3 ม.ค. 2022 เวลา 00:18 • การศึกษา
#การทรงอารมณ์ฌาน
อันดับนี้ (๖ พ.ค. ๒๕๒๑) บรรดาท่านทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีลสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปตั้งใจฟังคำแนะนำ วิธีฟังคำแนะนำนี้ ตามปกติเขาต้องคิดไปด้วย ดูตัวอย่างเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ประชาชนสมัยนั้นเวลาเขาฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู พอฟังจบตามพระบาลี เราจะเห็นว่ามีปริมาณถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ คือเมื่อฟังคำแนะนำจากพระพุทธเจ้าจบ ต่างคนต่างก็บรรลุเป็นพระอริยเจ้า มีพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นส่วนมาก ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าเวลาฟังนี่ ฟังไปด้วยแล้วก็คิดตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาไปด้วย
ทีหลังที่มาเทียบกับสมัยนี้ ในสมัยที่อาตมาศึกษาก็เช่นเดียวกัน ครูบาอาจารย์ท่านก็แนะนำแบบนั้น ว่าเวลาที่เราฟัง จงอย่าฟังเพื่อจำ ขณะที่ฟังไปจำเพื่อคิดให้ปัญญามันเกิดไปพร้อมๆ กับได้ยินเสียง การปฏิบัติมันจึงจะมีผล ถ้าเราฟังเพื่อจำมันเป็นสัญญา มันไม่ได้เป็นปัญญา ถ้าจิตของเรายังฟังอยู่แค่สัญญาอย่างเดียว ผลแห่งการปฏิบัติมันก็ไม่เกิด มันจะเกิดขึ้นมาได้ กิเลสก็ดี ที่มันจะตัดได้ก็ตาม หรือว่านิวรณ์ ๕ ประการก็ตามที่จะตัดได้ ที่ต้องอาศัยปัญญา ไม่ใช่สัญญา
#ท่านผู้ทรงใบลานเปล่า
เราจะสังเกตกันได้ว่า บุคคลผู้รับฟังจะมีสัญญาหรือว่ามีปัญญา #อันนี้ก็ดูจริยาของนักปฏิบัติ #ถ้าฟังไปแล้วกิเลสมันไม่ลด #ความหยาบมันไม่ลด #นั่นแสดงว่าไม่ได้ใช้ปัญญาเลยใช้แต่เพียงสัญญาอย่างเดียว ถ้าเราใช้แต่เพียงสัญญาอย่างเดียว ก็จะเป็นอย่างเดียวกับท่านสุธรรมเถร ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “ท่านผู้ทรงใบลานเปล่า” เพราะว่า #ท่านสุธรรมเถร นั้นทรงพระไตรปิฎก เรียนพระไตรปิฎกจบ แต่ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ
ฉะนั้นผลที่จะพึงได้กับใจของพระสุธรรมเถรจึงไม่มี ต่อมาปรากฏว่าท่านอยู่ในป่า เวลาที่พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรไปสู่สำนักของท่าน เวลาที่พระโมคคัลลาน์และสารีบุตรเทศน์ บรรดาประชาชนทั้งหลายชอบใจ เทวดาทั้งหลายก็ให้สาธุการ ท่านสุธรรมและเห็นว่าพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรทั้งสองท่านเป็นที่เลื่อมใสของคนส่วนมากท่านเองอยู่นานแสนนานไม่มีใครสรรเสริญอย่างนั้น จึงมีอารมณ์อิจฉาริษยาท่านโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร เวลาตอนเช้าตรู่ท่านตื่นขึ้นมา ถึงเวลาตีระฆัง ก็พยายามเอาเล็บค่อยๆ เคาะ ค่อยๆเคาะระฆัง เกรงว่าพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรจะได้ยินจะตื่น เวลากวาดลานวัดเวลาเช้ามืดก็ค่อยๆ กวาด เกรงว่าเสียงจะดังเดี๋ยวพระสององค์จะตื่น
เมื่อถึงเวลาไปบิณบาตก็ไม่บอกพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร ความจริงท่านทั้งสองเป็นอัครสาวกขั้นปฏิสัมภิทาญาณ เรื่องที่จะไม่รู้วาระน้ำจิตของท่านสุธรรมเถรนั้นย่อมไม่มี เมื่อรู้ว่าเขาอิจฉาริษยาอย่างนี้ท่านแกล้งนอนเฉย ในที่สุดเวลาท่านสุธรรมเถรเข้าไปในบ้านของ #อนาถบิณฑิกคหบดี ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีนี่คนละคนกับอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี ความจริงท่านองค์นี้เป็นพระโสดาบันเหมือนกัน
เข้าไปในบ้านของท่านอนาถบิณฑิกคหบดี เห็นท่านจัด อาหารเป็นกรณีพิเศษ ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีเห็นท่านสุธรรมเถรมาบิณฑบาตแต่ผู้เดียว จึงถามว่าพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรไม่มาหรือ ท่านสุธรรมเถรก็บอกว่า พระอะไร นอนไม่รู้จักตื่น ตอนเช้ามืดตีระฆังเสียงดังหูจะแตกก็ไม่ได้ยิน กวาดลานวัดอยู่เป็นชั่วโมงเสียงดังขรมก็ไม่ตื่น เป็นอันว่าท่านทั้งสองนี่เป็นคนขี้เกียจ พอพูดเพียงเท่านี้ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีก็ทราบ ว่าท่านสุธรรมเถรเป็นคนมีอารมณ์ริษยา เพราะตัวไม่มีอะไร
ต่อนั้นไปท่านก็ถามว่า กับอาหารทำมากเพื่อจะไปไหนจะไปถวายพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร ท่านสุธรรมเถรดูไปดูมาถามว่าขนมมันยังไม่ครบนี่ ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีถามว่าขนมอะไรที่ว่ายังไม่ครบ ท่านเลยบอกว่า ขนมแดกงามันยังไม่มี นี่เป็นอันว่าท่านสุรรรมเถรพูดใส่ใคล้ คือแกล้งประชดอนาถบิณฑิกคหบดี ซึ่งเป็นพระอริยเจ้า ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีก็คิดว่าท่านผู้นี้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์เสียเปล่า ไม่มีจริยาในความเป็นสมณะ แม้แต่จะเป็นพระผู้ทรงศีลที่ดีก็หามิได้ จึงได้ขับพระสุธรรมเถรออกจากบ้านไป แล้วท่านก็นำอาหารมาถวายพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร
ต่อมาเมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็กราบทูลให้ทรงทราบเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นท่านสุธรรมเถรก็ถามว่า
“ยังไง ท่านพระมหาเถระผู้ทรงใบลานเปล่ามาแล้วรึ”
เวลาที่ท่านพระสุธรรมเถรจะลากลับไปท่านก็ถามว่า
“ยังไง มหาเถระผู้ทรงใบลานเปล่ากลับไปแล้วรึ"
พระพุทธเจ้าพูดอย่างนี้ ๒ - ๓ ครั้งเป็นเครื่องเตือนใจพระสุธรรมเถร
พระสุธรรมเถรรู้ตัวว่าเราที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าองค์ใบลานเปล่า ก็เพราะว่าเราทรงแต่ตำรา คือมีสัญญาเป็นสำคัญความดีไม่มีกับเขา ต่อมาอาศัยที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนให้นัยอย่างนั้น ท่านก็เลยประพฤติปฏิบัติจนได้อรหัตผล
#ไม่ทรงความดี
นี่เป็นอันว่าถ้าเราฟังด้วยสัญญาจริงๆ ไม่เกิดผลเลย มันก็แบบกับเอาถังรั่วไปรองน้ำฝน หรือเอาตะกร้าไปรองน้ำฝน มันก็ไม่มีผลอะไร สิ่งที่จะพึ่งได้มาก็เศษกระดาษเศษฝอยติดตะกร้า น้ำไม่มี ดังนั้นขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน เวลาฟังก็จงคิดไปด้วย จะรู้ว่าคนไหนฟังดีหรือไม่ดีนี่ เป็นเครื่องสังเกตไม่ยาก เพราะว่าสำนักนี้เขาห้ามคนอื่นเข้าห้องคนอื่น แต่ว่าถ้าเรายังไปสนใจในการเข้าห้องคนอื่นอยู่ นั่นแสดงว่าเรายังเลวเกินไปสำหรับในเขตพระพุทธศาสนา
แล้วประการที่สอง คำเตือนมีอยู่เสมอว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง” #จงเตือนใจของตนเองไว้เสมอ #อย่าไปยุ่งกับอารมณ์ของบุคคลอื่น #ใครเขาจะดีใครเขาจะชั่วนั่นมันเรื่องของเขา #เราไม่ควรจะสนใจสนใจใจของเราอย่างเดียวให้อยู่ในขอบเขตของความดี นี่ถ้ายังมีบุคคลผู้ไดชอบติคนโน้นชอบว่าคนนี้ แสดงว่าคนนั้นเลวเต็มที่ ไม่ควรจะเป็นมนุษย์ เพราะไม่ทรงความดี อีกประการหนึ่ง ก็ขอเตือนว่าท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด
จงพากันรักษากฎข้อบังคับระเบียบวินัยให้ดี ต่อไปนี้จะใช้ระเบียบอย่างเคร่งครัด ถ้าใครฝ่าฝืนบทบัญญัติและกฎข้อบังคับนั่นหมายถึงว่าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไม่ว่าพระไม่ว่าเณร ไม่ว่าฆราวาสเด็กผู้ใหญ่ไม่ทราบ ให้ถือระเบียบเป็นสำคัญ ต่อนี้ไปเอากันแน่นอน เพราะวัดเราอยู่ในเกณฑ์เครียด ถ้าไม่ฟังระเบียบไม่เคารพในระเบียบก็แสดงว่าเราไม่ต้องการอยู่ที่นี่ คนอื่นเขาทำดีเราทำเลว
แล้วจิตใจของเราก็เหมือนกัน อย่าไปยุ่งกับชาวบ้านเขา ถ้าทุกคนสนใจในความดีเสียทั้งหมด พยายามปรับปรุงอารมณ์ใจของเราเองแต่ผู้เดียว แล้วจะมีใครเข้ามายุ่ง มันไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งอะไรกันทั้งหมด เพราะต่างคนต่างทรงความดี ก็ยังพอมีตัวอยู่บ้างนะ บุคคลที่ยังชอบฝ่าฝืนกฎข้อบังคับยังมีตัวอยู่ ขอบอกให้ทราบ ว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ระมัดระวังกันให้มาก คำว่าเกรงใจใครจะเลิก ความจริงที่แล้วมาก็ไม่เกรงใจใคร เตือนกันแล้วเตือนกันอีก เตือนกันเบาก็แล้ว เตือนกันหนักก็แล้วรู้สึกว่าด้านเกินไป คำว่า #หน้าด้าน นี้ไม่สำคัญ #สำคัญใจด้าน ต่อแต่นี้ไปก็จะไม่ต้องเตือนกันอีก เมื่อปรากฏผลว่าฝ่าฝืนข้อบังคับก็จะเชิญออกจากวัดนี้ทันที คำอุธรณ์ฎีกาใดๆ คำขอร้องใดๆ ไม่มี เป็นอันว่าจำกันไว้ว่าเราฟังระเบียบวินัยกันทุกวัน ถ้าเรายังเลวอยู่ละก็ จะไปมุ่งอะไรกับความเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แม้แต่สมาธิเล็กน้อยมันก็ไม่มี
ต่อแต่นี้ไปก็จะพูดถึงอารมณ์ของบุคคลผู้ได้สมาธิ การเจริญพระกรรมฐานเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ถ้าเราเป็นผู้ทรงอารมณ์ดีแล้วมันไม่ยาก มันยากสำหรับคนเลว คนเลวนี่ อย่างลิงก็ไม่ควรจะใช้เพชร หรือว่าไก่ก็ไม่ควรจะใช้พลอย ไอ้ลิงกับไก่นี่มันไม่รู้ค่าของวัตถุ สิ่งเห็นเพชรเข้าก็คิดว่าอย่างนี้ลูกมะม่วงลูกเดียวดีกว่า หรือลูกหว้าลูกเดียวดีกว่าเรากินได้ เพชรไม่รู้จะทำยังไงเดี๋ยวก็โยนทิ้ง ไก่เห็นพลอยก็มีสภาพเช่นเดียวกันเพราะพลอยไม่มีประโยชน์สำหรับไก่ ไก่เห็นพลอยก็คิดว่า ถ้าหากว่าเราจะได้เมล็ดข้าวสักเมล็ดเดียวก็จะดีกว่า เป็นอันว่าคนเลวย่อมปฏิบัติในความดีไม่ได้ เพราะอะไร เพราะใจหยาบ
#เอาจริง
ความจริงการเจริญพระกรรมฐานเป็นของไม่ยากถ้าเรามีกำลังใจสูง #นักเจริญพระกรรมฐานนี้ต้องมีอารมณ์เด็ดเดี่ยวต้องมีความรู้สึกว่า #ถ้าเราทำไม่ได้ก็ให้มันตายไป #ตัวนี้ตัวเดียวที่จะพาให้บรรลุมรรคบรรลุผล อารมณ์จิตที่จะคิดว่าถ้าทำไม่ได้ตามนี้ให้ตายไปนั่น จิตจะต้องตั้งไว้จริงๆ ว่าถ้าจะตายก็เชิญตาย ถ้าเราจะตายเพราะพยายามทรงความดี ถ้าเราตายเวลานี้อย่างเลวที่สุดเราก็เป็นเทวดา ดีกว่าความเป็นคน หรือมิฉะนั้นเราอาจจะเป็นพรหม หรือมิฉะนั้นเราอาจจะไปพระนิพพาน ไอ้ร่างกายที่มีสันดานปกติมันไม่ทรงตัวเต็มไปด้วยความทุกข์ร่างกายอย่างนี้ไม่เป็นเครื่องจีรังยั่งยืน ไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา อันนี้คิดไว้อย่างนี้เป็นปกติ
การคิดไว้อย่างนี้เป็นปกติคิดไว้เสมอ ว่าร่างกายมันไม่มีอะไรจะดี เพราะว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บแล้วก็ตายจะเลี้ยงจะดูจะปรนจะเปรอให้ดีอย่างไรมันก็ไม่มีการทรงตัว ความดีจริงๆ คือตัวจิตบริสุทธิ์ ฉะนั้นเราจะพยายามรักษากำลังใจให้บริสุทธิ์ ถ้ามันบริสุทธิ์ไม่ได้เราก็ยอมให้มันตายไป ถ้าตายไปแล้วร่างกายประเภทนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์จะไม่มีสำหรับเรา เป็นเทวดาหรือพรหมเราก็ไม่ปรารถนา #เราต้องการพระนิพพาน นี่คิดไว้ย่อๆ แต่เพียงเท่านี้แหละ ไม่ต้องเอามันมาก
การที่คิดว่ามันตายเสียก็ช่างเถอะ ตายเสียก็ดี ร่างกายนี้ไม่มีความหมาย ตัวนี้ตามหลักวิปัสสนาญาณเขาเรียกว่า #สักกายทิฏฐิในสังโยชน์๑๐ เป็นสังโยชน์ข้อต้น #ถ้าหากว่าเป็นวิปัสสนาญาณจริงๆเรียกว่าสังขารุเปกขาญาณ ถ้าอารมณ์ของเราเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ ไอ้ตัวที่ไม่ห่วงกายจริงๆ นี่มันง่ายๆ ไม่ห่วงกาย ไม่ห่วงทรัพย์ ไม่ห่วงสิน ไม่ห่วงศักดิ์ศรี ไม่ห่วงความมั่งมี ไม่ห่วงชื่อเสียง เราจะสร้างความดีไว้ในเมืองมนุษย์ขนาดใดก็ตาม ไม่สนใจ การที่เราจะทำอะไรทุกอย่าง #เราต้องการทำเพื่อความดับไม่มีเชื้อ คำว่า ดับไม่มีเชื้อหมายความว่ามันดับกิเลส “คือโลภะ โทสะ โมหะ” อย่าเอาจิตน้อมเข้าไปหาโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าอารมณ์เข้าไปจับโลภะ โทสะ โมหะ อย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อไร เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาจงมีความเข้าใจว่า นี่เรามันเลวเสียแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ทำไมเราจึงสนใจ แล้วก็หาทางแก้ไขมันเสีย
รวมความว่าถ้าเราไม่ห่วงร่างกายการเป็นอรหันต์ก็ไม่ยาก เพราะการเป็นอรหันต์มันมีจุดเดียว จุดที่เราไม่ห่วงในร่างกาย ดูตัวอย่าง #พระโคธิกะ ท่านไม่ได้ดีกว่าพวกเราบางคน ที่สนใจในธรรมปฏิบัติจริงๆ ฌานโลกีย์ของท่านก็ง่อนแง่นเต็มที่ แต่ว่าตัดสินใจว่ากายนี้ไม่ดีหน่อยเดียวทำลายชีวิตเป็นอรหันต์ไปสู่นิพพานทันที ฉะนั้น อารมณ์ที่เห็นว่าร่างกายไม่ดีไม่มีความหมาย ถ้าเราทำดีไม่ได้เราจะปล่อยให้มันตายไป นี่คิดไว้เสมอแล้วก็เอาจริง เวลาปฏิบัติก็เอาจริง
#วิธีปฏิบัติแบบรวบรัด
นี่ต่อมาก็จะแนะนำถึงการปฏิบัติ ว่าปฏิบัติแบบไหนมันจึงจะได้ดีเร็วๆ นี่เราไม่ต้องพูดกันมาก ไม่ต้องทำกันมาก เรียกว่า ตีไม้สั้น ความจริงนักปฏิบัตินี่เขาตีไม้สั้นกันทุกคนเขาจึงได้ดี ไม้สั้นไม้ยาวหมายความว่าการตีกระบี่กระบอง กระบี่กระบองเขามีไม้สั้น คือเป็นไม้คู่ถือสองมือ ถ้าไม้ยาวก็เป็นไม้พลองอันเดียวแต่ถือสองมือ ตีได้ทั้งหัวทั้งท้าย ไม้ยาวมันเกะกะ ไม้สั้นเข้าคลุกประชิดกายได้ การเจริญพระกรรมฐานเหมือนกัน วิธีการเจริญรวบรัดเขาทำกันแบบนี้ คือว่า อารมณ์ของเขาจะไม่ปล่อยคำภาวนา แล้วก็อารมณ์ของเขาจะไม่ปล่อยการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เราจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ตาม ใจจับคำภาวนาไว้เสมอ
คำภาวนาที่นิยมกันตามสายของพวกเรา นั่นก็คือ #พุทโธ แล้วก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย เวลาหายใจเข้านึกว่า “พุท” เวลาหายใจออกนึกว่า “โธ” เอาเท่านี้ ไม่ต้องมาก ไม่ต้องไปนึกถึงว่านิวรณ์ ๕ มีอะไรบ้าง ไม่ต้องไปนึกถึงว่ากรรมฐาน ๔๐ มีอะไรบ้าง ดันมันไปแถบเดียวแค่นี้ นี่เป็นจริยาของสาวก แต่ว่าถ้าเป็นจริยาของท่านปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ได้ ความจริงก็ทำได้เหมือนกัน แต่ได้แบบสาวก ไม่ใช่แบบพระพุทธเจ้า ความจริงเราเป็นอรหันต์เร็วที่สุดนั้นแหละมันดี มันจะได้พ้นทุกข์ เล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าต่อไปจะไม่มีพระพุทธเจ้าสอน เวลานี้ท่านที่มีบารมีเต็มไปคอยคิวกันอยู่ถึงยี่สิบองค์กว่า แล้วที่มีบารมีที่เป็นขั้นปรมัตถบารมีใกล้จะเต็มอีกนับไม่ถ้วน ฉะนั้นเราก็ไม่ควรต้องไปห่วงใคร ห่วงตัวเองเป็นสาคัญ ถ้าเราไม่อิ่มก็อย่าเพิ่งป้อนคนอื่น
ที่มา : หนังสือธรรมปฏิบัติ ๖๑ หน้าที่ ๖๖~๗๕.พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดจันทาราม(ท่าซุง)จ.อุทัยธานี.
โฆษณา