29 ธ.ค. 2021 เวลา 20:33 • ความคิดเห็น
เป็นคำถามที่น่าสนใจไม่น้อยเลยนะครับ
นี่อาจเป็นคำถามที่จะสามารถเขย่าความเชื่อคนได้เลย
ทีนี้เรามาลองคัดสรรดูว่าสิ่งใดควรเชื่อ
และสิ่งใดไม่ควรเชื่อ และสิ่งใดไม่มีจริง
ผมจะอธิบายในภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุดนะครับ
ในมุมมองของชาวพุทธเนี่ย
ศาสนาแปลว่า คำสั่งสอน 
คำสั่งแปลว่า วินัย
คำสอนแปลว่า หลักธรรมะ
ก่อนที่จะเกิดศาสนาขึ้นมานั้น
เจ้าชายสิทธัตถะหนีออกจากวังเพื่อไปบวช
เพื่อค้นหาวิธีช่วยเหลือราษฎรให้พ้นทุกข์ทั้งปวง
ตอนนั้นยังไม่มีศาสนาพุทธ นะครับ
เพราะเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้บรรลุธรรม
ยุคนั้นมีพราหมณ์ ฮินดู เป็นศาสนาหลัก
และมีระบบวรรณะ มีการแบ่งชนชั้นชัดเจน
การที่เจ้าชายสิทธัตถะหนีออกวังเนี่ย
ก็หมายความว่า เจ้าชายสิทธัตถะ
กำลังขัดขืนต่อต้านความเชื่อเดิม 
คือ ระบบวรรณะการแบ่งชนชั้น
ขัดขืนต่อพระราชประเพณีที่บิดาสอนไว้
จากกษัตริย์ ก็กลายเป็นบรรพชิต 
เป็นผู้แสวงหาความจริงแท้ของชีวิต
เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้ออกเดินทาง
ร่ำเรียนวิชาต่างๆ จากอาจารย์ต่างๆ
และสุดท้ายก็ไปร่ำเรียนกับปัญจวัคคีย์ทั้ง5
แต่ก็ไม่บรรลุมรรคผล ยังไม่รู้หนทางพ้นทุกข์
จึงละทิ้งปฏิญาณของตนเอง ละทิ้งความเพียร 
จากการทรมานร่างกายตัวเอง
แล้วลงไปตักน้ำในลำธารมาดื่ม 
และกินอาหารเป็นมื้อแรก จากนางสุชาดา
ทีนี้ปัญจวัคคีย์ทั้ง5 ก็เดินมาเห็น
จึงพากันประณามเจ้าชายสิทธัตถะ
หาว่าเป็นผู้มักมาก ละทิ้งความเพียรพยายาม
จึงพากันทอดทิ้งเจ้าชายสิทธัตถะไป
1
พอเจ้าชายสิทธัตถะได้ดื่มน้ำและกินอาหาร
ร่างกายที่ผอมแห้งก็กลับแข็งแรงขึ้น
และได้เรียนรู้จนเกิดปัญญา
ว่าการพ้นทุกข์นั้น ก็คือทางสายกลางนี่เอง
และค้นพบสติปัฏฐาน4 ทางสายเอก
นำไปสู่การบรรลุธรรมขั้นสุดท้าย
ค้นพบหลักคําสอนอริยสัจ4 ความจริงอันประเสริฐ
ที่ไม่สามารถมีใครโต้แย้งได้
บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด
1
หลักคําสอนของพุทธศาสนา
จึงสวนทางกับพราหมณ์ฮินดู
ความเป็นพุทธจึงไม่มีวรรณะ ไม่มีการแบ่งชนชั้น
ไม่มีพิธีกรรม ไม่มีฤกษ์งามยามดี
4
สอนว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน 
บุคคลล่วงพ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง
ไม่ใช่ต้นไม้ภูเขา ผี เจ้าที่ ศาลพระภูมิ
ไม่ใช่ดวงดาวบนท้องฟ้า ไม่ใช่เทพเทวดาองค์ใด
บุคคลหลุดพ้นได้ด้วยความเพียรเท่านั้น
6
ความเป็นพุทธ จึงไม่มีการแบ่งชนชั้น
ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีพราหมณ์
ไม่มีแพศย์ ไม่มีศูทร ไม่มีจัณฑาล
2
ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันในความเป็นคน
ไม่มีใครเป็นสมมติเทพทั้งนั้น
1
หลักของพุทธที่แท้จริง
ไม่ได้สอนให้ค้นหา ชาตินี้ ชาติหน้า
ไม่ได้สอนว่าให้กราบรูปเคารพ
1
การใส่บาตรทำบุญ ที่แท้จริง
คือการช่วยให้บรรพชิตมีอาหารกิน
เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ เพื่อเรียนรู้ธรรมะ
ผู้ใส่บาตร ได้สละความโลภ ชำระจิตใจให้ผ่องใส
การทำทานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้เกิดประโยชน์
ไม่ได้สอนว่า ทำทานแล้วจะต้องร่ำรวย
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้สร้างพิธีกรรม
ไม่ได้สอนให้สร้างมนต์ขลัง
ไม่ได้สอนให้สร้างบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์
ไม่ได้สอนให้ปลุกเสกไสยศาสตร์
ไม่ได้สอนให้เชื่ออิทธิปาฏิหาริย์
รูป คือ ภาพที่เรามองเห็น
เวทนา คือ ความรู้สึก
สัญญา คือ ความจำ
สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง
วิญญาณ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
กฎแห่งกรรมคือการกระทำ
action = reaction
จิตเกิดดับอยู่ทุกวินาที
ทุกอย่างล้วนเป็นสภาวะไตรลักษณ์
เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
เกิดแก่เจ็บตาย หมุนวนไปเป็นสสารอื่น
นี่แหละคือศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์
พุทธก็คือวิทยาศาสตร์ดีๆนี่เอง
แต่คนไทยเอาศาสนาพุทธ มายำ
จับมาผสมกับพราหมณ์ฮินดู
เกิดเป็นพิธีกรรม เน้นมนต์ขลังบรรยากาศ
กลายเป็นพิธีกรรมอุบาทว์
งมงาย บนบานศาลกล่าว 
ผีเจ้าเข้าทรง บูชาเทพเทวดา
กราบต้นไม้ ไหว้ผี บูชาเทพฮินดู 
ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะละทิ้งแล้วทั้งนั้น
บางคนเข้าใจว่าวิญญาณคือผี
เป็นความเข้าใจที่ผิดมั่วซั่วไปหมด
กลายเป็นความเลอะเทอะ เละตุ้มเป๊ะไปหมด
2
เอาสิ่งที่ขัดแย้งกัน มารวมกันเฉย
พุทธ พราหมณ์ ผี ฮินดู
มารวมกันหมด ซึ่งมันขัดแย้งกันในตัวเอง
1
ความเป็นพุทธไม่ได้สอนอย่างงมงาย
ไม่ได้สอนว่าจงเชื่อแบบไม่มีเหตุผล
สมมุติว่าถ้าเราเอาค้อนไปทุบศาลพระภูมิเล่น
มันก็ไม่มีผีตนใดมาหักคอเราหรอก
1
มันมีสถาบัน ในเมืองไทยนี่แหละ
ที่เอาศาสนามามิกซ์รวมกัน
เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้ตัวเอง
สร้างมนต์ขลังมอมเมาประชาชน
ว่าเป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้า เป็นสมมติเทพ
อ้างตัวว่าเป็นพระโพธิสัตว์
ไม่รู้ว่าสถาบันไหนมันทำนะ
1
โฆษณา