1 ม.ค. 2022 เวลา 05:06 • คริปโทเคอร์เรนซี
อย่างที่ทุกๆคนรู้กันเวลาคริปโตมันวิ่งขึ้นเนี่ยมันมักจะวิ่งขึ้นกันเป็น Theme ขอแค่ซื้อถูกธีมที่จะเป็นสิ่งที่ตลาดให้ความสนใจในอนาคต ก็สามารถได้ผลตอบแทนมหาศาลในโลกคริปโต อย่างเช่นธีม DeFi, Metaverse หรืออย่าง Layer 1 ที่มัน Perform ได้ดีมากในปี 2021
เพราะฉนั้นจากข้อมูลที่ผมมีในมือ ผมจึงสรุปออกมาเป็น 3 ธีมการลงทุนคริปโตที่น่าจับตามองในปี 2022
#1 NFT Game
เพื่อให้เห็นภาพเนี่ย Landscape ของอุตสาหกรรม GameFi ก็จะมีตั้งแต่
1.) Studio ที่ผลิตเกม
2.) Blockchain ที่ตัวเกมใช้ทั้งที่เป็น Layer 1 อย่าง Ethereum Solana หรือ Flow หรือจะเป็น Scaling solution (Layer 2 และ Sidechains) อย่าง Immutable X Polygon หรือ Optimism
3.) Marketplace ที่ใช้ในการซื้อขาย NFT ซื้อขายไอเท็มระหว่างผู้เล่น และ
4.) เครื่องมือต่างๆสำหรับตัวผู้พัฒนาเกมอย่าง Enjin Forte หรือ สำหรับตัวผู้เล่นอย่าง Yield Guild Game หรือ GuildFi โปรเจ็คของไทยเรา
NFT Game Ecosystem
เหตุผลที่ทำให้คิดว่า NFT Gaming จะมาเนี่ยก็เป็นเพราะ Game Studio กับ Infrastructure ของ NFT Game Raise Fund กันไปมหาศาล ไม่ว่าจะจาก a16z, Coinbase, FTX รวมถึง Softbank ด้วย
GameFi comp / Investors
จะเห็นได้ว่าอย่าง Dapper Labs เนี่ย Raise Fund ไปได้ถึง $607 ล้าน ทำให้มูลค่าบริษัทเกินคำว่า Unicorn ไปหลายขุม เกือบเป็น “Decacorn” ไปแล้ว
Decacorn (บริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์
แล้วในปี 2021 เนี่ย Sector ของ NFT Game ก็ได้รับเงินทุนจาก VCs ไปแทบจะมากที่สุดแล้ว (รวมๆแล้วประมาณ $5,000 ล้าน)
NFT Game เป็น Sector ที่ได้เงินทุนไปเป็นอันดับต้นๆ
Illuvium เกม Play-to-Earn แนว Pokemon
#2 Layer 2 Scaling Solution
คืออะไรแบบสั้นๆ: เป็นวิธีที่ทำให้ Blockchain สามารถ Scale ได้ (รองรับธุรกรรมได้มากขึ้นและค่าธรรมเนียมถูกลง) โดยไม่สูญเสียความ Decentralized และความั่นคงของระบบ (หรือสูญเสียให้น้อยที่สุด) ซึ่ง Solution ที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือ Sidechain กับ roll-up
Layer 2 Scaling Solution on Ethereum
# Sidechain
Blockchain ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ทำงานร่วมกับ Ethererum Dapp ได้ เช่น Polygon หรือเพื่อจุดประสงค์บางอย่างเท่านั้น เช่น Ronin ก็ทำขึ้นมาเพื่อบันทึกธุรกรรมของเกม Axie โดยเฉพาะ
จุดเด่นคือทำธุรกรรมเร็วและสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยทีมผู้ดูแลเลย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความ Centralization
อย่าง Polygon Matic เขามีระบบ Proof of Stake ของตัวเอง ไม่ได้ใช้ของ Ethereum ทำให้มันมีโอกาสมากกว่าในการโดน 51% attack เมื่อเทียบกับอีก Solution นึงอย่าง Roll-up
Polygon Staking
# Rollup
วิธีการของ Roll-up คือการมัด txn เอาไว้หลายๆ txn แล้วส่งไปบันทึกลง Ethereum ทีเดียว ทำให้สามารถรองรับธุรกรรมได้ถึง 2,000-4,000 tps แต่จะยังใช้ระบบความปลอดภัยของ Ethereum ซึ่งเป็น Layer 1 อยู่ทำให้ปลอดภัยกว่า Side chain
เหตุผลที่คิดว่า Rollups น่าสนใจ ก็เพราะถ้า Ethereum 2.0 เสร็จ Rollups จะมี Synergy (ทำงานร่วมกันแล้วได้ประโยชน์มากกว่า) กับ ตัว Ethereum 2.0 ด้วย ซึ่งจะสามารถผลัก TPS ไปได้ถึง 100,000 TPS เลย
แล้วก็ Community ของ Ethereum เหมือนจะยอมรับ Way นี้ เพราะ Vitalik ยังออกมาบอกเลยว่า Road map ของ Ethereum จะเป็นแบบ Rollup-centric roadmap
Rollup-centric roadmap https://ethereum-magicians.org/t/a-rollup-centric-ethereum-roadmap/4698
Rollups ตอนนี้แบ่งเป็น 2 ค่ายหลักๆ
1. Optimistic Rollups (EVM — ก๊อปโค้ดของ Dapps จาก L1 ขึ้นมา L2 ได้เลย)
2. ZK-Rollups (ซึ่งตอนนี้ยังเป็น Non-EVM — ต้องเขียน Smart Contract ของ Dapps ใหม่)
- ซึ่งถ้า Solution ไหนที่เป็น EVM นักพัฒนาเขาก็สามารถเอา Dapps ที่เปิดอยู่แล้วใน L1 ขึ้นมาอยู่บน L2 ได้เลย คือถ้าไม่ใช่ EVM dev จะต้องมานั่งเขียนโค้ดใหม่หมด (เป็น Barrier to entry)
ข้อดี/ข้อเสีย EVM,Non-EVM
ตอนนี้ 2 Project เด่นๆของ Optimistic Roll-ups คือ Arbitrium กับ Optimism แต่เขายังไม่มีเหรียญให้นักลงทุนอย่างเราๆได้เข้าไปจับจองกันแต่ก็อย่าลืมเข้าไปลองใช้งาน 2 Network นี้นะครับ เผื่อเขาจะแจก Airdrop ให้กับคนที่เป็น Early Adopter ที่เข้าใจใช้งานโปรเจ็คเขาตั้งแต่เนิ่นๆ
ตัวที่ใช้ ZK-Rollups ก็อย่างเช่น DeFi protocol อย่าง Loopring หรือจะเป็น Blockchain Layer 2 อย่าง Immutable X ที่เปิดให้เราซื้อ-ขาย NFTs กันแบบไม่ต้องเสียค่า Gas
ในมุมนักลงทุนเนี่ยตัวที่จะได้ผลประโยชน์ก็มีตั้งแต่ตัวฐานของมันอย่าง
1.) Ethereum เพราะ Layer 2 อย่าง Arbitrium และ Optimism ก็ยังใช้ Eth ในการจ่ายค่า Gas อยู่
Optimism/Arbitrum
2.) Application layer อย่าง Uniswap หรือ Sushi swap ที่พอขึ้นไปอยู่ Layer 2 แล้วทำให้การเข้าถึง Protocol พวกนี้มันง่ายขึ้นไปอีกในมุมผู้ใช้งาน ทำให้ตัว Protocol เก็บ Fee ได้มากขึ้น
Sushi Swap x Arbitrum
3.) หรือว่าจะเป็นโปรเจ็ค Layer 2 เลยอย่าง Loopring ที่เป็น DeFi Protocol และ Immutable X ที่เป็น Blockchain สำหรับ NFTs marketplace ก็น่าจะเติบโตไปเกับ Trend นี้ได้เช่นกัน
#3 Web 3.0 Infrastructure
Web 3.0 ที่อยู่ระหว่าง a กับ z ครับ 😂😂
Web 3.0 คืออะไร?
- Web 3.0 ก็คือสิ่งที่มันพัฒนามาแก้ปัญหาของ Web 2.0 นั่นแหละ ซึ่งปัญหาของ Web 2.0 หลักๆก็คือ การที่เราต้องเชื่อใจตัวกลาง เช่นพวกบริษัทเทคทั้งหลายที่เป็นเจ้าของข้อมูลของเราและเขาสามารถเตะเราออกจาก Platform เขาเมื่อไหร่ก็ได้
- อย่าง Web 2.0 เนี่ย มันเป็นยุคของข้อมูลเพราะฉนั้น Infrastructure ที่สำคัญก็คือ Cloud ในการเก็บข้อมูล หรือพวก Software ในการบริหารข้อมูลบริหาร Database
- ส่วน Web 3.0 ผมมองว่ามันก็จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 4 อย่าง
1.) Decentralized cloud network
โปรเจ็คที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่:
- Storj
- Filecoin
- หรือ Arweave ที่ใช้เก็บข้อมูลรายละเอียด NFTs
ที่ให้สามารถปล่อยเช่าพื้นที่ที่เหลือบน Hardware ของเราไปรันในระบบได้ แล้วก็จะได้เหรียญกลับไป เป็นเหมือน AWS ที่ Decentralized ลดความเสี่ยงของการถูกแฮคข้อมูลและในเรื่องของการเป็นจุดตายจุดเดียวของ AWS นั่นเอง
"A Single Point of Failure" Risk
2.) Data management
โปรเจ็คที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่
- The Graph — อย่าง The Graph ที่เป็น protocol เกี่ยวกับเรื่องของการดึงข้อมูลบน Blockchain อย่าง Ethereum เพื่อไปใช้ประโยชน์ เช่น Project Decentraland ที่ใช้ The Graph ทำให้ user สามารถ Search หา NFTs บน Marketplace ได้
Decentraland ใช้งาน The Graph
- รวมถึงตัว Oracle อย่าง Chainlink หรือ Band ที่จะทำหน้าที่ Feed ข้อมูลจากโลกจริงเข้ามาบน Blockchain เช่น บาง Dapps อาจจะต้องการข้อมูลบางอย่างของ User เพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งตัวกลางที่จะมาเชื่อมข้อมูลของเรากับ app ก็คือ oracle
How Oracle works
- หรือว่าจะเป็น Ocean Protocol — เปลี่ยนข้อมูลให้กลายเป็น Token ที่สามารถซื้อ-ขายกันได้ ทำให้นักพัฒนาสามารถมาซื้อข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำ Web 3.0 โปรเจคของตัวเอง
3.) Identity / Wallet management
- ENS — Ethereum Name Services — ที่จะเปลี่ยนจาก Wallet Address ของเรายาวๆเป็นชื่อที่เราตั้งเอง ทำให้การรับส่งคริปโตมันง่ายเหมือนกับการส่ง Email หากันเลย!
- Torus — ทำให้เราไม่ต้องเก็บ Private key ไว้กับตัวแต่ใช้ Biometrics, Social media account ในการเข้าถึง Wallet ทำให้ประสบการณ์ในการใช้งาน Crypto wallet มันง่ายแล้วก็ราบลื่นที่สุด
- Ready player me — ให้ user อย่างเราๆสร้าง Avatar ของเราเองเพื่อเอาไปใช้ใน Dapps, games หรือ Metaverse platform
Ethereum Domain Name
4.) Interoperability
ตัวอย่าง Use Case ของการทำงานร่วมกันของ Blockchain ก็เช่น โปรเจ็ครองเท้า NFT อย่าง "GENESIS CURRY FLOW" ที่ Under Armour ทำกับ Stephen Curry สามารถเอาไปใส่ได้ในทั้ง Decentraland, The Sandbox, Gala Games (ยังอยู่ใน Chain เดียวกัน) แต่เดี๋ยวเราน่าจะได้เห็น NFTs ที่มันสามารถเอาไปใช้กันใน Chain อื่นได้
สามารถเอาไปใส่ได้ในทั้ง Decentraland, The Sandbox, Gala Games
- Anyswap หรือ Wormhole — เป็นเหมือนกับ Bridge aggregator ที่ให้เราสามารถโอนเหรียญข้าม Chain ได้ในที่เดียว
- ผมมองว่าพวก Infrastructure พวกนี้มันจะต้องเกิดก่อนที่ Web 3.0 application อย่างพวก Decentralized Social media, Decentralized Streaming หรือ Metaverse จะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับ User และเข้าถึงสู่คนหมู่มากได้นั่นเอง
#Disclaimer: นี่ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนใดๆ เหรียญและโปรเจ็คที่ผมพูดถึงในคลิปไม่ได้แปลว่าผมถือหรือเป็นเหรียญที่ผมติดตามอยู่ทุกตัวนะครับ ใช้ยกตัวอย่งให้เห็นภาพ เห็น Use case เท่านั้น
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ สวัสดีปีใหม่ 2022 ครับผม!
โฆษณา