4 ม.ค. 2022 เวลา 01:30 • ธุรกิจ
Service Note : Super Service Mind
ด้วยความที่ผมจบมาจากประเทศญี่ปุ่น ทุกปีผมมักจะหาโอกาสไปเที่ยวแวะเวียนเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง 2ครั้ง แต่ตั้งแต่มีCovid-19 ก็ไม่ได้เดินทางไปไหนอีกเลย ก็อดที่จะคิดถึงญี่ปุ่นไม่ได้ วันนี้เลยมีเรื่องราวของญี่ปุ่นที่อยากมาเล่าสู่กันฟังครับ
ปกติเวลาอยู่ที่ญี่ปุ่น ผมมักเดินทางด้วยเท้า ต่อด้วยการใช้รถไฟใต้ดินเป็นส่วนใหญ่ นอกจากบางทีที่ได้ไปแวะเมืองใหม่ๆที่ไม่เคยไปมาก่อน ผมมักจะนั่งรถเมล์ลองดูก่อน เพราะสามารถมองเห็นบรรยากาศและสถานที่ต่างๆ ได้ชัดกว่ามาก ถึงแม้อาจจะรถติดบ้าง รถเมล์มาช้าบ้าง ต่างกับรถไฟ ที่มาตรงตามเวลาทุกครั้ง สะดวกและบริหารเวลาได้ดีมากกว่า แต่ก็จะไม่เห็นอะไรเลยจนกว่าจะถึงที่หมาย
ถ้าใครที่เคยนั่งรถเมล์ในญี่ปุ่น จะรู้ว่าที่ป้ายรถเมล์นั้น จะมีตารางเวลาที่ระบุว่ารถเมล์แต่ละสาย จะวิ่งไปจุดไหนบ้างและมีตารางเวลาที่รถจะมาถึงป้ายรถเมล์นั้นๆอย่างชัดเจน
ถึงแม้ในความเป็นจริง อาจจะมาช้าบ้างนิดหน่อย กรณีช่วงเวลารถติด หรือบางครั้งก็มาเร็วกว่านิดหน่อย กรณีที่รถว่างมากเกิน แต่สำหรับคนยืนรออย่างผมแล้ว ผมรู้สึกอุ่นใจที่ได้รู้ว่า ต้องรอนานแค่ไหน
ถ้านานมากไปและเกิดผมรีบ ก็มักจะตัดสินใจไปด้วยรถไฟหรือแท็กซี่แทน รู้สึกว่าตัวเองบริหารเวลาได้เองเสมอ
ต่างกับตอนที่เรายืนรอรถเมล์ในกรุงเทพใช่ไหมครับ
เรารู้ไหมครับว่าเราจะได้ขึ้นรถเมล์คันต่อไปตอนกี่โมง ต้องรอนานแค่ไหน บางทีก็รอนานมากก็ไม่มาสักที แต่ก็รอต่อไปเรื่อยๆ แล้วเราได้ขึ้นรถเมล์กันจริงๆเมื่อไหร่ครับ รู้เวลาไหมครับ ไม่รู้แน่นอน สุดท้ายเราได้ขึ้นรถก็ต่อเมื่อ รถเมล์มาถึง เท่านั้น แถมบางทีมาทีหลายคัน เลือกไม่ถูกเลยก็มี
คิดแล้วก็เห็นความแตกต่างของคนญี่ปุ่นกับคนไทยในการให้ความสำคัญกับเวลา
สิทธิที่เราเลือกได้ กับเลือกไม่ได้ ที่ต่างกันในวิถีชีวิตปกติของคนธรรมดา แม้กระทั่งแค่เรื่องการขึ้นรถเมล์
มีอยู่วันหนึ่ง ผมรีบมากที่จะต้องไปขึ้นรถไฟสายด่วนชินกันเซ็นเพื่อข้ามไปอีกเมืองหนึ่ง ด้วยความที่ไม่แน่ใจในว่าไป Direction ซ้ายหรือขวา ก็เลยเรียกรถแท็กซี่ ณ จุดที่ยืนรอเลยซึ่งเป็นบริเวณใกล้สี่แยกไฟแดง
ปกติถ้ารู้ว่าไปทางใด ก็จะข้ามถนนไปเรียกรถอีกฟากหนึ่งของถนนเสมอ
เมื่อได้แท็กซี่แล้ว คนขับรถแท็กซี่ก็ลงมาเปิดกระโปรงหลังรถให้ ช่วยยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้าไปเก็บในนั้น และเมื่อขึ้นรถไป ผมก็แจ้งว่าต้องการไปสถานีรถไฟชินกันเซ็น
แล้วเหตุการณ์ประทับใจในการเดินทางคร้งนั้นของผมก็เกิดขึ้น
ผม : "รบกวนไปที่สถานีฮิโรชิม่า บริเวณขึ้นรถไฟฟ้าชินกันเซ็นครับ"
คนขับรถ : "อืม (เขาเหมือนคิดเล็กน้อย) มันต้องไปฝั่งตรงข้ามครับ ต้องไปกลับรถ ไกลเลย ถ้างั้น ผมจะขออนุญาตเลี้ยวซ้ายเข้าซอยแรกนี้ แล้ววนออกมาข้างหลัง แล้วก็อาจจะมาติดไฟแดงตรงนี้นิดหน่อยนะครับ ได้ไหมครับ"
ผม : (ด้วยความไม่รู้ทิศทางอยู่แล้ว ผมจึงยังไงก็ได้ แต่ผมก็แอบสงสัยว่าทำไมต้องมาขอเราด้วย) ยินดีครับ
หลังจากนั้น แท็กซี่ก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยแรก แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีก 2 ครั้ง รถก็มาโผล่ใกล้ๆ ณ จุดที่ผมเรียกรถ
ติดไฟแดง แต่รถก็ชิดเลนขวาไว้เพื่อรอสัญญาณไฟเขียว และเลี้ยวขวาต่อไป
เมื่อรถเลี้ยวขวาได้แล้ว คนขับรถแท็กซี่ ถึงเริ่มกดมิเตอร์ เริ่มคิดค่าใช้จ่ายครับ
1
ย้ำอีกครั้งนะครับ เขากดมิเตอร์เมื่อรถหลุดไฟแดงแล้วเลี้ยวขวาแล้วครับ ซึ่งคงเป็นจุดที่ผมควรเรียกรถจากตรงนั้นครับ
1
ผมงงมาก เพราะผมแอบคิดว่าถ้าเป็นแท้กซี่ที่กรุงเทพหรือที่ไหนก็ตาม คงกดมิเตอร์ทันทีที่รถเริ่มวิ่ง
และเมื่อถึงจุดหมาย เขาก็จอดรถแล้วรีบลงมาช่วยยกกระเป๋าลงจากหลังรถ แล้วก็คำนับหนึ่งที พร้อมพูดว่า "ขอบคุณมากครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ"
ผมประทับใจในการให้บริการของแท็กซี่คันนี้มากๆ และไม่มีวันลืมว่านี่คือจิตวิญญาณของคนที่รักอาชีพของเขาสุดหัวใจ
ผมคิดในใจ ผมจะกลับมาเที่ยวเมืองนี้อีกแน่นอน คนขับรถแท้กซี่คนนี้ได้กลายเป็นพลเมืองฑูตท่องเที่ยวในสายตาของผมเรียบร้อยแล้ว
เหตุการณ์ต่อเนื่อง เมื่อผมกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากเป็น Flight ดึกมากแล้วจึงไม่ได้ให้ใครไปรับ และตั้งใจเรียกรถแท้กซี่กลับบ้านเอง
เมื่อยืนรอแถว ได้คิวรถแท็กซี่ ถึงแม้จะต้องเสียค่าบริการเพิ่มอีก 50บาทก็ยินดีเพราะดีกว่าไปลุ้นเรียกเองที่ไหน แล้วเผลอๆไม่ยอมไปให้ด้วย ซึ่งเราทุกคนคงเคยมีประสบการณ์การถูกปฏิเสธ "ไม่ไป" ของแท้กซี่กันใช่ไหมครับ
เมื่อผมเข็นรถขนกระเป๋าเดินทางไปที่รถแท็กซี่ ก็ยื่นบัตรคิวให้กับคนขับรถคนนั้น พร้อมบอกสถานที่เป้าหมายที่จะไป
เขาหันไปยืนคุยกับเพื่อนล็อคข้างๆ แบบไม่สนใจลูกค้าเลยสักนิด
ไม่ช่วยยก ไม่ว่า ชายตามองมาเผื่อให้ความช่วยเหลือได้เมื่อถูกขอ จะดีกว่าไม๊
ถึงจะรู้ว่าคนขับแท็กซี่ที่ตั้งใจให้บริการดี ไม่เรื่องมากก็มีไม่น้อยก็ตาม ว่าไป เมื่อก่อนก็เห็นเป็นข่าวอยู่เนืองๆ แท็กซี่ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ให้แจ้งตำรวจได้
แต่ในชีวิตจริง คงไม่มีใครอยากเสียเวลา
ตอนนี้ สถานการณ์ต่างๆ อาจไม่เหมือนเดิมแล้ว แท็กซี่ไทยเราก็น่าจะบริการดีขึ้นบ้างแล้ว
เหตุการณ์ที่ฮีโรชิม่าและสุวรรณภูมินี้ เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
จากกรณีคนขับรถแท็กซี่ ทั้ง2คนนี้ ทั้งที่ฮิโรชิม่า กับที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ใครชวนให้ใครกลับมาใช้บริการมากกว่ากัน
ใครเป็นพลเมืองฑูตท่องเที่ยวได้ดีกว่ากัน
ใครน่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากัน
เหมือนกับที่ Samuel Smiles ว่าไว้ว่า
"Sow a thought, reap an action;
Sow an action, reap a habit;
Sow a habit, reap a character;
Sow a character, reap a destiny."
ปลูกความคิด ผลที่ได้คือการกระทำ
ปลูกการกระทำ ผลที่ได้คืออุปนิสัย
ปลูกอุปนิสัย ผลที่ได้คือคุณลักษณะ
ปลูกคุณลักษณะ ผลที่ได้คือชะตาชีวิต
มาเป็นคนไทย หัวใจ สุดยอดการให้บริการ Super Service Mind กันครับ
ทุกสายอาชีพเลยครับ
แล้วเราก็ได้ ฑูตท่องเที่ยว ด้วยกันทุกคนเลยครับ
โฆษณา