Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ญาดา เอี่ยมทอง
•
ติดตาม
28 ธ.ค. 2021 เวลา 11:07 • การศึกษา
Dark night of the soul
(คู่มือเพื่อค้นหาหนทางการเดินทางผ่านคืนที่มืดมิด เปลี่ยนผ่านจากความเจ็บปวดของชีวิตไปสู่การเติมเต็มประสบการณ์ทางจิตวิญญาณภายใน)
คืนที่มืดมิดอาจไม่รู้สึกเหมือนอาการซึมเศร้า ในการเจ็บป่วยที่ยาวนานหรือ เราอาจจะปัญหาในการแต่งงาน คุณอาจวิตกกังวล แต่ไม่หดหู่ ในทางกลับกัน ไอ้อาการซึมเศร้าทางการแพทย์อาจถือเป็นคืนที่มืดมิดก็ได้
ไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่าอะไร ประสบการณ์จะเกี่ยวข้องกับคุณในแบบ คนๆหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ มีอารมณ์ ความทรงจำ และความนึกคิด อาการซึมเศร้าเป็นตัวบอกอาการ ในขณะที่คืนที่มืดมิดเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมาย และอาการซึมเศร้าเป็นความเจ็บป่วยทางจิต คืนที่มืดมิดคือบททดสอบทางจิตวิญญาณ
“หลายคนคิดว่าประเด็นของการมีชีวิตคือการแก้ไขปัญหาและทำให้มีความสุข แต่ความสุขอะมักเป็นเพียงความรู้สึกชั่วขณะหนึ่ง และในเรื่องปัญหา คุณจะไม่มีวันกำจัดปัญหาได้จริงหรอก
เป้าหมายในชีวิตของคุณอาจเป็น "การเป็นตัวคุณมากขึ้น" และมีส่วนร่วมกับผู้คนและชีวิตรอบตัวคุณมากขึ้น เพื่อใช้ชีวิตของคุณอย่างแท้จริง แต่ก็นะหลายคนกลับใช้เวลาเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตอยู่นั้นเอง
พวกเขากลัวที่จะปล่อยให้มันไหลผ่านเข้าด้านในตน ดังนั้นความมีชีวิตชีวาของพวกเขาจึงเปลี่ยนทิศไปช่องทางอื่น เช่น ความทะเยอทะยาน การเสพติด และความหมกมุ่น และเป็นสิ่งที่ไม่ได้มอบคุณค่าแก่พวกเขา คืนที่มืดมิดอาจปรากฏขึ้นอย่างขัดแย้งเพื่อเป็นการกลับสู่ชีวิตอีกครา มันจะพาเราไปสู่ส่วนลึกให้สัมผัสสิ่งสำคัญและช่วยให้คุณเริ่มต้นใหม่ได้"
คืนที่มืดมิดก็เหมือนดันเต้ที่กำลังง่วงนอนและเดินหลงทางไปในถ้ำ เหมือนอลิซในวันเดอร์แลนด์ ที่มองกระจกแล้วเดินทะลุผ่านเข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง และที่สำคัญเลย คุณไม่ได้เลือกคืนที่มืดืดให้ตนเองหรอก มันกลับมอบให้กับคุณมากกว่า งานของคุณคือการเข้าไปให้ใกล้กับมันและร่อนหาทองคำของมัน
ในส่วนลึกคุณอาจสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของคุณในเวลาแห่งความเจ็บปวด และความสับสนมากกว่าช่วงเวลาอื่นที่คุณมักจะมองข้ามความหมายลึกซึ้งที่มีอยู่อย่างหลากหลาย คุณจะได้กลับมามีความอ่อนไหวต่ออารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เพื่อจะเรียนรู้สิ่งที่คุณไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน แม้ในยามเวลาปกติและช่วงแห่งแสงสว่างอาจจะทำให้คุณมองเห็นได้ยาก และค่ำคืนที่มืดมิดแห่งจิตวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องพิเศษหรือหาได้ยาก มันค่อนข้างเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติชีวิต คุณสามารถมองเห็นมันได้ผ่านเรื่องราวของเพื่อนและคนที่คุณรู้จักของคุณ
ใครบางคนกำลังผ่านการหย่าร้าง แม่ของใครอีกคนกำลังป่วยหนัก เด็กเล็กกำลังได้รับความบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ อีกคนหางานไม่ได้ หลายคนหดหู่และทำตัวแปลกๆ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความทุกข์ทรมาน หากคุณพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดค่ำคืนที่มืดมิด คุณอาจไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนของคืนนั้น หรือคุณอาจพลาดหนทางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่จะเกิดขึ้นกับคุณ หนังสือเล่มนี้มีเป้าประสงค์เพื่อจะกระตุ้นให้คุณเข้าสู่ความมืดด้วยสติปัญญาและความเข้มแข็ง เพื่อจะค้นพบวิสัยทัศน์ใหม่และความรู้สึกของตัวเองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะหนักหนา เช่น อาชญากรรม การข่มขืน การทำแท้ง การถูกโกง แรงกดดันทางธุรกิจ คุณยังคงสามารถค้นพบข้อมูลใหม่ๆภายในตัวคุณ มุมมองใหม่ๆต่อชีวิต เราไม่ได้ต้องการออกไปจัดการแก้ไขคืนแห่งความเจ็บปวดแต่เราเพียงอาศัยมันเพื่อจะเติมเต็มบางสิ่งภายใน
“ฉันกำลังร่วงหล่นหายไปในแห่งหนใด” วลีนี้มองอีกมุมหนึ่ง คือคืนที่มืดมิดของจิตวิญญาณที่เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน เป็นเหมือนเวทีในการเล่นแร่แปรธาตุมากกว่า เป็นอุปสรรค์ต่อความสุข และบางทีคุณก็ไม่สามารถสรุปความได้ว่า คืนมืดมิดที่สร้างความวิตกกังวลมากมายจะจบลงอย่างมีความสุขหรือพร้อมไปด้วยการค้นพบสิ่งดีงามภายในเสมอไป มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งอันที่จริง เราจะเห็นตัวอย่างของหลายๆคน ที่จบลงด้วยการฆ่าตัวตน หรือยอมจำนนต่อความเจ็บป่วยเรื้อรัง และเพื่อจะเคารพการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ในเชิงจิตวิญญาณ เราไม่สามารถไปตัดสินพวกเขาจากการกระทำภายนอกได้ คุณต้องมองเข้าไปให้ลึกด้วยมุมมองที่ใกล้ชิดพวกเขา
ถึงแม้ว่าในบางคนจะสามารถอาศัยสถานการณ์ของความยากลำบากเพื่อท้าทายการเปลี่ยนผ่าน เพราะมันไม่มีความกระจ่างชัดเลยว่าเราจะได้ประโยชน์จากความมืดมิดอย่างไร และบางครั้งช่วงแห่งความยากลำบากก็มีความสมเหตุสมผลเพื่อที่จะทำเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่สิ่งที่ทำเพื่อตัวคุณเอง เช่น แม่คนหนึ่งที่ยอมอดข้าวเพื่อสละให้ลูกได้กินในช่วงสงคราม
ผู้คนที่จำต้องผ่านความเศร้าโศกแห่งยุคมืด สงครามกลางเมือง หรืออาการซึมเศร้า ซึ่งเป็นความท่วมท้นและปนเปไปด้วยหวั่นวิตก และประสบการณ์เหล่านี้ของมนุษย์กลับทำให้เราเชื่อมโยงกับความหมายต่างๆ ถึงแม้บางส่วนของคนเราจะสร้างความเสียหายทางจิตใจให้กับตนเอง เมื่อเลือกตอบสนองต่อความรู้สึกสิ้นหวัง ความว่างเปล่าคอยพาเราให้เบี่ยงเบนไปจากชีวิตยามปกติ แต่ทั้งหมดก็มักจะทิ้งร่องรอยไว้ให้จดจำ และทำให้คุณมีความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจมากยิ่งขึ้น
เราจะมามองชีวิตแห่งความยากลำบากผ่านมุมมองของศาสตร์คนโบราณ ที่รู้เคล็ดลับในการเผชิญช่วงเวลาเหล่านี้ ผ่านความชาญฉลาด ความรัก วิธีเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เป็นบทเรียนสำคัญที่ควรค่ากับการเรียนรู้จากคืนมืดมิด สิ่งนี้จะช่วยให้เราเห็นความงามของชีวิตธรรมดา ความพยายามที่จะสร้างสรรค์ ความต้องการจะเผยความงามที่แท้จริงของเรา แม้เราจะมีความโกรธเคืองสิ่งรอบตัว หรือในยามที่เราต้องสูญเสียสิ่งมีค่าของเราไป ความเจ็บป่วยในวัยชรา ซึ่งประสบการณ์แต่ละอย่างเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นคืนมืดมิดที่ไม่ธรรมดาเลย
“ความมืดที่ไม่สิ้นสุด
บางคนพูดถึงค่ำคืนที่มืดมิดของจิตวิญญาณราวกับว่าเป็นความท้าทายที่จะจัดการให้จบลงอย่างรวดเร็วและเอาชนะ “โอ้ ฉันผ่านคืนที่มืดมิดของฉันมาแล้ว” พวกเขากล่าว “แต่ตอนนี้มันจบแล้ว” สำหรับบางคน สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นคืนที่มืดมิดอาจเป็นเพียงรสชาติของความมืดที่แท้จริงของวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันค่อนข้างเร็วและง่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่ประสบกับมันรู้สึกอวดดีที่ผ่านมันมาได้สำเร็จและรวดเร็ว ค่ำคืนอันมืดมิดที่แท้จริง อาจละทิ้งไปไม่ง่ายหรอก มันทิ้งผลกระทบที่ยั่งยืนและอันที่จริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงคุณให้ดี ไม่ใช่เรื่องน่าอวดเลย”
“คืนที่มืดมิดอาจทำให้ไม่รู้สึกถึงความสงบสุขอย่างสุดซึ้ง และมักเสนอทางออกที่คาดไม่ถึง เว้นแต่ว่าเราอาจจะพึ่งพาศรัทธาอันบริสุทธิ์และภูมิปัญญาที่อยู่เหนือความเข้าใจ อยู่เหนือความสามารถของคุณ คืนที่มืดมิดเรียกร้องให้เกิดการตอบสนองทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่แค่เป็นเพียงการบำบัดเท่านั้น แต่มันผลักคุณให้ไปถึงจุดสิ้นสุดของสิ่งที่คุ้นเคยหรือสิ่งที่เคยเชื่อ ขยายภาพจินตนาการของคุณเกี่ยวกับวิธีการทำงานของชีวิต แท้จริงใครนะหรืออะไรควบคุมชีวิตทั้งหมดนี้?
คืนที่มืดมิดรับใช้วิญญาณโดยบังคับให้คุณต้องพึ่งพาบางสิ่งที่เกินความสามารถของมนุษย์ มันช่วยให้คุณไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆและสู่ความลี้ลับที่น่าค้นหา” เพราะถ้ามองในระดับของการเติมเต็มความหมายของชีวิต นั่นคือ การจำเป็นต้องผ่านมันไปด้วยประสบการณ์ตรง หากเมื่อคุณไม่พยายามจะจัดการด้วยความดิ้นร้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง สำหรับหลายๆคน การประคับประคองให้เป็นไปตามกระบวนการก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายด้วย หลายคนเข้าหาการบำบัด การต้องการความเข้าใจและรีบระบุ เพราะในยุคสมัยนี้มีแนวคิดต่อเรื่องภายในไม่แตกต่างจาก เรื่องการเสพติดการจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยมุมมองของนักวัตถุนิยมคือ รีบระบุถึงปัญหา และต้องรีบจัดการทำลายมันลงให้เร็วที่สุด ซึ่งสิ่งนี้คุณกำลังบ่มเพาะจิตใจให้ “ไม่ได้ใช้ชีวิตในการผจญภัยที่กล้าหาญ” คุณรีบลดเสียงรบกวน คุณรีบรับความสะดวกสบายเท่าที่คุณจะทำได้ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรที่จะทำแบบนั้น
แต่เรากำลังพูดถึงการไม่รีบก้าวข้ามกระบวนการทางธรรมชาติไปอย่างลวกๆ สิ่งที่คุณจะทำได้อย่างไม่รบกวนกระบวนการคือ ใส่ใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณ ไตร่ตรองกับมัน หรือ พูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณอย่างจริงจังกับเพื่อนที่วางใจได้
อาจเป็นงานยากหน่อย ที่คุณจะสนับสนุนความต้องการในระดับลึกที่สุดของจิตวิญญาณคุณ ดูแลมากกว่าการรักษา ประคองชีวิตของคุณไว้เพื่อสนับสนุนกระบวนการของชีวิต
Terry Waite เป็นนักเขียนและนักมนุษยธรรมในปี 1987 เทอร์รี ไวต์ถูกกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ลักพาตัวไป และใช้เวลา 1,736 วัน (เกือบห้าปี) ถูกล่ามไว้กับผนังในห้องขังมืดในกรุงเบรุต
คนส่วนใหญ่ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ Waite กล่าว แต่อาจพบว่ามีประโยชน์ที่จะเรียนรู้วิธีที่เขารับมือ เขาพยายามใช้ความสามารถทางจิตเพื่อจดจ่อกับแง่มุมด้านบวก เขากล่าวว่า “คุณไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคุณจนกว่าคุณจะถูกทดสอบ”
เขาบอกว่าเขามักจะนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาอ่าน หนังสือเล่มนี้ได้ค้ำจุนเขา ในช่วงหลายปีแห่งความโดดเดี่ยว อยู่มาวันหนึ่งยามผู้เห็นอกเห็นใจไวท์ได้มอบหนังสือเกี่ยวกับการเป็นทาสในอเมริกาให้เขา เขาอ่านมันอย่างช้าๆ หลาย ๆ ครั้งจนสามารถท่องข้อความต่างๆ ได้ เขาคิดถึงพวกทาสที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตในการถูกจองจำ แต่โดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเลย เรื่องราวของทาสไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดของเขาหายไป แต่มันทำให้สามารถทนได้ เขาได้รับแรงบันดาลใจและการสนับสนุนโดยภาพของผู้คนที่อยู่เหนือสภาวะที่เลวร้ายยิ่งกว่าเขา
คืนที่มืดมิดของเราอาจอุปมาคล้ายการเดินทางในทะเลตอนกลางคืน ที่เราต้องจำติดอยู่กับอารมณ์หรือจากสถานการณ์ภายนอก ซึ่งเราสามารถทำได้เพียงเล็กน้อยและเฝ้ารอการปลดปล่อย และเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เข้ามาเรียงร้อยกับด้านปกติที่เรามักจะใส่ใจในคุณค่าต่างๆที่วัฒนธรรมของเรานิยมชมชอบ อย่างเช่น ความสันโดษ คือกุญแจไขความโดดเดี่ยว ซึ่งทำให้เรามีทางเลือกของชีวิตที่หลากหลาย มากไปกว่าการควบคุมและพยายามจัดแจงคัดแยกสิ่งที่ไม่ต้องการออกไปอย่างลวกๆ
“ความมืดกับความสว่างย่อมเป็นของคู่กัน พวกมันจะมีประโยชน์และสวยงามราวกับช่วงเวลาที่สดใสได้หรือไม่?”
ดิกคินสัน นักเขียนบทกวี ถูกมองว่า ป่วยจิต เธอสูญเสียคนสำคัญในชีวิตอย่างต่อเนื่อง และเลือกที่จะไม่ออกจากบ้านห่างไกลจากสังคม ซึ่งในทางพฤติกรรมก็คงจะไม่ผิดที่จะระบุว่าเธอป่วยทางจิต แต่เธอกลับไม่ได้มองว่าตนป่วย เธอระบุว่าเป็นช่วงของค่ำคืนอันมืดมิดของดวงวิญญาณที่ต้องการพักจากความวุ่นวายของการกระทำคุณงามความดีต่างๆ หรือพักจากความพยายามที่จะเข้าใจตัวเอง หรือเป็นการพักจากการที่ต้องทำให้สิ่งต่างๆถูกต้องไปสะหมด เธอเลือกจะจำนนอย่างไม่มีทางเลือก หยุดการควบคุม ยอมจำนนต่อความไม่รู้และหยุดฟังสัญญาณแห่งปัญญาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถอนตัวจากการเดินไปข้างหน้า
ถึงคุณจะไม่พร้อมหรือไม่เต็มใจก็ตาม ความมืดในยามค่ำเป็นมากกว่าประสบการณ์การเรียนรู้ เพราะมันเป็นการเริ่มต้นที่ลึกซึ้งในอาณาจักรที่อาจไม่มีอะไรเลย ยิ่งในวัฒนธรรมของเราที่เน้นการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องภายนอก ความสำเร็จกับวัตถุ จนกลายเป็นความตึงเครียดได้มากมาย นำมาด้วยความขัดแย้งในความคิด สร้างเส้นทางของการคุกคามสันติสุขทั้งในบ้านและทั่วโลก เกิดขั้วความขัดแย้งระหว่าง ความดิบเถื่อน กับความไร้เดียงสา ให้เป็นขั้วปฏิปักษ์ ความอคติจึงบังเกิดและดำเนินไปพร้อมกับปฏิกิริยาที่ไม่ชาญฉลาดนัก บางคนกลับหลงใหลและเสพติดในความรุนแรงอย่างไม่สามารถเท่าทันได้ และต้องหาทางออกโดยการใช้ความซับซ้อนของตัวเองเพื่อระดับความเกลียดชังและความกลัวในตนเอง ยิ่งเราโตเป็นผู้ใหญ่ เรากลับยิ่งซับซ้อน มีความนึกคิดและมีค่านิยมที่ซับซ้อน ฉะนั้นค่ำคืนอันมืดมิดจึงเข้ามามีบทบาทต่อด้านสว่าง
ในด้านของการจำนนต่อสถานการณ์ที่ยากลำบากทางจิตใจ เป็นไปเพื่อการยอมรับนั้นเราสามารถมองให้เป็นโอกาสของการสละกลไกของอัตตาตัวตนที่เราบากบั่นสร้างมันมาอย่างยากลำบาก มันคือการคลี่คลายตัวตนที่เราผูกยึดติด ทั้งจากการถักทอของแรงขับในวัฒนธรรมยุคนี้ที่ทำให้คุณเชื่อว่า ความก้าวหน้าคือความสำเร็จ คุณอาจไม่เห็นคุณค่าของการถดถอย คุณอาจระบุว่าคือความล้มเหลวที่ไม่อาจจะยอมรับได้ในฐานะคนที่เจริญแล้ว แต่ทว่าการถดถอยในทางใดทางหนึ่งคือการกลับไปยังต้นกำเนิด ถอยห่างจากแนวการต่อสู้ของการดำรงอยู่ แล้วกลับมาสู่การเชื่อมต่อกับธรรมชาติของจิตใจส่วนลึก เป็นความบริสุทธิ์ของคุณเอง ทะเลยามค่ำคืนที่มืดมิดจะนำคุณกลับไปสู่ตัวตนดั้งเดิมของคุณ ไม่ใช่ตัวตนที่กล้าหาญที่คอยแต่จะเฝ้าพิชิตชัย แต่สำหรับตัวตนดั้งเดิมของคุณนั่นเอง ในฐานะที่ไร้ซึ่งขอบเขตเป็นทะลแห่งความเป็นไปได้ เป็นความยิ่งใหญ่ ลึกล้ำของคุณเอง
เราจะมีมุมมองต่อเรื่องวิกฤติที่พลิกพลันในชีวิตเราได้อย่างไร
ภาษากวียังเป็นภาษาแห่งความเหมาะเจาะกับประสบการณ์การเดินทางในทะเลยามค่ำมืด ซึ่งต่างจากวิธีพูดของเราในสังคมปกติที่จะกล่าวถึงการบรรลุความสำเร็จด้วยความกล้าหาญ หรือไม่ก็จะพูดถึงความก้าวหน้าและการเติบโต แม้กระทั่งคำว่า “การเยียวยา” ก็ตามที ก็ยังถือว่าเป็นด้านที่เข้มแข็งเกินไปสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลแห่งการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณ
ภาษาทางจิตวิทยาที่ยอมรับอย่างทั่วถึงในยุคนี้มีแนวโน้มที่จะระบุให้เรากลายเป็นวีรบุรุษและมีศักยภาพที่จะซาบซึ้งต่อสิ่งรอบตัว เพราะคุณพิชิตปัญหาของคุณได้ พร้อมมุ่งเป้าไปที่การเติบโตและความเป็นหนึ่งเดียว และอีกขั้นหนึ่งคือหนทางที่คุณจะถามตัวเองว่า “คุณเป็นใครและกำลังเผชิญอะไรอยู่” ความเข้าใจนั้นอาจจะไม่ได้รักษาเยียวยาคุณจากสภาวะความยุ่งยากใจหรือให้ความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในความเป็นหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์ แต่ก็อาจทำให้คุณเกิดปัญญาบางอย่างเกี่ยวกับการเข้าถึงความหมายของ “การมีชีวิต”
คุณอาจจะลองบอกวิธีเล่าเรื่องราวของคุณผ่านบทกวี ที่ไม่จำเป็นต้องเขียนออกมา แม้เกิดขึ้นในใจก็สำคัญต่อจิตใจของคุณแล้วล่ะ บทกวีมักจะช่วยปกป้องความลึกลับของประสบการณ์ คุณอาจต้องการภาษาแบบนั้น คำที่เก็บความคิดและประสบการณ์ของคุณโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดบรรยายที่มากเกินไป บทกวีเป็นภาษาของกระแสคลื่น มันทำให้คุณอยู่ในสายน้ำแห่งชีวิตและช่วยบอกเล่าเรื่องราวของคุณเอง คุณภาพของภาษาย่อมมีความสำคัญต่อจิตใจคุณเอง
คุณลองพูดเรื่องราวให้เป็นภาพอุปมาอุปไมยหรือสัญลักษณ์ เช่นหลายคนมักรู้สึกว่า “ตนเองกำลังเหมือนภูเขาไฟกำลังจะระเบิด” ซึ่งดูเป็นภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งเกินไปหน่อย อาจจะมองหาภาพที่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนที่ไม่ต้องพยายามมากไป หรือถ้อยคำที่แก้ต่าง เช่นตัวอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยบอกกับผมว่า “ทุกวันเธอพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมาอีก” ผมไม่เคยลืมภาพที่เรียบง่ายนั้นเลย เพราะมันสื่อถึงความวิตกกังวลว่าชีวิตจะดำเนินต่อไปหรือไม่
หนึ่งในตัวอย่างที่ดีของการใช้ภาษากวีในช่วงเวลาแห่งความผิดหวังโศกเศร้าของ เอมิลี่ ดิกคินสัย จดหมายของเธอเล่าถึงโศกนาฏกรรมและความสูญเสียมากมายในชีวิตของเธอ และเกือบทุกฉบับจะมีบทกวีสั้นๆ ที่รวบรวมความลึกซึ้งของสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อเพื่อนที่เธอรักมากเสียชีวิตไป เธอเขียนจดหมายถึงญาติเธอว่า
“ทุกสิ่งที่เราสูญเสียไปก็คือส่วนหนึ่งของเรา”
“พระจันทร์เสี้ยวยังคงอยู่
ที่ซึ่งเป็นดั่งพระจันทร์ในคืนฟ้าครึ้ม
เป็นถ้อยคำจากการเรียกขานของกระแสน้ำ”
คุณไม่จำเป็นต้องฝึกเขียนบทกวีจริงๆ แต่คุณสามารถเรียนรู้จากดิกคินสันเพื่อสร้างมุมมองต่อประสบการณ์ของคุณได้ในภาษาที่รวบรวมแก่นแท้ของมัน นำมาเชื่อมโยงกับคุณได้อย่างมีความหมายต่อการดำเนินชีวิต
คุณสามารถค้นพบรูปแบบที่คุณพูดในสิ่งที่คุณรู้สึกได้ดีที่บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของคุณได้มากกว่าคำพูดธรรมดา ได้ไหม?
มีการกล่าวหนึ่งของธรรมะสายเซน เป็นคำสอนที่เรียบง่ายโดย ชุนริว ซูซูกิ ถึงการมี “การมีสมาธิจดจ่อกับการกระทำเดียว”
เขาบอกว่า “คุณควรจำกัดกิจกรรมของคุณ และจดจ่อกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้วงขณะนั้นๆ และคุณยังสามารถแสดงออกได้ คุณไม่ต้องปล่อยให้ใจลอยไปอย่างไร้ทิศทางสะเปะสะปะ เมื่อคุณโค้งคำนับ จงโค้งคำนับ เมื่อคุณนั่ง ก็นั่ง”
สิ่งที่ต้องการจะบอกคุณคือ เมื่อคุณเดินทางในคืนทะเลที่มืดมิด อย่าพยายามเอาชนะมัน อย่าพยายามทำให้มันจบเสร็จสมบรูณ์ อย่าพยายามคิดให้ออก คุณไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการการคลอดแบบธรรมชาติได้ ดังนั้นอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับการเดินทางของจิตวิญญาณ
การที่ทำให้คุณเป็นคนมากขึ้นได้นั้นและการเปิดเผยชะตากรรม คุณแค่ดำเนินไปพร้อมหนึ่งการกระทำเดียวที่มีให้ต่อความมืดมน
ในห้วงที่คุณติดอยู่ความมืดมิดทุกข์ทรมานใจ ในสภาวะที่ไร้แรงผลักหรือแรงดึง เมื่อคุณไม่พยายามคุณจะคล้ายกับโยนาห์ที่ถูกปลาวาฬกลืนเข้าไป มืดมิด ไม่มีอะไรจำต้องกระทำ นอกจากสิ่งที่เขาเลือกทำคือการนั่งนิ่งๆ ทำสมาธิจดจ่อกับแต่ละขณะ ในที่มืด คุณอาจถามคำถามพื้นฐาน “คุณเป็นใคร?”, “โลกนี้คืออะไร?”, “คุณมาจากครอบครัวแบบไหน?”, “ธรรมชาติของคุณเป็นแบบไหน?”, “ประสบการณ์ในช่วงแรกของคุณเป็นอย่างไร?”, “ในส่วนลึกแล้วคุณต้องการอะไร?”, “คุณมีความกลัวอะไรบ้าง?” และในท้องปลาวาฬคุณจะได้รับโอกาสของการเริ่มต้นใหม่ พระอาทิตย์จะขึ้นโผล่ทางทิศตะวันออกเสมอ พร้อมกับคุณที่จะได้รับเช้าอีกวันในชีวิตของคุณ
นักกวีอีกท่านที่ผันตัวเองจากแม่บ้านมาสู่การเขียนบทกวี เอยว่า “วิธีที่คุณพูด, การใช้ชีวิต, วิธีที่คุณแสดงออก สิ่งเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการกับคืนที่มืดมิดของคุณ หากคุณร่ำร้องบทเพลงแห่งการต่อต้านความมืดมิด คุณอาจจะอยู่ในทางตันกับมันตลอดไป แต่ถ้าคุณสามารถหาวิธีที่เหมาะสมกับศักยภาพและอารมณ์ของคุณ เพื่อที่คุณจะแสดงออกถึงท่วงทำนองของสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญผ่านบทกวี สดุดีแด่ธรรมชาติแห่งความมืดมิดที่สุดของคุณ
สรุปความโดย ญาดา สันติสุขสกุล
3 บันทึก
3
8
3
3
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย