30 ธ.ค. 2021 เวลา 02:34 • ประวัติศาสตร์
สูตรเบอร์เกอร์สมัยโรมัน อายุกว่า “1,500 ปี”
“แฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger)” เป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดยอดนิยมของคนทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะชอบกินแฮมเบอร์เกอร์ และอาจจะคิดว่าแฮมเบอร์เกอร์เพิ่งจะกำเนิดที่แฮมเบิร์ก เยอรมนี
แต่บางที แฮมเบอร์เกอร์อาจจะเก่าแก่กว่านั้น และเคยมีมานานนับพันปีแล้วก็เป็นได้
ลองมาดูกันครับ
สำหรับหลักฐานการมีอยู่ของแฮมเบอร์เกอร์ หรือ “เบอร์เกอร์ (Burger)” ฉบับที่เก่าแก่ที่สุด ปรากฎอยู่ใน “Apicius” ซึ่งเป็นหนังสือทำอาหารของโรมันที่ไม่ได้ระบุชื่อผู้แต่งและเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 5
อาหารที่ปรากฎในหนังสือทำอาหารนี้ และมีลักษณะคล้ายกับเบอร์เกอร์ คืออาหารที่มีชื่อว่า “Isicia Omentata”
Isicia Omentata ไม่ได้เหมือนกับเบอร์เกอร์ในปัจจุบันแบบเป๊ะๆ แต่วิธีการทำค่อนข้างคล้ายกันมากทีเดียว
ลองมาดูวิธีการทำกันครับ
ในส่วนแรก ก็คือเนื้อที่นำมาใช้ทำเบอร์เกอร์
ในตำรา Apicius ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าให้เอาเนื้ออะไรมาทำเบอร์เกอร์ โดยเมนูอื่นๆ ในตำรานี้ ก็มีเนื้อหลากหลายชนิด ทั้งปลาหมึก หอยแมลงภู่ ไก่ฟ้า นกยูง แม้แต่สมองหมูก็เป็นหนึ่งในเนื้อที่มีระบุในตำรา โดย Isicia Omentata นั้น จะใช้เนื้อบด
1
ในยุคนั้น กระบือและโคเนื้อนั้นเป็นของล้ำค่า จะใช้เฉพาะโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในการบูชาเทพเจ้าในพิธีทางศาสนา แต่ถ้าเราต้องการจะเลียนแบบเบอร์เกอร์ในยุคนั้น ก็อาจจะเอาเนื้อวัวมาใช้ได้ซักเล็กน้อย
ส่วนการนำเนื้อมาบดนั้น ในยุคนั้นยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่สะดวกเหมือนปัจจุบัน การเอาเนื้อไปบด จึงต้องใช้มือในการสับให้ละเอียด
และด้วยความที่ไม่ได้ระบุว่าใช้เนื้ออะไรมาทำเบอร์เกอร์ เราก็อาจจะคาดเดาได้ว่าชาวโรมันอาจจะผสมเนื้อหมูกับเนื้อวัวจำนวนเล็กน้อยเข้าด้วยกัน หรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะเป็นเนื้อไก่ฟ้าหรือนกยูง หรืออาจจะเป็นนกป่า
ส่วนผสมอื่นๆ ที่นำมาทำเบอร์เกอร์และโดดเด่น ก็คือ “Caul Fat”
Caul Fat จะมีลักษณะเป็นตาข่ายไขมัน คล้ายพังผืด ซึ่งมีอยู่ในหมู วัว และแกะ
การใช้ Caul Fat ทำให้คาดเดาได้ว่าชาวโรมันอาจจะใช้เนื้อไม่ติดมันมาทำเบอร์เกอร์ เนื่องจากเนื้อนกป่าจะไม่ติดมัน ทำให้ต้องมีการเพิ่มไขมันเข้าไปในส่วนผสม
Caul Fat จะถูกนำมาห่อตัวเนื้อของเบอร์เกอร์ แต่นอกเหนือจากนี้ ยังมีการใส่ส่วนผสมอื่นๆ อีก
Caul Fat
มีการใช้เศษขนมปังที่เปียกชุ่มด้วยไวน์ นำมาโรยลงบนตัวเนื้อ ก่อนจะปรุงรสด้วยเบอร์รี พริกไทยดำ และถั่วเม็ดสน
ในยุคนั้น ชาวโรมันก็มีการนำเข้าพริกไทยดำจากอินเดีย ส่วนเบอร์รีและถั่ว ก็มีการปลูกกันแพร่หลายแล้ว
จากนั้น ก็มีการผสมการุม (Garum) ลงในตัวเนื้อ
การุม (Garum)
การุม (Garum) คือน้ำปลาซึ่งใช้เป็นเครื่องปรุงและแพร่หลายในสมัยโรมันโบราณ กรรมวิธีการผลิตก็คล้ายๆ กับน้ำปลาร้าในปัจจุบัน และได้รับความนิยมในหลายๆ พื้นที่
1
เมื่อปรุงรสเรียบร้อยและเนื้อก็อยู่ในสภาพที่ดี เหมาะกับการทำเบอร์เกอร์แล้ว ก็จะนำไปปรุงให้สุก โดยในตำราก็ไม่ได้บอกถึงกรรมวิธีการปรุงให้สุก แต่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะคล้ายกับการย่างเนื้อเบอร์เกอร์ในปัจจุบัน
เมื่อถึงเวลาเสิร์ฟ เนื้อจะถูกเสิร์ฟพร้อมกับ Caroenum
Caroenum คือเครื่องปรุงที่ให้ความหวานของชาวโรมัน ทำมาจากน้ำองุ่นหรือไวน์แดง
1
ส่วนผสมอื่นที่สำคัญ ก็เช่น มะเขือเทศ ซึ่งในสมัยนั้น มะเขือเทศยังไม่เข้ามาในยุโรป ดังนั้นเบอร์เกอร์ในสมัยโรมันจึงไม่มีมะเขือเทศแน่นอน
แต่ส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้แน่ๆ ก็คือ “ขนมปัง”
ตามตำรานั้น ไม่ได้กล่าวถึงการเสิร์ฟเบอร์เกอร์โดยนำขนมปังมาประกบเหมือนในปัจจุบัน หากแต่ขนมปังก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ขนมปัง คืออาหารที่ชาวโรมันทานกันแพร่หลาย โดยชนชั้นสูงจะกินขนมปังที่ทำมาจากแป้งสาลีขาวอย่างดี ส่วนคนยากจนก็จะกินขนมปัง ซึ่งไม่ได้ทำมาจากแป้งชั้นดี จะมีความหนาและทานยากกว่าขนมปังที่ใช้แป้งอย่างดี
นอกเหนือจากข้าวสาลี คนทำขนมปังในยุคนั้นก็ยังใช้อย่างอื่นในการทำขนมปัง เช่น ข้าวไรย์ ลูกโอ๊ก หรือข้าวฟ่าง
สำหรับเนยนั้น ชาวโรมันนั้นไม่ชอบเนย และไม่มีการนำเนยมาใช้ในการทำอาหาร มีไว้เพื่อใช้ในการนวดตัวเด็กทารก
ส่วนประกอบอื่นๆ ของแฮมเบอร์เกอร์ในปัจจุบัน เช่น ชีส ผักกาดหอม และแตงกวาดอง ก็ไม่มีระบุในตำราว่ามีการเสิร์ฟเครื่องเคียงเหล่านี้กับเบอร์เกอร์ด้วย ถึงแม้ว่าทั้งสามอย่างนี้จะมีกันแพร่หลายในสมัยโรมันแล้วก็ตาม
นี่ก็เป็นลักษณะคร่าวๆ ของเบอร์เกอร์ในยุคโรมันเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เครื่องเคียงหรือส่วนผสม ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้บ้างตามกาลเวลา
3
โฆษณา