ทีมชาติไทย คว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพได้สำเร็จ ตามความคาดหมาย กับการโชว์สกิลการแก้เกมอันเหนือชั้นของมาโน่ โพลกิ้ง คำว่า "เหนือชั้น" คืออะไร เราจะอธิบายให้เห็นภาพอย่างเข้าใจง่าย
เอาจริงๆ ก่อนเกมเริ่ม แชมป์อยู่ในมือไทยอยู่แล้ว เพราะสกอร์ในเกมแรก ห่างกันมากเกินไป มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่อินโดนีเซียจะยิงรัว 4 เม็ดกลับมาตีเสมอเราได้
สาเหตุเพราะตั้งแต่ก่อตั้งรายการชิงแชมป์อาเซียน อินโดนีเซียเจอไทยมาเป็นสิบครั้ง แต่ไม่มีเลยสักครั้งเดียวที่ยิงเราได้ถึง 4 ลูก ดังนั้นคงไม่มาแจ๊กพอตแตกเอาในเกมนี้หรอก
นอกจากนั้น ในประวัติศาสตร์ของซูซูกิคัพ ทีมไหนก็ตามชนะนัดชิงในเลกแรกห่างเกิน 2 ลูก ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่จะพลิกกลับมาเสียแชมป์ได้ ถ้าอ้างอิงจากสถิตินี้ ไทยก็ไม่ควรพลาดการได้แชมป์เช่นกัน
ทางฝั่งอินโดนีเซียเองก็ทราบดี ถึงช่องว่างสกอร์นี้ ดังนั้นชิน แต-ยัง เฮดโค้ชของอินโดฯ จึงให้สัมภาษณ์แต่แรกเลยว่า ไม่ได้คาดหวังจะยิงคืนได้ 4 ลูก แต่อย่างน้อยก็อยากชนะให้ได้ในเลกที่ 2 ก็ยังดี
ถามว่าไทยจำเป็นต้องชนะเกมนี้ไหม คำตอบคือ ถ้าชนะก็ดี เพราะจะได้คะแนนฟีฟ่าเพิ่ม แต่ไม่ชนะก็ไม่เป็นไรแค่ประคองสกอร์ให้จบทัวร์นาเมนต์อย่างมืออาชีพก็พอแล้ว เพราะเป้าหมายคือการเป็นแชมป์นั้นสำคัญกว่ามาก
อินโดนีเซียเองก็วางแผนมาดี ในครึ่งแรกใช้การโจมตีสองแบบ คือวางบอลออกไปฝั่งขวาของไทย เพื่อป่วนปวีร์ ตัณฑะเตมีย์ ที่เป็นกองหลังตัวใหญ่ แต่ความเร็วน้อย กับอีกวิธีคือลูกทุ่มไกลที่ยัดเข้าไปทีไรก็ทำเอาศิวรักษ์ต้องเหนื่อยใจเสมอ
อินโดนีเซียนำในครึ่งแรก 1-0 นอกจากนั้นยังครองเกมได้ดีกว่า กดดันไทยหลายครั้ง เป็นเกมที่น่าอึดอัดมาก ดังนั้นมาโน่ โพลกิ้ง จึงปล่อยไว้ไม่ได้ต้องแก้เกมทันทีด้วยการเปลี่ยน 3 คนรวดในช่วงพักครึ่ง
ที่น่าสนใจคือ เป็นการแก้เกมที่ถูกต้องทั้งหมด
คนแรกคือส่งวีระเทพ ป้อมพันธุ์ ลงมาแทนปวีร์ คือถ้าเจอกองหน้าร่างใหญ่ ปวีร์รับมือได้สบาย แต่พอเจอตัวจี๊ดๆ เร็วๆ ปวีร์ตามไม่ทัน ดังนั้นต้องใช้วีระเทพ ที่มีความเร็วมากกว่า มายืนคู่กับกฤษฎา เพื่อลดความอันตรายในเกมภาคพื้น
และพอเล่นไป ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เกมรุกของอินโดนีเซียหายไปเลยในครึ่งหลัง ไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกเลย
นอกจากนั้น ปวีร์เป็นเซ็นเตอร์แบ็กแบบ Classic Defender คือแข็งแรง ตัวใหญ่ เราจะเห็นจังหวะที่เขาใช้พลังอัดกองหลังอินโดนีเซียร่วงไป แต่จุดอ่อนคือ ปวีร์ไม่สามารถต่อเกมกับกองกลางได้ เมื่อเป็นแบบนั้น ไทยจึงมีเปอร์เซ็นต์ Possession เป็นรองอินโดฯ ในครึ่งแรก
วีระเทพเป็นกองกลางอาชีพ และเป็นผู้เล่นที่จ่ายบอลเข้าเป้ามากที่สุดในไทยลีกฤดูกาลนี้ ดังนั้นจึงสามารถเป็นกองหลังประเภท Ball Playing Defender เล่นบอลบนพื้นได้ดีอยู่แล้ว
ครึ่งแรกไทยครองบอลน้อยกว่าอินโดนีเซียเยอะ แต่พอครึ่งหลังปั๊บเกมเปลี่ยนไปคนละเรื่อง ไทยครองบอลได้เยอะมาก มีอยู่ช่วงหนึ่งต่อบอลกันนานมากกว่า 1 นาที โดยที่อินโดนีเซียแย่งบอลไม่ได้เลย
คนที่สองคือการถอดเอาธีรศิลป์ แดงดา ที่เล่นไม่เข้าฟอร์มออก ซึ่งถือว่าเป็นหมากที่ใจเด็ดมาก เพราะธีรศิลป์ลุ้นทั้งดาวซัลโว ทั้ง MVP อยู่แท้ๆ แต่เมื่อมาโน่เห็นแล้วว่า เล่นไม่ดี ได้ยิงถึง 4 ครั้ง แต่ไม่ตรงกรอบเลย ทำให้ถอดออกแล้วส่งอดิศักดิ์ ไกรษรลงแทน
ผลลัพธ์คือ เมื่ออดิศักดิ์ลงเขายิงประตูได้ทันทีตั้งแต่การซัดครั้งแรก ในทัวร์นาเมนต์นี้ อดิศักดิ์อาจจะมีโอกาสน้อยมาก แต่เมื่อได้โอกาสเขาใช้มันได้ทันที และช่วยไทยตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จ
อดิศักดิ์เองเป็นดาวซัลโวของซูซูกิคัพ เมื่อครั้งที่แล้วที่จำนวน 8 ประตู แต่ในทัวร์นาเมนต์นี้นี่คือลูกแรกของเขา
คือเรารู้ว่าธีรศิลป์เองก็ไม่บ่นอะไรหรอก เขาเป็นมืออาชีพมากพอ แต่เชื่อว่า ไม่ใช่โค้ชทุกคนหรอก จะกล้าถอดกองหน้าเบอร์ 1 ที่กำลังลุ้นดาวซัลโวออกทันทีหลังจบครึ่งแรก
คนที่สามคือส่งพิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล ที่เป็นกองกลางตัวรับจริงๆ ลงมาแทนธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร จริงๆ ธนวัฒน์ไม่ได้เล่นแย่ แต่พอคู่กลางตอนต้นเกมเป็น สารัช-ธนวัฒน์ มันกลายเป็นว่ายืนกั๊กๆ กัน ไม่รู้ว่าใครจะบุก ใครจะรับกันแน่ สุดท้ายสารัชเลยบทบาทหายไปเยอะในครึ่งแรก
พอเปลี่ยนตัวปั๊บก็เห็นผล เมื่อเมื่อพิธิวัตต์เล่นเกมรับเต็มๆ สารัชจึงเติมไปบุกได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ประตู 2-1 ก็ได้มาจากการเติมขึ้นที่ถูกจังหวะของสารัชนี่ล่ะ
มาโน่เปลี่ยน หน้า-กลาง-หลัง และได้ผลดีทั้ง 3 ส่วน ถือเป็นการแก้เกมที่ดีเยี่ยมจริงๆ มันพลิกให้เราได้เปรียบ ทั้งรูปเกม และสกอร์
สุดท้ายเมื่อสกอร์นำ 2-1 เกมก็จบลงเรียบร้อย อินโดนีเซียถอดใจแล้ว สกอร์รวม 6-1 มันกว้างมากเกินไปที่จะทำอะไรได้ อินโดฯ ผ่อนเกม เช่นเดียวกับไทยที่ผ่อนเกมไปพร้อมๆกัน
อินโดฯ ตีเสมอเป็น 2-2 สกอร์รวมก็ยัง 6-2 ยังไงก็ไม่มีวันไล่ทันอยู่ดี
ไฮไลท์สำคัญในช่วงท้ายที่ทุกคนจับตามอง คือเจนภพ โพธิ์ขี นักเตะคนสุดท้ายที่ยังไม่ถูกส่งลงเล่น จะได้ลงหรือไม่ เพราะไทยใช้โควต้าคนที่ 4 ไปแล้วกับฟิลิป โรลเลอร์ เหลือโควต้าสุดท้ายคนที่ 5 เท่านั้น และสุดท้ายนาทีที่ 84 มาโน่ โพลกิ้ง ก็ตัดสินใจส่งเจนภพลงจริงๆ
นั่นแปลว่ามาโน่ โพลกิ้ง เป็นโค้ชคนแรกของโลก ที่ทำทีมคว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์ด้วยการใช้นักเตะถึง 29 คน! ใช้ทั้งทีม whole squad อย่างแท้จริง
แน่นอนว่า น่าดีใจแทนผู้เล่นทุกคน ที่ได้มีส่วนร่วมกับการเป็นแชมเปี้ยนครั้งนี้ คนละนิดคนละหน่อย ช่วยกันคนละไม้คนละมือสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้
จริงๆแล้ว ถ้าโจนาธาร เข็มดี ยังอยู่ ไม่ออกจาก squad ไป เขาก็คงได้รับโอกาสด้วยเช่นเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นการพลาดประสบการณ์ที่น่าเสียดายสำหรับโจนาธาร แต่ไม่เป็นไร อนาคตโจนาธารก็อาจมีโอกาสอีกครั้ง
สุดท้ายจบเกมการแข่งขันไทยเสมอไป 2-2 ไทยชนะด้วยสกอร์รวม 6-2 แน่นอนเราได้แชมป์อย่างไม่มีปัญหาอะไร ปิดจ๊อบได้อย่างสวยงามมากๆ
อย่างที่ผมเคยบอกไว้ตอนจบเลกแรก ว่าไทยได้แชมป์ 100% อยู่แล้ว เพราะเกมฟุตบอลระดับนี้ มันไม่มีทางพลิก 4 ลูกกันได้หรอกครับ
ทีมชาติไทยคว้าแชมป์สมัยที่ 6 สูงสุดในชาติอาเซียน ส่วนอินโดนีเซียได้รองแชมป์ 6 สมัย ยังคงต้องรอคอยความสำเร็จต่อไป
ในวันนี้การที่ไทยคัมแบ็กกลับมาได้ จากการโดนนำไปก่อน ผมคิดจริงๆ ว่าต้องให้เครดิตมาโน่ โพลกิ้ง
เขาตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ในเกมเจอสิงคโปร์นัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม มาโน่กล้าเปลี่ยนสำรอง 11 คน แถมยังชนะอีกต่างหาก
เกมเจอเวียดนามในเลก 2 เขาเปลี่ยนระบบมาใช้ 3 เซ็นเตอร์แบ็กช่วงครึ่งหลัง ผลลัพธ์คือปาร์ก ฮัง-ซอ ทำอะไรไม่ได้เลย
เกมเจออินโดนีเซียเลกแรก เขาปล่อยตัวอันตราย ฟิลิป โรลเลอร์ ลงมาป่วนจนอินโดนีเซียรับมือไม่อยู่ โดนเผาเละเทะ
และมาในเกมนี้อีก การเปลี่ยนตัวที่ถูกต้องทั้ง 3 คน ทำให้ไทยพลิกสถานการณ์กลับมานำได้ ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ชนะ แต่ก็จบด้วยการไร้พ่ายอยู่ดี ดังนั้นถือว่าโอเค
ก่อนทัวร์นาเมนต์เริ่ม มาโน่โดนวิจารณ์มากมาย ว่าบุกเก่งอย่างเดียว รับไม่ไหว หรือโดนแซวว่าทำทีมสโมสรเวียดนามยังไม่รอด แล้วจะคุมทีมชาติไหวหรือ
แต่สุดท้าย เขาเอาชนะเสียงวิจารณ์ทั้งมวล ด้วยการวางแท็กติกที่เฉียบขาด และการบริหารจัดการในทีมที่สมบูรณ์แบบ จนไทยคว้าแชมป์ซูซูกิคัพได้สำเร็จแบบนี้
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย จบทัวร์นาเมนต์นี้ เราต้องลองให้มาโน่ทำงานต่อไป คือไม่รู้หรอกนะว่านี่จะเป็นคำตอบสุดท้ายของไทยหรือเปล่า แต่อย่างน้อย มันก็เป็นคำตอบที่ดูจะมีหวังที่สุดในชั่วโมงนี้
และที่ผมชอบที่สุด คือเมื่อก่อนคนจะชอบพูดว่าที่ไทยเล่นแย่ เพราะนักเตะไม่มีคุณภาพ แต่ด้วยผลงานของมาโน่ เราก็ได้เห็นไปแล้วว่าจริงๆ นักเตะไทยมีคุณภาพจะตาย ขอเพียงแต่ได้โค้ชที่รู้ว่าต้องใช้งานยังไงแค่นั้น
ดังนั้นเมื่อจบทัวร์นาเมนต์นี้แล้ว ต้องขอบคุณในความทุ่มเทของมาโน่ โพลกิ้ง พร้อมทั้งขอสดุดีที่ทำให้ความนิยมของฟุตบอลไทย กระจายไปสู่วงกว้างมากขึ้นอีกครั้ง
จากนี้ไป แฟนบอลทุกคนจะรอคอยทีเด็ดจากเขาในรายการที่ใหญ่มากขึ้นกว่านี้ หวังว่าจะมีผลงานที่ดีต่อเนื่องไปเรื่อยๆนะ
#RIGHTCOACH
- 69
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
