอสังหาริมทรัพย์ของแต่ละประเทศ จะเห็นได้ว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนมีขนาดคล้ายคลึงกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของสเปนก่อนปี 2008 ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวที่เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศและการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ในขณะนั้น
แต่หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 เกิดขึ้น ทำให้ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ในสเปนแตก นำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสเปน
ในกรณีของจีน ความต้องการของภาครัฐในการลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการทำให้ประชาชนสามารถซื้อบ้านได้ อาจลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางสังคม
แต่หากราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนเริ่มมีแนวโน้มลดลง จะทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ ในปี 2022 Bank of America ได้ปรับประมาณการ GDP ลดลงจาก 5.3% เป็น 4.0%
แต่ในกรณีที่ภาครัฐไม่ผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่ากรณีการผิดนัดชำระหนี้ ใน 3-6 เดือนข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น และ GDP จะเติบโตเพียง 2.2% เท่านั้น
1
ผลกระทบต่อการเติบโตระยะยาว หนึ่งในปัญหาระยะยาวของเศรษฐกิจจีนคือจำนวนประชากรในวัยทำงานหดตัว
หากเศรษฐกิจจีนไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพของแรงงานได้ในอัตราที่สูงกว่าอัตราการหดตัวของประชากรในวัยทำงาน ศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวจะลดลง
1
นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้รัฐบาลจีนมุ่งเน้นไปยังการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ฉบับล่าสุด
โดยรัฐบาลจีนมีแผนที่จะจัดสรรงบประมาณสำหรับการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
รวมไปถึงการสนับสนุนให้จีนเป็นต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
นโยบายสนับสนุนเหล่านี้จะเป็นปัจจัยด้านบวกในการที่จะเพิ่มผลิตภาพระยะยาวของเศรษฐกิจจีน
อย่างไรก็ตามนโยบายอื่นที่ต้องการสร้างเสถียรภาพต่อระบบการเงินและเสถียรภาพทางสังคมหรือการที่ภาครัฐเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจของภาคธุรกิจเอกชนมากยิ่งขึ้นอาจสร้างความไม่แน่นอนและลดทอนความมั่นใจของธุรกิจเอกชน และอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship spirit) ซึ่งจะเป็นปัจจัยด้านลบต่อโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกด้วย
1
3) จาก เติบโตด้วยการลงทุน เป็น เติบโตด้วยการบริโภค ในอดีต การลงทุนและการส่งออกเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนมาโดยตลอด
แต่โมเดลการเติบโตที่เน้นการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นต้นเหตุที่ทำให้ปริมาณหนี้ในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จึงเป็นเหตุที่ทำให้รัฐบาลจีนพยายามเปลี่ยนเครื่องยนต์ในการเติบโตไปเป็นภาคการบริโภคมากขึ้นผ่านนโยบาย Dual Circulation ที่จะเน้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
การปรับสมดุลในการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว (rebalancing) จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการค้า
3
KKP Research ประเมินว่า หากการลงทุนในจีนชะลอตัวลงในขณะที่การเติบโตของภาคการบริโภคเร่งตัวขึ้นในอัตราที่เท่ากัน ธุรกิจที่การส่งออกมูลค่าเพิ่มพึ่งพาภาคการลงทุนในจีน
เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักรกล อุปกรณ์การคมนาคม ไฟแนนซ์ และ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จะได้รับผลกระทบในด้านลบจากการเปลี่ยนโมเดลการเติบโตของจีน
ในขณะที่ธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์ คือธุรกิจที่การส่งออกมูลค่าเพิ่มพึ่งพาภาคการบริโภค ได้แก่ ภาคการเกษตร ผลิตภัณฑ์เคมีและยา การค้าปลีกและค้าส่ง และผลิตภัณฑ์อาหาร
อย่างไรก็ตาม หากภาคการบริโภคของจีนไม่สามารถเร่งตัวได้เท่ากับอัตราการชะลอตัวของภาคการลงทุน ก็จะสร้างผลกระทบทางลบมากขึ้นต่ออุตสาหกรรมไทยในระยะยาว
ช่องทางผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าขนาดใหญ่ของไทยและเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลกส่งผลให้การดำเนินนโยบาย common prosperity ที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในระยะสั้นโดยเฉพาะต่อภาคการลงทุนและการบริโภคของจีน จะส่งผลกระทบสืบเนื่องมาถึงเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทาง ดังต่อไปนี้
1) ด้านการค้า: การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะสั้นจะทำให้ความต้องการในการนำเข้าของสินค้าจากต่างประเทศลดลง
โดยเฉพาะจากประเทศแถบอาเซียน เอเชีย และประเทศที่เป็นผู้ส่งออก commodity ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกมูลค่าเพิ่มไปยังภาคการลงทุนหรือภาคการบริโภคของจีนสูงจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนภายในประเทศมากกว่าประเทศหรืออุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกมูลค่าเพิ่มเพื่อการส่งออกของจีน
จากข้อมูล OECD TiVA (Trade in Value-Added) จะพบว่า เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มีการส่งออกมูลค่าเพิ่มไปยังภาคการลงทุนหรือภาคการบริโภคในสัดส่วนสูง
โดยในส่วนของไทย พบว่า ใน การส่งออกมูลค่าเพิ่มไปยังจีนที่คิดเป็น 7.0% ของ GDP นั้น 80% เป็นการส่งออกเพื่อภาคการลงทุนและภาคการบริโภคของจีน หรือคิดเป็น 5.6% ของ GDP นั่นเอง
1
หากเจาะลงไปในกลุ่มอุตสาหกรรม จะพบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกมูลค่าเพิ่มไปยังอุปสงค์ภายในประเทศของจีนมากกว่า 70% ได้แก่
อุตสาหกรรมเหล็ก การค้าส่งและค้าปลีก การขนส่งและคลังสินค้า ไฟแนนซ์ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ไฟฟ้า ในขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จะได้รับผลกระทบอย่างจำกัด
เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการส่งออกของจีนมีขนาดใหญ่ หากการส่งออกของจีนยังเติบโตได้ดีอยู่ ก็จะเป็นปัจจัยบวกที่มาหักล้างกับการส่งออกไปยังจีนเพื่อการลงทุนและการบริโภคที่ชะลอตัวลง
ในด้านผลกระทบต่อรายสินค้าการส่งออกของไทย KKP Research ประเมินว่า สินค้าส่งออกของไทยที่มีตลาดจีนเป็นตลาดสำคัญและเป็นสินค้าที่มีการเคลื่อนไหวตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีนสูง
คือสินค้ากลุ่ม ยาง พลาสติก กับเคมีภัณฑ์อินทรีย์ ในขณะที่สินค้ากลุ่มเครื่องจักร และกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า ถึงแม้ว่าจะมีอัตราการส่งออกของสินค้าเหล่านี้จะเคลื่อนไหวตามเศรษฐกิจจีนสูงและเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย
แต่สัดส่วนของตลาดจีนอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก หมายความว่า สินค้าเหล่านี้ยังมีตลาดอื่นรองรับไว้ในกรณีที่อุปสงค์ของตลาดจีนชะลอตัวลง
2) ด้านการเงิน: การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางที่ 2 นั่นก็คือช่องทางด้านการเงิน
ซึ่งสามารถแบ่งออกได้อีกเป็นสองช่องทางย่อยคือ
1) ผ่านการลงทุนจากจีน การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนคาดว่าจะทำให้ FDI จากจีนที่ก่อนหน้านี้ก็เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ชะลอตัวต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างการค้าของไทยและจีน ได้แก่ ภาคยางและพลาสติก รถยนต์และชิ้นส่วน การค้าส่งและค้าปลีก รวมไปถึง ภาคอสังหาริมทรัพย์
2) ผ่านตลาดหุ้นและค่าเงิน จากการวิจัยของ IMF (Spillovers from China: Financial Channels, 2016)
พบว่าการชะลอตัวของผลผลิตอุตสาหกรรม การอ่อนค่าของเงินหยวน หรือมูลค่าของตลาดหุ้นลดลง สอดคล้องกับการลดลงของตลาดหุ้นของประเทศตลาดเกิดใหม่รวมไปถึงการอ่อนค่าของค่าเงินของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อีกด้วย โดยขนาดของผลกระทบจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับขนาดการค้ากับจีนและขนาดการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์
ประเทศที่มีขนาดการค้ากับจีนสูง ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน ก็จะได้รับผลกระทบต่อค่าเงินที่สูง ในขณะที่ประเทศที่เป็นประเทศส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สูง ได้แก่ ออสเตรเลีย ก็จะได้รับผลกระทบต่อค่าเงินสูงเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ การที่คนไทยมีสัดส่วนการลงทุนในจีนสูงมากขึ้น อาจได้รับผลกระทบจาก wealth effect หากตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงรุนแรงจากมาตรการภาครัฐที่จะเข้มงวดขึ้นในแต่ละภาคอุตสาหกรรม
3) ด้านการท่องเที่ยว ด้วยความที่รัฐบาลจีนต้องการทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเป็นเครื่องยนต์หลักแต่ก็ยังกังวลเรื่องการเกิดภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเนื่องจากจะทำให้ระดับของหนี้เพิ่มสูงขึ้น
ทำให้การลดการขาดดุลภาคบริการอาจเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายก็เป็นได้
หากไปดูโครงสร้างการค้าของจีนนั้น ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่มีการส่งออกสินค้ามากที่สุด
แต่จีนนั้นมีขาดดุลการบริการในระดับสูงจากภาคการเดินทางและการท่องเที่ยวที่ขาดดุลกว่า 2.6 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 1.9% ของ GDP
หนึ่งในวิธีการที่ภาครัฐอาจใช้ในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศของจีนคือการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวในประเทศ
ซึ่งถ้าหากจีนประสบความสำเร็จในการดึงดูดให้คนเที่ยวในประเทศก็จะมีผลทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนมายังไทยลดลงในระยะยาว และไม่กลับไปยังระดับ 11 ล้านคน ก่อนที่การระบาดของโควิด-19 จะเกิดขึ้น
ในทศวรรษข้างหน้า เราอาจไม่เห็นเศรษฐกิจจีนกลับไปเติบโตระดับ 13% เหมือนในอดีตอีกแล้ว
แต่เชื่อว่าทางการจีนยังคงรับได้ เพราะภารกิจสำคัญของรัฐบาลจีนคือการทำให้เศรษฐกิจจีนมีความมั่นคงและกระจายความมั่งคั่งให้ทั่วถึงทั้งสังคม
นโยบาย Common Prosperity และการเติบโตแบบ Dual Circulation จะเป็นแนวโน้มสำคัญของเศรษฐกิจจีนในอนาคตอันใกล้
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลายภาคส่วน เรายังเชื่อว่าการกระทำของภาครัฐจีนไม่ใช่สัญญาณบ่งบอกว่าจีนจะกลับไปเป็นประเทศคอมมิวนิสต์สุดโต่งในแบบยุคสมัยของเหมา เจ๋อตุง
และจะยังคงความสำคัญของภาคเอกชนต่อเศรษฐกิจอยู่เนื่องจากมีบทเรียนราคาแพงต่อเศรษฐกิจและสังคมในยุคนั้นมาแล้ว
1
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐจะมีการเข้ามากำกับดูแลภาคธุรกิจเอกชนและมีบทบาทในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพในด้านต่าง ๆ ซึ่งอาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบาย บั่นทอนความมั่นใจของภาคธุรกิจ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวก็เป็นได้
สำหรับนักลงทุนไทย การนำหลักการในการลงทุนแบบประเทศตะวันตกที่เป็นทุนนิยมเสรี มาใช้กับประเทศสังคมนิยมแบบจีน
อาจทำให้มองข้ามความเสี่ยงที่เกิดจากค่านิยมที่ขัดกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของจีน
และสำหรับธุรกิจไทย การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะสั้นและการเปลี่ยนโมเดลในการเติบโตระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยผ่านทั้งช่องทางการค้าและตลาดการเงิน ธุรกิจที่มีการค้าขายกับจีนควรจับตามองพัฒนาการของเศรษฐกิจจีนให้ดีเพราะอาจเจอกับความท้าทายหรือโอกาสในการทำธุรกิจก็เป็นได้
ติดตามบทความ เนื้อหา ความรู้เพิ่มเติม คลิก
#KKPResearch #KKP # KiatnakinPhatra #CommonProsperity #เกียรตินาคินภัทร #รัฐบาลจีน #การลงทุน #ผลกระทบ #ความมั่นคง #มาตรการภาครัฐ #ธุรกิจภาคเอกชน #ความเสี่ยง #เสถียรภาพทางการเงิน #เศรษฐกิจจีน #การชะลอตัว #เศรษฐกิจไทย #GDP
โฆษณา