31 ธ.ค. 2021 เวลา 10:04 • หุ้น & เศรษฐกิจ
10 บทเรียนการลงทุนหุ้นต่างประเทศที่สำคัญปี 2021
ผมลงทุนในหุ้นอเมริกามา 7 ปีแล้ว ทุกๆสิ้นปีผมจะรวบรวมบทเรียนที่สำคัญแล้วสรุปมาแชร์ให้นักลงทุนได้เรียนรู้ไปด้วยกัน ผมขอสรุปประสบการณ์ทั้ง 10 ข้อดังนี้
ข้อแรกคือการจัดพอร์ตที่มีหุ้นตัวใหญ่ผสมอยู่ช่วยให้ผลตอบแทนไม่ติดลบได้ในปีที่ตลาดผันผวนมาก ยกตัวอย่างเช่นผมมีหุ้นเทคตัวใหญ่อย่าง Google Facebook Microsoft ซึ่งทั้งสามตัวคิดเป็นประมาณ 55% ของพอร์ต แต่ละตัวให้ผลตอบแทนมากกว่า 25% โดยเฉพาะ Google ที่มีสัดส่วนประมาณ 25% ของพอร์ตปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 67% ในปีนี้ แม้ว่าผมจะขาดทุนในหุ้นที่เติบโตสูงแต่ยังไม่มีกำไรเช่น CPNG และ Upstart ที่ขาดทุน 25-35% แต่พอร์ตโดยรวมยังบวกได้ 17% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมาที่เคยทำได้ 22% ต่อปี (ถ้าคิดรวมเงินจากที่ผมทำงานประจำใส่เงินเข้าไปด้วย พอร์ตจะโตถึง 41% ไม่รวมค่าเงินที่บวกมา 10% ในปีนี้)
ต้องยอมรับว่าการทดลองของผมในการลงทุนหุ้นตัวเล็กเป็นบทเรียนที่สำคัญ ผมรีบซื้อหุ้นบางตัวไปเลยทำให้เสียหายพอสมควร ผมหวังว่าหุ้นเหล่านี้จะดีมากในระยะยาวเลยถือหุ้นต่อ ผมคิดว่าการไม่มีหุ้นใหญ่ในพอร์ตเลย ลงทุนแต่หุ้นขนาดเล็กหรือพวกสตาร์อัพที่ธุรกิจยังไม่มีกำไร ต่อให้คุณกระจายไป 10 ตัวความผันผวนที่เกิดขึ้นในระยะสั้นจะมีสูงมาก ซึ่งบางครั้งถ้าเราเป็นคนที่มีจิตใจไม่มั่นคงเพียงพอ ก็อาจจะทำให้รีบขายหุ้นทิ้งขาดทุนได้
📌 สิ่งที่เรียนรู้: การจัดพอร์ตให้มีหุ้นตัวใหญ่ที่เป็นผู้ชนะเป็นแกนหลัก ส่วนหุ้นตัวเล็กที่คาดหวัง 10-100 เท่ามีได้เป็นส่วนน้อยน่าจะดีกว่า เพราะความผันผวนของหุ้นเล็กมากจริงๆ สำหรับมือใหม่ผมกังวลว่าจะขายหุ้นทิ้งกันหมดพอตลาดปรับฐานแรงๆ
ข้อที่สองคือการลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ๆที่ชนะแล้ว ใครบอกว่าจะทำให้เราร่ำรวยได้ยาก โอกาสน้อย แต่ผมมองว่ามันมีโอกาสเหมือนกันที่หุ้นขนาดใหญ่จะมีอนาคตโตได้อย่างมหาศาลเช่นหุ้น Google แม้ว่าทุกวันนี้จะมีมาร์เก็ตแคปถึง $1.94 ล้านล้านเข้าไปแล้ว แต่ด้วยอนาคตที่มีทั้ง YouTube Google Map ธุรกิจคลาวด์ ความล้ำหน้าในเอไออย่าง DeepMind และ ระบบขับขี่ด้วยตัวเอง Driveless Car อย่าง Waymo ไม่นับรวมธุรกิจที่ Google ลงทุนผ่าน Venture Capital อีกมากมายที่รอวันเติบโต ทำให้ยังสามารถคาดหวังผลตอบแทนอย่างน้อย 15-20% ต่อปีไปได้อีกนาน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นเสมอไปที่ต้องลงทุนในหุ้นตัวเล็กหรือขนาดกลาง ที่มีความเสี่ยงมากกว่าถึงจะได้กำไร 10 เด้ง การลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ที่ซื้อช่วงที่มีส่วนลดเยอะๆ ก็อาจจะทำให้ได้ผลตอบแทน 10 เด้งได้เหมือนกัน นอกจากมีข้อดีคือทำให้คุณสามารถนอนหลับฝันดีได้มากกว่าหุ้นตัวเล็ก
📌 สิ่งที่เรียนรู้: การถือหุ้นใหญ่ดีๆอย่าง Google Facebook Microsoft Amazon ถ้ายังมองว่ามีโอกาสการเติบโตไปได้อีกไกล สิ่งที่ทำได้ง่ายๆเลยคือถือมันไว้นานที่สุด ตราบใดที่ผลดำเนินงานยังดีอยู่
ข้อที่สามคือในช่วงต้นปีผมซื้อหุ้น Microsoft ไปที่ราคา $220 แต่รีบขายทิ้งไปที่ $240 เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวเล็กซึ่งสุดท้ายแล้วหุ้นตัวเล็กนั้นกลับสร้างผลตอบแทนสู้การถือหุ้น Microsoft ไว้จนจบปีไม่ได้เลย ตัวเล็กขาดทุน แต่หุ้น Microsoft ขึ้นมา 55% จากราคาที่ซื้อ
📌 สิ่งที่เรียนรู้: อย่าซื้อขายหุ้นเปลี่ยนตัวบ่อยเกินไป ถ้าเราเชื่อมั่นว่าหุ้นตัวนั้นดีแล้วก็อย่าวอกแวกไปสนใจหุ้นตัวอื่นที่เร้าใจกว่า เพราะสุดท้ายเราอาจจะขายดอกไม้ไปซื้อวัชพืชแทน
1
ข้อที่สี่คือหุ้นจีนเจ็บแล้วเจ็บอีก รัฐบาลเล่นไม่เลิก ต้องบอกว่าผมก็มองผิด ไม่คิดว่ารัฐบาลจีนจะจัดระเบียบบริษัทเทคฯจีนหนักขนาดนี้ หุ้นขวัญใจของคนไทยอย่าง Alibaba คิดว่าราคาถูกแล้วก็ยังถูกได้อีก ผมเริ่มหยุดช้อนหุ้นไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมช่วงราคา $180 เพราะมองภาพอนาคตของหุ้นไม่ชัดเจน รัฐจะจัดระเบียบจบเมื่อไหร่ เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ใต้พรมที่มองไม่เห็น ผมโชคดีที่ลงทุนแค่ 3% ของพอร์ตเลยไม่เจ็บมาก แต่ RMF กองหุ้นจีนที่ซื้อไว้ก็ติดลบไป 20% กว่าๆเลยทีเดียว
นอกจากนี้หุ้นจีนยังมีความเสี่ยงในการเข้าใจธุรกิจ เนื่องจากเราไม่เคยใช้งานสินค้าและบริการจริงๆ ไม่รู้ว่าบริษัททำอย่างไรจึงทำให้ธุรกิจเติบโตได้เยอะๆ บางครั้งใช้กลยุทธ์ที่ไม่ถูกกฎหมายในการขับเคลื่อนธุรกิจ หุ้นติวเตอร์ออนไลน์ในจีนซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตสูงมาก มีคนพูดถึงหลายคนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่น่าเชื่อว่าหุ้นจะปรับตัวลดลงมา 80-90% พอทางการจีนเข้ามาออกกฎหมายควบคุม เราถึงรู้ว่ามันมีกลยุทธ์ในการลดราคาที่หลอกลวงลูกค้าคือตั้งราคาสูงเกินจริงเพื่อให้ส่วนลดเยอะๆ ดึงดูดให้ผู้ปกครองจ่ายเงินเข้ามาเรียน หรือการโฆษณาเกินจริงว่าเด็กที่มาเรียนแล้วสามารถสอบเข้ามหาลัยต่างๆได้
📌 สิ่งที่เรียนรู้: นักลงทุนต้องอย่าลืมพิจารณาความเสี่ยงจากการแทรกแซงของรัฐบาล เพราะเหมือนเป็นจุดตายของธุรกิจอย่างหนึ่ง การโดนคู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาด นักลงทุนยังมีโอกาสเห็นหุ้นปรับตัวค่อยๆลดลง แต่การที่รัฐบาลเข้ามาปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์สร้างผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมาก การลงทุนในหุ้นต่างประเทศจะต้องให้น้ำหนักความเสี่ยงด้านนี้ไว้ต้นๆเลยทีเดียว
ข้อที่ห้าคือการหาหุ้นในอุตสาหกรรมที่ตัวเองทำงานอยู่ก็เป็นการสร้างความได้เปรียบในการค้นหาหุ้นเจอก่อนคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น ผมทำงานในอุตสาหกรรมไอทีและได้มีโอกาสขายโซลูชั่นของ Confluent ที่เป็นโบรกเกอร์จัดการข้อมูลแบบสตีมมิ่งในองค์กร ในช่วงที่ขายสินค้าผมก็ได้มีโอกาสคุยกับเซลล์ของ Confluent จึงได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน ผลตอบแทนในการลงทุนดีมากๆเพราะได้กำไรเกือบ 30% ในปีนี้ (เคยขึ้นไปถึง 50%) ทั้งที่เพิ่งลงทุนมา 3 เดือนเท่านั้น
📌 สิ่งที่เรียนรู้: เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับนักลงทุนว่าจะหาหุ้นเด้งในตลาดต่างประเทศได้อย่างไร ผมขอแนะนำให้พวกเราหาหุ้นรอบตัวเราที่ใช้ในชีวิตประจำวันและในการทำงาน เพราะเป็นหุ้นที่เรามีโอกาสได้สัมผัสและเข้าใจในธุรกิจมากกว่าตัวอื่นๆ เราอาจจะเจอหุ้นตัวนี้ก่อนนักลงทุนท่านอื่น ซึ่งสร้างความได้เปรียบให้เราอย่างมาก
ข้อที่หกคือการลงทุนในหุ้นสตาร์ทอัพมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงเมื่อบริษัทยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจจะมีความผันผวนสูง จึงสะท้อนมาราคาหุ้นที่สามารถปรับขึ้นในหนี่งวันมากกว่า 10% ผมเคยลงทุนในหุ้น Airbnb ซึ่งตอนก่อนเข้านอนยัง +8% แต่เชื่อหรือไม่ว่าเพราะตื่นมาตอนเช้าหุ้นกับติดลบ 6% เพราะฉะนั้นการลงทุนในหุ้นแบบสตาร์ทอัพ คุณจะต้องเข้าใจธุรกิจดี มองอนาคตออก และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือราคาที่คุณเข้าซื้อ ผมมีประสบการณ์มาแล้วอย่างหุ้น Affirm ที่ซื้อมาในราคาที่สูงมากเกินไปที่ $108 แล้วหุ้นก็ลดลงไปต่ำกว่า $50 ภายในไม่กี่เดือน แม้ว่าตอนนี้จะปรับตัวขึ้นมาที่ราคา $104 แล้วก็ตาม
📌 สิ่งที่เรียนรู้: การลงทุนในหุ้นแบบสตาร์ทอัพที่ยังไม่มีกำไร มีแต่การเติบโตรายได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าประมาณ 70% ต้องมาจากการที่เรามองธุรกิจให้ออกว่าจะเป็นผู้ชนะหรือเปล่าในอนาคต อีก 30% คือราคาเข้าซื้อ ซึ่งบางท่านคิดว่าไม่สำคัญเท่าไหร่ หุ้นดีซื้อที่ราคาไหนก็ได้เพราะเราจะถือไว้นานๆ สิ่งที่ผมเรียนรู้คือถ้าเราซื้อได้ด้วยราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมมากๆ มีส่วนเผื่อความปลอดภัย มันจะช่วยให้เราสามารถถือหุ้นตัวนั้นได้นาน ยกเว้นคุณจะซื้อแล้วปิดเครื่องคอมไปเลย 10 ปีค่อยมาดูหุ้นอีกครั้ง ซึ่งผมไม่แนะนำให้ทำแบบนี้ นักลงทุนต้องติดตามธุรกิจอย่างน้อยทุกๆไตรมาส
ข้อที่เจ็ดคือหุ้นอเมริกามีประสิทธิภาพในช่วงวันประกาศผลประกอบการณ์มาก หุ้น Docusign ผลงานไตรมาสที่ประกาศออกมาดีตามคาด แต่การคาดการณ์ในไตรมาสหน้าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ หุ้นปรับตัวลงทันที 40% หรือหุ้นติวเตอร์ออนไลน์ที่โดนรัฐบาลแทรกแซงอย่าง TAL Education ก็มีราคาปรับลดลงเกือบ 80% ในวันเดียว
ในทางตรงกันข้ามหุ้น Upstart การเติบโตระเบิดดีกว่าคาดมาก หุ้นขึ้นหลังประกาศผลดำเนินงาน 80% ในวันเดียว เพราะฉะนั้นนักลงทุนในตลาดอเมริกาจะต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งถ้าจะลงทุนในหุ้นขนาดกลาง (มูลค่าตลาดต่ำกว่า $50,000 ล้าน) ไม่อย่างนั้นแล้วผมแนะนำให้ลงทุนหุ้นเทคฯตัวใหญ่หรือหุ้นกลุ่มอื่นที่มีความผันผวนน้อยกว่า
📌 สิ่งที่เรียนรู้: หุ้นอเมริกาตัวเล็กผันผวนแรงมาก ถ้าเลือกหุ้นผิดตัว มีโอกาสเสียหายเยอะมากในระยะเวลาสั้นๆไม่ถึงปี คิดแล้วเหมือนนั่งรถไฟเหาะ ทั้งเสียว ปวดท้องเกร็ง และน้ำตาไหล
ข้อที่แปดคือเทคนิคในการลงทุนหุ้นให้ได้หลายเด้งคือซื้อหุ้นที่แข็งแกร่งตอนเกิดวิกฤต เช่นผมซื้อหุ้น Google ตอนปี 2015 ราคา $530 พีอี 25 เท่า ช่วงที่นักลงทุนไม่ค่อนสนใจเพราะคิดว่าธุรกิจ Search อิ่มตัวแล้ว ไม่มีธุรกิจใหม่ๆที่เติบโตมีอนาคต ซื้อหุ้น Facebook ตอนปี 2018 ช่วงที่เกิดวิกฤต Cambridge Analytic ราคาหุ้นไหลลงจาก $200 เหลือ $130 กว่า ผมซื้อไปตอน $142 และช่วงโควิดหุ้น Starbuck, Ulta, Booking, Berkshire, Disney, Ross ราคาถูกมาก พื้นฐานดี รอดวิกฤตแน่ๆ
อย่างไรก็ตามผมก็มีข้อผิดพลาด ยังไม่ได้ตามเป้าคือการลงทุนหุ้น Alibaba ที่คิดว่าราคาถูกแล้ว พื้นฐานหุ้นดีมาก แต่โดนปัจจัยที่เกินคาดหมายจากรัฐบาลเข้ามากระทบและหุ้น Upstart แม้ว่าจะซื้อตอนที่หุ้นปรับตัวลงมาจากราคา $400 มาที่ $250 แล้วก็ตาม ผมกลับเจอจังหวะที่เฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า เลยทำให้หุ้นไหลลงมา $150 ในปัจจุบัน
1
📌 สิ่งที่เรียนรู้: หุ้นตัวเล็กหรือหุ้นที่โดนการเมืองแทรกแซง เราคิดว่าช้อนซื้อที่ราคาต่ำแล้ว แต่คลื่นข่าวร้ายมันได้กระทบหุ้นพวกนี้แรงมาก บางตัวราคาลงไปจากจุดสูงสุดในระยะเวลา 1-2 เดือนมากกว่า 50% ก็มี
ข้อที่เก้าคือหุ้นที่เคยได้รับแรงหนุนขึ้นมาเยอะๆช่วงโควิดปีที่แล้ว พอปีนี้เริ่มเปิดเมือง ทำให้หุ้นติดลบกันถ้วนหน้า ได้แก่
Square (Block) ปีนี้ปรับตัวลดลงไป 37% , Peloton ลงไป 75.5%, Zoom ลงไป 40%, Docusign ลงไป 30%
📌 สิ่งที่เรียนรู้: หุ้นดีที่ได้ปัจจัยบวกเกื้อหนุนในระยะสั้นมากๆ บางครั้งก็กลายเป็นหุ้นวัฎจักรได้เหมือนกัน เมื่อคนเข้าไปซื้อกันเยอะๆโดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ต้นปีเพราะคิดว่ามันจะดีอย่างต่อเนื่อง หรือซื้อตามนักลงทุนคนอื่นๆที่เข้าไปก่อนหน้านั้นว่าหุ้นดีอย่างโน้นอย่างนี้ สุดท้ายแล้วพอปัจจัยบวกชั่วคราวหายไป เงินที่แจกจากรัฐบาลหมดไป เริ่มเปิดเมือง คนกลับมาใช้ชีวิตออกกำลังกายข้างนอกบ้านกันมากขึ้น หุ้นเหล่านี้ก็วิ่งกลับเข้ามาที่พื้นฐานจริงของบริษัท ต้องอย่าลืมว่าไม่มีหุ้นตัวไหนในโลกที่จะขึ้นได้ปีละ 3-5 เท่าทุกปีหรอก ธุรกิจทั่วๆไปเติบโตปีละ 20-25% ก็ดีมากแล้ว
ข้อที่สิบคือการหามูลค่าหุ้น ผมลองมาหมดไม่ว่าจะเป็น Price Per Sales(P/S), Price Per Sales Per Growth(P/S/G) หรือการหาแบบพีอีโดยประเมินรายได้ไป 10 ปีข้างหน้าแล้วคิดหากำไรสุทธิ หลังจากนั้นคิดหามูลค่าปัจจุบันจากสูตร Present Value สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือการใช้ P/S หรือ (P/S/G) ช่วยเราได้แค่การเปรียบเทียบความถูกแพงของราคาหุ้นกับบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่ไม่สามารถช่วยเราหามูลค่าที่เหมาะสมได้ การใช้พีอีกับส่วนเผื่อความปลอดภัย 30% ช่วยให้ลดความเสี่ยงในการติดดอยได้เป็นอย่างดี
📌 สิ่งที่เรียนรู้: การหามูลค่าหุ้นทุกวิธีควรจะต้องมีการใช้ส่วนเผื่อความปลอดภัยด้วยทุกครั้ง ยิ่งในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น เราอาจจะต้องเผื่อเยอะกว่าปกติเพื่อป้องกันการขาดทุน ผมเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ยังไม่มีใครค้นหาสูตรตายตัวได้ เพราะฉะนั้นลงทุนด้วยความระมัดระวังมากๆดีกว่า
สุดท้ายนี้ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเหมือนเราได้เรียนในมหาวิทยาลัยคณะธุรกิจชั้นนำในอเมริกา ผมได้เรียนรู้โมเดลธุรกิจใหม่ๆที่ยากและซับซ้อน น่าติดตาม ทั้งธุรกิจแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช ส่งอาหาร โมเดล SaaS ฟินเทคและอื่นๆอีกมากมาย ผมเชื่อว่าความรู้ในธุรกิจของอเมริกาจะสามารถไปใช้เป็นข้อมูลเริ่มต้นในการศึกษาหุ้นในทุกประเทศทั่วโลกได้เพราะอเมริกาเป็นศูนย์กลางอันดับหนึ่งในเรื่องโมเดลธุรกิจ
นอกจากนี้ผมยังได้เรียนรู้อีกมากมายจากกลุ่มนักลงทุนวีไอ ผมรู้เลยว่ายังมีความรู้น้อยกว่านักลงทุนเก่งๆหลายๆท่าน แม้ว่าบางท่านเพิ่งมาลงทุนในอเมริกาแค่ 2-3 ปี แต่อ่านหนังสือมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน รู้รายละเอียดในหุ้นหลายๆตัวมากกว่าผมเยอะ
ผมเลยต้องทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วเพื่อที่จะศึกษาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลาทั้งเชิงลึกและเชิงกว้างมากขึ้น
สุขสันต์ปีใหม่ 2022 ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ 🥳🥳🥳
โฆษณา