29 ธ.ค. 2021 เวลา 00:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ
การชนกันของวัฒนธรรมองค์กร Louis Vuitton & Tiffany
1
ใครที่ติดตามข่าวในวงการแฟชั่นเครื่องประดับและข่าวทางธุรกิจ คงจะได้ยินข่าวการเข้าซื้อกิจการของ Tiffany & Co โดย Louis Vuitton (LVMH) ด้วยมูลค่า $15,800 ล้านในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
1
สิ่งที่น่าสนใจคือการควบรวมแล้วธุรกิจดีขึ้นไหม มีผลกระทบอย่างไร เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่จะออกมาราบรื่น ไม่มีปัญหา
การชนกันของวัฒนธรรมองค์กรในกรณีนี้คือวัฒนธรรมของผู้ซื้อบริษัทฝรั่งเศสที่เป็นเบอร์ต้นๆของโลกในตลาดแฟชั่นเครื่องประดับกับบริษัทอเมริกันที่เก่าแก่ก่อตั้งปี 1837 และมีวัฒนธรรมองค์กรของตนเอง รวมทั้งมีแบรนด์เครื่องประดับที่แข็งแกร่ง จนชาวอเมริกันเรียกว่า Blue Box
1
เรื่องเกิดขึ้นหลังจากการควบรวมบริษัทสำเร็จ ทาง LVMH ได้ส่งผู้บริหารชาวฝรั่งเศสหลายคนมาแทนที่ผู้บริหารชุดเดิมของ Tiffany ที่เป็นคนอเมริกัน จนทำให้คนภายในล้อเลียนกันว่าการเข้าใจในวัฒนธรรมของฝรั่งเศสเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าต้องการทำงานต่อที่นี่
ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาพนักงานของ Tiffany ได้ออกบันทึกภายใน (Memo) ที่ไม่ได้รับการอนุญาติ นำเสนอเทคนิคบริหารจัดการคนฝรั่งเศสที่อยู่อเมริกาทางด้านความแตกต่างของวัฒนธรรมและมารยาท
8
ในบันทึกนี้ได้กล่าวว่าคนฝรั่งเศสมีแนวโน้มให้การวิจารณ์ด้านลบมากกว่า นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มทำให้บรรยากาศในการทำงานไม่อบอุ่นและมีความคลุมเครืออีกด้วย
1
หลังจากบันทึกนี้เผยแพร่ออกไป ซีอีโอคนใหม่ที่เป็นคนฝรั่งเศสชื่อว่า Anthony Ledru ได้ออกมาประนามการเผยแพร่บันทึกครั้งนี้
โดยได้โต้แย้งว่าพนักงานทุกคนควรจะต้องซึมซับวัฒนธรรมใหม่นี้ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการทำงาน นาย Ledru บอกว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับบันทึกที่ออกมาในครั้งนี้เลย
Pauline Brown ที่เคยเป็นประธานของ LVMH ในช่วงปี 2013-2015 ได้ให้ความเห็นไว้ว่าคณะผู้บริหารชุดใหม่กำลังประเมินความท้าทายทางด้านวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกันต่ำเกินไป
1
หลังจากนั้นมาบริษัทก็มีความขัดแย้งทางด้านวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่องดังนี้
ข้อแรกในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตอนนาย Ledru ขึ้นพูดต่อพนักงานทั้งหมด เขาได้คอมเม้นต์เกี่ยวกับการจ้างงานผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้หญิงด้วยการกล่าวว่า “ปล่อยให้ตำแหน่งพวกนี้เป็นของผู้ชายเพราะพวกเราต้องทำงาน” กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ทำให้พนักงานไม่พอใจ
แม้ว่าจะเข้าใจว่าเป็นการพูดติดตลก แต่คอมเม้นต์นั้นก็ได้ไปกระแทกประเด็นความอ่อนไหวขององค์กรอเมริกัน ซึ่งกังวลเกี่ยวกับความลำเอียงทางด้านเพศมากๆเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามนาย Ledru ได้กล่าวว่าหลังจากที่เขาเข้ามาดำรงตำแหน่งซีอีโอ สองในสามของตำแหน่งงานระดับผู้จัดการและสูงกว่าเป็นผู้หญิง
ข้อที่สอง Tiffany ได้เรียกพนักงานให้กลับเข้ามาทำงานในสำนักงานใหญ่ 2 วันต่อสัปดาห์เริ่มต้นตั้งแต่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ออฟฟิศส่วนมากยังปิดกันอยู่เนื่องจากการระบาดของโควิด 19
บริษัทมีการมอนิเตอร์การรูดบัตรเข้าออฟฟิส รวมทั้งถ้าวันไหนคนที่เข้ามาน้อยก็จะให้กรอกฟอร์มเพื่ออธิบายว่าทำไมพนักงานไม่เข้ามาที่ออฟฟิส ทำให้พนักงานโดยเฉพาะสายเทคโนโลยีในบริษัทลาออกและย้ายไปทำงานที่อื่นที่อนุญาตให้ทำงานที่บ้านได้
3
อย่างไรก็ตามบริษัทอ้างว่าการมอนิเตอร์เพื่อเช็คสถานะของพนักงานเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้บริษัทก็ยังอนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านแต่ต้องขอในระบบเข้ามาเป็นครั้งคราว
ยิ่งไปกว่านั้นนาย Ledru ได้กล่าวแบบเปรียบเปรยว่าเมื่อเราซื้อพลอยเข้ามา คุณก็ควรที่จะอยู่ในออฟฟิศเพื่อที่จะให้คะแนนและประเมินคุณค่าของมัน และถ้าเมื่อคุณอยู่ในช่วงการพัฒนาสินค้า คุณก็ต้องเห็นรายละเอียดของตัวสินค้าแบบเป็นๆ จริงๆแล้วแอปพลิเคชัน Zoom ก็ใช้ได้ แต่มันก็มีข้อจำกัดบางอย่างอยู่
1
ตอนนี้ทางบริษัทให้พนักงานทำงานที่บ้าน 4 วันต่อสัปดาห์ หรือมากกว่านั้นในบางหน่วยงาน ซึ่งแล้วแต่ผู้บริหารจะตัดสินใจ
ข้อที่สามในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทาง LVMH ได้ดึงนาย Peter Marino ที่เป็นสถาปนิกออกแบบร้านค้า Louis Vuitton เข้ามาแทรกแซงและรีวิวการตกแต่งสาขา Fifth Avenue ที่เป็นสาขาที่สำคัญแห่งหนึ่ง
1
พนักงานบางคนของ Tiffany ที่คลุกคลีกับโปรเจ็คนี้มาหลายปีต้องหัวเสียเมื่อโดนแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงรูปแบบร้านในช่วงที่ใกล้จะเสร็จ
นาย Ledru กล่าวว่ามันไปการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับทีมงาน แต่นี่คือแนวทางทำงานของ LVMH ที่พวกเราชอบท้าทายตัวเอง
1
เขาได้ตั้งคำถามแบบเปรียบเปรยไว้ว่า “พวกเราควรจะมีลิฟท์ในตำแหน่งที่เขาวางแผนจะมีหรือมันควรจะเปลี่ยนเป็นบันไดมากกว่า” พวกเราต้องตั้งคำถามอย่างจริงจัง
2
สุดท้ายแล้วทาง LVMH ก็ตัดสินใจที่จะเลือกการตกแต่งเป็นแนวทางเดิมที่ทีมงานได้ออกแบบมาแล้วแต่ให้นาย Marino แก้ไขการออกแบบภายในบางส่วนรวมทั้งระบบไฟเพิ่มเติม
ข้อที่สี่การดึงเอานาย Alexandre Arnault ลูกชายของนาย Bernard Arnault เจ้าของ LVMH เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้บริหาร ได้สร้างความไม่เท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นภายในองค์กร โดยในการประชุมนาย Arnault สามารถที่จะมีอิทธิพลในการตัดสินใจถ้าไม่สามารถหาข้อสรุปได้ด้วยการกล่าวว่า “ผมคุยกับพ่อมาและนี่คือการตัดสินใจที่เราเห็นตรงกัน”
2
อย่างไรก็ตามนาย Ledru ก็มีผลงานดีเพราะเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาด โฟกัสขายสินค้าที่มีราคาแพงมากขึ้น ทำให้ในปี 2021 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปี 2019 และสินค้าที่มีราคาสูงกว่า $100,000 ก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2021 เมื่อเทียบกับปี 2019
โดยสรุปสำหรับนักลงทุนการควบรวมกิจการไม่จำเป็นจะต้องดีเสมอไป เราอาจจะคิดว่าเมื่อควบรวมแล้วยอดขายจะมากขึ้น แต่เราอาจจะต้องดูไส้ในทั้งเรื่องของบริษัทมีความสามารถในการทำธุรกิจใหม่หรือไม่ รวมทั้งเรื่องของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เพราะทั้งคู่เป็นปัจจัยสำคัญมากที่จะทำให้การควบรวมนั้นต่อยอดธุรกิจได้ดีหรือไม่
ผมขอถามเพื่อนๆว่าถ้าเราทำงานอยู่ที่ Tiffany ตอนนี้แล้วเจอสถานการณ์แบบนี้ เราจะลาออกกันไหมครับ
#ผมทำกลุ่มปิดใน Facebook สำหรับการลงทุนหุ้นอเมริกาและจีนโดยมีค่าสมาชิกรายปีอยู่ที่ 2,999 บาทต่อคน
สมัครเข้าร่วมกันได้ที่ www.billionairevi.com/registration
โดยค่าสมาชิกจะถูกนำไปซื้อบทวิเคราะห์จากต่างประเทศในเวปชื่อดัง เช่น SeekingAlpha, The Motley Fool, Morningstar รวมทั้งข่าวจาก CNBC, Bloomberg, Businessinsider, The Economist รวมทั้งหาคนมาช่วยเขียนบทความครอบคลุมตลาดจีนมากขึ้น
Source: WSJ
โฆษณา