7 ม.ค. 2022 เวลา 10:55 • ปรัชญา
“ฝึกให้จิตตั้งมั่น มีสติที่ว่องไว … จึงจะเห็นความจริง”
“… ถ้าภาวนาแล้วเราจะเริ่มเห็น
เราจะเห็นจิตเกิดดับได้ เราต้องมีจิตสำคัญตัวหนึ่ง
จิตผู้รู้ให้เกิดก่อน ถ้ามีแต่จิตผู้หลงๆๆ มันแยกแยะไม่ออก
จิตผู้รู้มันเป็นตัวตัด ตัดกระแสลงมา
กระแสที่หลงขาด เกิดรู้ขึ้นมาชั่วขณะก็ดับ
เกิดจิตที่ทำงานต่อไป
หลงบ้าง เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง มันเกิดดับ
แล้วจิตแต่ละดวงเวลามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
แล้วจะเกิดจิตดวงใหม่
ถ้าเราภาวนาให้ดีเราจะเห็นมันมีช่องว่างเล็กๆ มาคั่น
ระหว่างจิตดวงหนึ่งกับจิตอีกดวงหนึ่ง
ค่อยๆ ภาวนาเราจะเห็น
เรามีจิตผู้รู้อยู่อย่างนี้ ก่อนที่มันจะเกิดจิตผู้ดูรูป
มันจะมีช่องว่างแป๊บหนึ่งสั้นนิดเดียวเลย
จากจิตผู้รู้มันจะดับลงไป มีช่องนิดเดียว
เกิดจิตที่ดูขึ้นมาแทน
ตรงที่เราเห็นมีช่องว่างมาคั่น เรียกว่าสันตติขาด
ถ้าสันตติขาดแล้วเราถึงจะรู้ว่า
จิตดวงนี้กับจิตอีกดวงหนึ่ง มันคนละดวงกัน
ถ้าเราภาวนาสันตติเรายังไม่ขาด
เราก็รู้สึกจิตยังมีดวงเดียววิ่งไปวิ่งมา
วิ่งไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ฉะนั้นเราต้องฝึกให้จิตมันตั้งมั่นจริงๆ มีสติที่ว่องไว
ทำไมต้องมีสติว่องไว
เพราะจิตมันเกิดดับรวดเร็ว
ถ้าสติเราไม่ว่องไวพอ เราไม่เห็นหรอก
เราจะเห็นตอนที่มันเกิดไปแล้ว แล้วตอนที่มันดับก็ไม่เห็น
เพราะสติเราอ่อน เราเห็นจิตที่ดูเกิดแล้ว
อ้าว เดี๋ยวมีจิตที่คิดเกิดแล้ว ไม่ทันเห็นจิตที่ดูดับหรอก
เห็นแต่เกิดไม่เห็นดับ สติเรายังไม่พอ
ถ้าสติพอเราจะเห็นจิตที่ดูก็ดวงหนึ่ง
จิตที่คิดก็เป็นอีกดวง คนละดวงกัน เกิดดับ
มีช่องว่างมาคั่นอันนี้เรียกว่าสันตติ มันขาด
ฆนะ คือความเป็นกลุ่มก้อนของขันธ์ก็แตก
รูปก็ส่วนรูป รูปไม่ใช่จิต
เวทนาก็ส่วนเวทนา เวทนาไม่ใช่กาย ไม่ใช่จิต
สังขารก็ส่วนสังขาร ไม่ใช่รูป ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่จิต
จิตก็อยู่ส่วนจิต อย่างนี้เรียกว่าแยกขันธ์ออกมาได้
ฆนะ คือกลุ่มก้อนของความเป็นตัวตนมันแตก
แล้วเราก็ดูเห็นสันตติมันขาดไป
ค่อยๆ ฝึกถึงจุดหนึ่งมันก็เห็นของมันเอง
ทำอย่างที่หลวงพ่อแนะนำเรานั่นล่ะ
ถือศีล 5 ไว้ ทุกวันปฏิบัติในรูปแบบ ต้องปฏิบัติ
บางคนบอกไม่ต้องปฏิบัติ เจริญสติในชีวิตจริงไปเลย
ไปไม่รอดหรอก ถึงจุดหนึ่งจิตก็ฟุ้งซ่าน
หลวงพ่อพูดเต็มปากเลยว่ามันไปไม่ได้หรอก
เพราะว่าเราผ่านประสบการณ์นี้มาด้วยตัวเอง
หลวงพ่อนั่งสมาธิมาตั้งแต่ 7 ขวบทำมาตลอด
เดินปัญญาไม่เป็น จนอายุ 29 ปีถึงไปเจอหลวงปู่ดูลย์
ท่านสอนให้ดูจิต เห็นจิตมันเกิดดับได้
พอหลวงพ่อเจริญปัญญาไป
หลวงพ่อตื่นเต้นกับการเจริญปัญญา
การเจริญปัญญา ของไม่เคยรู้ได้รู้
ของไม่เคยเห็นได้เห็น ของไม่เคยเข้าใจได้เข้าใจ
ใจลึกๆ มันไปดูถูกการทำสมาธิ ดูถูกสมถะไม่ทำเลย
อาศัยกำลังของการฝึกสมาธิ 22 ปี
มาเจริญปัญญาอยู่ได้ 2 ปีเองกำลังของสมาธิไม่พอแล้ว
พอกำลังสมาธิไม่พอวิปัสสนูปกิเลสมันเกิด
อย่างเราดูจิตอยู่เราเห็นโทสะผุดขึ้นมาอย่างนี้
เราเห็นมันเคลื่อน แทนที่เห็นปุ๊บมันขาดปั๊บ มันไม่ขาด
เพราะกำลังของสมาธิเราไม่พอ
เมื่อสมาธิไม่ดีพอ ปัญญาไม่เกิด
ปัญญานั่นล่ะเป็นตัวตัดสภาวะให้ขาด
เห็นโทสะมันผุดๆ ขึ้นมาไปดูมัน
มันก็เคลื่อนๆๆ ออกไปข้างหน้า แล้วมันก็ดับไป
ถ้าสมาธิตกเราเดินปัญญาไม่ได้จริง
วิปัสสนูปกิเลสจะเอาไปกิน
ฉะนั้นศีลต้องรักษา ทุกวันทำในรูปแบบไว้
1
ตอนที่จิตมันไหลออกไปอยู่ข้างนอก
ไม่รู้ไม่เห็นว่าจิตไหลไป
เพราะมัวแต่สนใจตัวโทสะที่มันถอยออกไป
จิตก็เลยไปว่างสว่างอยู่ข้างนอก
1
จิตสงบไหม สงบ จิตสว่างไหม สว่าง
แต่ดูไปๆ มันยังมีตะกอนซ่อนอยู่ในจิตอยู่
จิตนี้ไม่สะอาด ก็ไม่รู้จะไปอย่างไร
มันก็สว่าง สบาย มีความสุขอยู่อย่างนั้น
ได้ครูบาอาจารย์ท่านมาบอก
หลวงตามหาบัวท่านแก้ให้
ไปกราบท่านบอกว่า
“พ่อแม่ครูอาจารย์ให้ผมดูจิต ผมก็ดูจิตอยู่
แต่สงสัยว่าทำไมช่วงนี้ไม่มีพัฒนาการเลย
ว่างๆ สว่างอยู่อย่างนั้น”
ท่านบอกว่า “ที่ว่าดูจิตนั้นดูไม่ถึงจิตแล้ว
ต้องเชื่อเรานะตรงนี้สำคัญนะ เราผ่านมาด้วยตัวเราเอง
อะไรๆ ก็สู้บริกรรมไม่ได้”
เพราะบริกรรมใจมันไม่ชอบ
มันก็กลับมาหายใจเข้าพุท-ออกโธ
กรรมฐานที่เราถนัด จิตรวม
พอจิตรวมมันจะหดตัวกลับเข้ามา แต่ไม่ใช่จมลึกลงไป
เมื่อวานก็มีคนมาเล่าว่าจิตมันหดเข้ามาแล้วมันจมลึกลงไป
สงสัยว่าจะเกิดมรรคผลไหม ไม่เกิดหรอก จิตส่งออกนอกแล้ว
ส่งออกแต่เข้าไปข้างใน ก็เรียกออกนอกเหมือนกัน
กำลังของสมาธิไม่พอ มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส
1
ตัวที่หลวงพ่อเคยเจอ
วิปัสสนูปกิเลสตัวนั้นเรียกว่าโอภาส สว่าง ว่าง
สบาย มีความสุขอยู่อย่างนั้น อยู่ได้เป็นปีเลย
นี่จิตไม่เข้าฐานหรอก
พอกลับมาหายใจเข้าจิตรวมเข้าฐานปุ๊บ
รู้เลยว่าเราเสียเวลาเปล่าไปตั้งนาน
ไปหลงอยู่ในวิปัสสนูปกิเลส แล้วรู้ว่ามันไม่ใช่หรอก
เพราะมันนิ่งมันว่างเกินไป
มันไม่เห็นไตรลักษณ์อะไรอย่างนี้
แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร มันพลาดตรงไหนดูไม่ออก
ครูบาอาจารย์ท่านแนะให้ก็เลยสังเกตออก
อ๋อ … จิตไม่ตั้งมั่น
พอหายใจไม่กี่ครั้ง
หายใจเข้าพุท ออกโธนับหนึ่ง พุทโธนับสอง
นับไป 28 ครั้งจิตก็รวม
จิตรวมแล้วรู้เลยว่า ก่อนหน้านี้มันออกไปอยู่ข้างนอก ใช้ไม่ได้
ฉะนั้นเราต้องทำในรูปแบบ ไม่อย่างนั้นสมาธิเราจะตก
ถ้าสมาธิตกเราเดินปัญญาไม่ได้จริง
วิปัสสนูปกิเลสจะเอาไปกิน
ฉะนั้นศีลต้องรักษา ทุกวันทำในรูปแบบไว้
มีอารมณ์กรรมฐานสักอย่างหนึ่งที่เราถนัด
แล้วเราก็รู้อารมณ์กรรมฐานนั้นไปด้วยใจสบายๆ
ไม่ไปบังคับจิตให้สงบ ไม่ไปเค้นไม่ไปบีบคั้นให้จิตสงบ
แค่มีอารมณ์กรรมฐานอันหนึ่ง
แล้วเราไปรู้อารมณ์นั้นสบายๆ
ด้วยจิตใจที่ธรรมดาที่สุดเลย
1
ไปบอกว่ารู้ด้วยใจสบาย ก็ไปแต่งสบายขึ้นมาอีก
ไปทำใจสบายก็ใช้ไม่ได้อีก
รู้ด้วยใจธรรมดา แล้วใจมันจะได้พักมันสงบลงไปรวมลงไป
สว่างขึ้นมา พักผ่อน ไม่คิด ไม่นึก ใจก็มีเรี่ยวมีแรง
พอออกจากสมาธิมาแล้วคราวนี้ถึงช็อตที่สาม
ถึงบทเรียนที่เราต้องเรียนอันที่สาม
ต้องปฏิบัติ คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
เจริญสติเจริญปัญญาอยู่ในชีวิตประจำวันได้ ถึงจะเก่งจริง
ฉะนั้นที่เราต้องเรียน ก็ต้องมีศีล ตั้งใจรักษาไว้
ต้องมีเจตนางดเว้นการทำบาปอกุศลทางกาย ทางวาจา 5 ข้อนั่นล่ะ
ทุกวันทำกรรมฐาน นั่นคือการเพิ่มพลังของสมาธิ
ถัดจากนั้นเรามาเจริญปัญญา อยู่ในโลกข้างนอก นี่ล่ะ
ตาเห็นรูปก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในจิตใจ
หูได้ยินเสียงก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจ
จิตไปคิดก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในจิตใจ
เปลี่ยนแปลงอย่างไร
บางทีก็เกิดสุข บางทีก็เกิดทุกข์ บางทีก็เฉยๆ
บางทีก็ดี บางทีก็โลภ บางทีก็โกรธ
บางทีก็หลง บางทีก็ฟุ้งซ่าน บางทีก็สงบ
นี่เป็นความเปลี่ยนแปลง
เราเฝ้ารู้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
อย่างเราใช้ชีวิตธรรมดาอย่างนี้
เราขับรถยนต์อยู่ เห็นมอเตอร์ไซค์มาปาดข้างๆ รถเรา
เราหงุดหงิด สติเกิดเลยจิตมันหงุดหงิด
ความหงุดหงิดดับจิตสบาย
ขับรถไปเห็นไฟเขียวดีใจ พอเข้าไปใกล้ๆ ไฟแดงเสียแล้ว
หงุดหงิดรู้ว่าหงุดหงิด เห็นจิตใจมันเปลี่ยนอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ล่ะ
ไปเห็นแมวสวยๆ สมมติเป็นคนชอบแมว
พอเห็นแมวแล้วชอบใจสติเกิดเลย ชอบรู้ว่าชอบ
เห็นหมาขี้เรื้อนวิ่งเข้ามารู้สึกรังเกียจ
ความรังเกียจเกิดสติรู้เลยว่ารังเกียจ
นี่คือการฝึกกรรมฐานจริงๆ เลย ตัวนี้ตัวสำคัญเลย
ถ้าเราเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิ ยังไม่เก่งจริงหรอก
ตัวที่ยากที่สุด คือการเจริญสติเจริญปัญญาอยู่ในชีวิตประจำวัน
ถ้าทำได้ถึงจะเก่งจริง
แต่บางคนถ้าไม่ถนัดจริงๆ
ไม่ถนัดแต่ว่าเขาชำนาญในฌาน
เขาก็นั่งในรูปแบบ ทำสมาธิไปคืนหนึ่งหลายๆ ชั่วโมง
บางช่วงจิตก็รวม บางช่วงจิตก็เจริญปัญญาในฌาน อย่างนั้นก็มี
แต่ว่ายุคของเราแทบไม่มีแล้ว
คนรุ่นเราที่จะทรงฌานจริงๆ มีนับตัวได้เลย
ไม่มีเท่าไรน้อยจริงๆ เลย
ลูกศิษย์หลวงพ่อมีไม่รู้กี่หมื่นคนทั่วโลกเยอะแยะ
ที่หลวงพ่อเห็นแล้วเจริญปัญญาในฌานได้
เห็นมีอยู่คนสองคนเอง มีไม่มาก
ยุคนี้มันเป็นยุควุ่นวาย จะเอาเวลาที่ไหนมานั่งเข้าฌาน
นั่งอย่างไรก็ไม่สงบเสียที
ฉะนั้นถ้าไปฝากเป็นฝากตายไว้กับการเข้าฌาน
ชาตินี้ก็ตายเปล่าแล้ว คือมันไม่ได้เข้าหรอก
กรรมฐานที่มันเหมาะกับคนยุคนี้
ก็คือการเจริญสติในชีวิตประจำวันนี้
อ่านจิตอ่านใจตัวเองไปเลย
1
เมื่อก่อนหลวงพ่อไปเจอพระองค์หนึ่ง
ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา ท่านก็เล่าให้ฟังบอกว่า
หลวงพ่อชาท่านเคยบอกว่า
สอนพวกมีปัญญาอย่าไปเน้นที่สมาธิ มันไปไม่ได้หรอก
พวกมีปัญญากล้ามันจะชอบคิดพิจารณา มันไม่สงบหรอก
ต้องให้เขาดูจิต หลวงพ่อชาบอกเอง บอกลูกศิษย์ท่าน
พวกที่เขามีปัญญาก็ต้องให้ดูจิต
หลวงปู่ดูลย์ท่านไม่ได้เรียกพวกมีปัญญา ท่านเรียกคนเมือง
เพราะคนเมืองบางคนมันก็ไม่มีปัญญา มันไม่ภาวนา
1
แล้วคนเมืองกรรมฐานที่เหมาะกับคนเมือง ก็คือการดูจิต
แต่ก่อนเป็นสังคมเกษตรทำไร่ทำนา ทำนากันปีละครั้ง
หมดหน้านาแล้วก็ว่างยาวเลยคราวนี้
คนส่วนหนึ่งก็ไปกัดปลา ตีไก่อะไรอย่างนั้น
เข้าบ่อน เล่นถั่ว เล่นโป
อีกพวกหนึ่งก็เข้าวัดสวดมนต์ ทำบุญ ทำทาน นั่งภาวนา
ปีหนึ่งๆ เขามีเวลาทำความสงบตั้งหลายเดือน
ว่างๆ อยู่ช่วงที่ไม่ได้ทำนา
พอสังคมมันเปลี่ยน ตอนนี้ทำนาไม่ได้ปีละครั้งแล้ว
ทำนาปีหนึ่ง 3 ครั้ง ไม่มีเวลาไปนั่งสมาธิหรอก
ยิ่งคนในเมืองทำมาหากินด้วยการใช้สมอง
คิดโน้นคิดนี้ทั้งวัน ไม่มีเวลานั่งสมาธิ นั่งอย่างไรก็ไม่รวม
พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระธรรมราชา ท่านเป็นเจ้าของธรรมะ
ท่านเลยสอนธรรมะไว้หลากหลาย
ไม่ได้สอนเฉพาะคนในยุคของท่านเท่านั้น
ธรรมะที่ท่านสอนเผื่อแผ่มาจนถึงยุคของเรา
คือการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
การดูจิตดูใจของเรานี่ล่ะ
มันเหมาะกับคนที่ทำงานที่ต้องคิดทั้งวัน
1
ฉะนั้นเราก็หัดทุกวันๆ ตั้งอกตั้งใจไว้ศีล 5 ต้องรักษา
แบ่งเวลาไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
ทำให้ได้ทุกวันจิตจะได้มีกำลัง
แล้วถ้าเก่งจริงก็เจริญปัญญาในฌาน
ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เสียใจ
ทำสมาธิให้จิตมีเรี่ยวมีแรง ตั้งมั่นเด่นดวง
เกิดผู้รู้ขึ้นมาโดยไม่ต้องรักษาไว้
จิตทรงตัวเป็นจิตผู้รู้โดยไม่ต้องรักษา
ทำได้ ฆราวาสก็ทำได้
หลวงพ่อทำได้ตั้งแต่เป็นโยม
จิตที่เป็นผู้รู้ ไม่ได้เจตนาให้มันเกิด
อาศัยการที่เราฝึกทุกวันๆ มันเกิดเอง
1
หลวงปู่สิม ท่านไม่รู้จักชื่อหลวงพ่อ
ท่านเรียกหลวงพ่อเป็นฉายาว่าผู้รู้
ผู้รู้ๆ ทำอย่างนี้ ผู้รู้อย่าทำอย่างนี้
คนงง เพื่อนๆ ไปด้วยกันทำไมท่านเรียกหลวงพ่อว่าผู้รู้
หลวงพ่อรู้อะไร หลวงพ่อรู้ตัว
หลวงพ่อรู้สึกตัวไม่ใช่มานั่งฟุ้งใจลอยทั้งวันเลย
นั่นมันผู้หลงไม่ใช่ผู้รู้
ฉะนั้นฆราวาสก็ทำได้ขอให้ตั้งใจจริงๆ เถอะ
ฝึกตัวเองทุกวันๆ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธไว้ก็ได้
หรือยืน เดิน นั่ง นอน คอยรู้สึกไปก็ได้
แล้วถ้าจิตมันหนีไปรู้ทันว่าจิตมันหนีไป
หายใจเข้าพุทออกโธ จิตมันหนีไปคิดเรื่องอื่นรู้ทันมัน
ตรงที่เรารู้ทันๆๆ ตัวรู้มันจะมีกำลังขึ้นมา
พอเรามีศีล เรามีการทำในรูปแบบ เราได้สมาธิที่ดีมาแล้ว
เราก็เจริญปัญญาอยู่ในชีวิตนี้ล่ะ
ตาเห็นรูป ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่จิตเรารู้ทัน
หูได้ยินเสียง ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่จิตเรารู้ทัน
ที่จริงความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดเฉพาะจิตหรอก
ที่กายมันก็เกิด อย่างเราเห็นหน้าคนนี้
ใจมันเกลียดขึ้นมาหน้าตาเราก็เปลี่ยน
เจอศัตรูคู่อาฆาตใจเต้นตุ้บๆๆ ร่างกายก็เปลี่ยน
เจอสาวสวยใจมันหื่นขึ้นมาหน้าตามันก็เปลี่ยน
บางคนเห็นหน้ารู้เลย ไอ้นี่ไอ้หื่นดูออกเลย
เพราะฉะนั้นจริงๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระทบอารมณ์
มันเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งกายทั้งใจ
ฉะนั้นถ้าเราดูความเปลี่ยนแปลงของใจไม่ได้
เรารู้ความเปลี่ยนแปลงของกายไว้ก็ได้
อย่างเวลาเราโกรธ
เราโกรธหน้าตาเราจะเปลี่ยนเป็นยักษ์
หน้าตาจะถมึงทึงน่าเกลียดขึ้นมา
ถ้าเราดูจิตไม่ออกว่าจิตโกรธ
ดูหน้าตัวเองกำลังเปลี่ยน หน้าตาหน้าบึ้งแล้ว
หรือตอนที่เราทำบุญใส่บาตร หน้าตาเราก็จะเปลี่ยน
จะยิ้มแย้ม เขาเรียกอะไร ต้องทำท่านี้ใช่ไหม
มันดูยิ้มมีความสุข
ฉะนั้นเวลาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์
ถ้าเห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตได้ก็เห็นไปเลย
ถ้ามองไม่ออกเห็นความเปลี่ยนแปลงของกายก็ยังได้
เอามันสักอย่างหนึ่ง
เห็นความเปลี่ยนแปลงของกายก็ได้ ของจิตก็ได้
ถ้าดูจิตได้ดูจิตไปเลย ถ้าดูจิตไม่ได้ดูกายไปก่อน
ต่อไปก็เห็นจิตชัด
อย่างบางคนดูจิตไม่ออก
โกรธเห็นหน้าตัวเองเป็นยักษ์แล้ว ไม่ต้องส่องกระจก
รู้ด้วยความรู้สึกตอนนี้หน้าตาโหดเหี้ยมมากแล้ว
พอเห็นหน้าอย่างนี้ ต่อไปมันรู้เลยนี้มันโกรธแล้ว
มันมาอีกช็อตหนึ่ง แล้วมันเห็นจิตที่โกรธได้ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์​ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
31 ธันวาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์ฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา