8 ม.ค. 2022 เวลา 14:02 • หนังสือ
📕
The power of Input
ศิลปะของการเลือก+รับ*รู้
ชิออน คาบาซาวะ เขียน
อาคิรา รัตนาภิรัต แปล
สำนักพิมพ์sandclock จัดพิมพ์
จบแล้ว เล่มแรกของปี 2022
ด้วยคำโปรย หนังสือแห่งการ เลือก+รับ รู้ ทำให้สนใจเป็นอย่าง เนื่องจากเป็นคนชอบอ่านและเป็นนักสะสมข้อมูล อยากรู้ว่าเขาจะพูดคุณนักเขียนจะพูดข้อดีเกี่ยวกับการinputยังไงบ้าง แต่พออ่านแล้วจริงๆไม่ได้เป็นอย่างนั้นซะหมด แถมยังมีวิจัยและทฤษฎีสนับสนุนอีกด้วย ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจทีเดียว
ขอแบ่งสรุปออกเป็นสองข้อใหญ่ๆ
ข้อแรก
เลือก รับน้อย ปล่อยมาก (input3---output7)
และ
ข้อสอง
รับ-->รู้ วิธีการในการรับให้น้อยแต่ได้ผลดีต้องทำอย่างไร
✳️ข้อแรก✳️
เลือก รับน้อย ปล่อยมาก
.
คนเรามักมีความเชื่อว่าต้องดูมีความโปรดักทีฟ ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ หาความรู้เยอะๆ อ่านร้อยเล่มต่อปี สองร้อยเล่มต่อปี แต่จริงๆ สิ่งที่เราควรจะโฟกัสมากกว่าคือความเอฟเฟคทีฟ
แต่ก่อนจะไปถึงความเอฟเฟคทีฟนั้น เราต้องเลือกสารที่จะinputที่ดีซะก่อน ทำยังไงได้บ้าง?
1.ตัด Input ที่ไม่ดีออกจากชีวิต
Inputที่ไม่ดีคืออะไร?
Input ที่ไม่ดีคือสิ่งที่เรารับแล้วไม่รู้สึกอะไร รับไปงั้นๆ เปิดฆ่าเวลาแบบผ่านๆ เช่น นั่งไถโซเชียลมีเดีย การทนอ่านหนังสือที่รู้สึกว่าไม่สนุกแต่ยังอ่านไม่จบ หรือการเปิดอะไรฟังระหว่างที่จะจดจ่อ เพราะมันทำให้สมองเราทำงานมากจนเกินไปแต่เราไม่รู้ตัว บางทีเราทำก็เพราะเสพติดโดปามีน
2.หา Input ที่มั่นใจได้ว่าดีสุดๆ
การคัดเลือก input ที่ดี นั้นมีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายที่สุดคือการหาวิธีที่สั้นที่สุดที่จะไปถึงinput ที่ดี เช่น หนังสือที่ได้รีวิวเยอะ หนังคลาสสิค พบปะคนที่เป็นคนน่าสนใจ เป็นต้น แบบนี้เราจะมั่นใจได้ว่าเราได้ input ที่ดีแน่นอน
3.อย่าละเลยการรับ input ที่ส่งเสริม emotion ที่ดี
หลายครั้งคนคิดว่าการอ่านหนังสือที่ไม่ได้มีcontentเช่น นิยาย ฟังเพลง ไปดูงานศิลปะ เป็นเรื่องเรื่อยเปื่อยและเสียเวลา หารู้ไม่ว่าการรับสารเหล่านี้จะกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึก ทำให้สมองหลั่งสารที่เกิดความคิดสร้างสรรค์ และบางครั้งเกิดความทรงจำหนักแน่นขึ้นได้
สื่อการสอนของเด็กจึงควรจะไม่ใช่อะไรน่าเบื่อ เพื่อกระตุ้นฮอร์โมน สร้างความทรงจำเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเรียนรู้
เรารู้สึกว่าข้อนี้สำคัญที่สุด เราควรจะรู้priorityและเป้าหมายที่ต้องการก่อน แล้วจึงทำสิ่งนั้น มีสติกับทุกสิ่งที่ทำในเวลาที่กำลังทำอยู่ แค่เอาเวลาออกจากโซเชียล แต่ละวันจะได้เวลามาคืนเยอะมากแล้ว หนังสือไม่ได้สอนให้เป็นคนเคร่งเครียด ทำแต่อะไรที่โปรดักทีฟสุดๆไปเลย แต่ได้ดื่มด่ำกับเวลาที่เราทำอะไรก็ตามที่เราอยากทำ และจดจำสิ่งดีๆเหล่านั้น เอามันไปใช้ได้นานๆและมากเท่าที่เราต้องการ
✳️ข้อสอง✳️
รับ-->รู้ วิธีการในการรับให้น้อยแต่ได้ผลดีต้องทำอย่างไร
การทำตัวเป็น active inputer ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การเรียน การฟัง การชม หรือการอะไรก็ตาม เมื่อเราตั้งใจจะ input อะไรแล้ว ขอให้จดจ่อกับมันให้ได้มากที่สุด
จะเป็น active inputer มีลำดับขั้นคือ
-ก่อนเริ่ม ถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรจากกิจกรรมนี้, เรามีโจทย์อะไรจากกิจกรรมนี้ ตัวอย่างหนึ่งที่ชอบมากจากหนังสือคือการเสพศิลป์ ซึ่งหลายๆครั้งเราจะเข้าพิพิธภัณฑ์ไปแบบอาร์ทๆ นัวๆ ดูรูปและว้าวกับดีเทล
ซึ่งก็ดูจะได้ฟีลดี แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งนั้น
แถมพอออกจากงานได้ไม่นานเราก็จำอะไรไม่ได้เลย
แต่ถ้าเราเปลี่ยนใหม่
ก่อนเข้าไป เราบอกตัวเองเลยว่า เราจะดูเรื่องสี แสง เงา เมื่อเข้าไปในงานแล้ว สมองจะส่งเสาสัญญาณบอกให้เราสังเกตสิ่งนั้นๆเอง
-ระหว่างกิจกรรม จดจ่อกับเนื้อหา... ไม่ใช่การบันทึก
✅จดจ่อกับเนื้อหา...
ทำอย่างไรถึงจะจดจ่อกับเนื้อหาได้ ข้อแรก อยู่ในที่ที่จดจ่อได้ดีที่สุด สภาพแวดล้อมต้องดี ถ้าเรียนหนังสือก็ควรอยู่ในที่ที่เงียบพอประมาณ ถ้าไปการแสดงสดความนั่งหน้าสุด (ที่เราไม่นั่งหน้า เพราะส่วนใหญ่เรากลัวโดนเรียกตอบคำถามโดยไม่ได้เตรียมพร้อมนั่นแหละ) ข้อสอง ใช้การถามตอบกับตัวเอง หากเป็นการอ่าน ควรอ่านแบบ skim scan ก่อนหนึ่งครั้ง เพื่อหาจุดที่น่าสนใจที่จะอ่าน และเมื่อไปงานบรรยายสดใช้การตั้งคำถามในใจประหนึ่งว่าเราเป็นนักข่าว แค่คิดคำถามเอาไว้ ก็ทำให้สมองได้ออกกำลังมากขึ้นแล้ว
❎ไม่ใช่การบันทึก
ในทางจิตวิทยา คนเราจำอะไรได้ไม่มากหรอกในหนึ่งครั้ง(ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการรับรู้ด้วย) การจดอะไรไปเยอะๆ ไม่ได้ช่วยให้เราจำได้มากขึ้น(ต้องจดจ่อต่างหาก) เราจึงควรบันทึกเฉพาะสิ่งสำคัญเท่านั้น เหมือนเป็นสรุปของเราที่จะทำให้เราสามารถย้อนถึงการฟังหรือการอ่านนั้นๆมากกว่า ส่วนในเวลาบรรยายก็input feelingและemotionเข้าไปเยอะๆ ยิ่งจะทำให้จำเหตุการณ์นั้นๆได้ดีกว่า
-หลังกิจกรรม
เวลานี้แหละเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการบันทึก และควรทำให้เร็วที่สุดหรือทำทันทีหลังจบกิจกรรม เพื่อเป็นการ 'รับรู้ครั้งที่สอง' ทำให้สมองจดจำได้ดียิ่งขึ้น
หากเราทำการ input เรื่องเดิม 3 ครั้ง ใน2สัปดาห์ ความทรงจำนั้นจะกลายเป็นความทรงจำระยะยาว
และการ input ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการบันทึกก้คือการสื่อสารกับผู้อื่น การสร้างเรื่องราวให้กับสิ่งที่เราจะจดจำจะทำให้ความทรงจำนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
ส่วนตัวเราว่าพฤติกรรมคล้ายคลึงที่สุดคือการไปดูหนังในโรง เราจัดเวลาของเรา ลองดูเทรลเลอร์ เกิดอารมณ์สนใจร่วม(รับรู้ครั้งที่1)และพาตัวเองไปในที่ที่เหมาะสม(โรงหนัง) หยุดทุกdistraction (ปิดมือถือ ไม่คุยกันเอง--ใครยังคุยกันเองก้ควรเลิกได้แล้วนะ) และสิ่งที่เราทำตอนดูหนังก็คือดูจริงๆ ไม่มีใครมานั่งจดเนื้อหา ฉากที่ประทับใจกันตอนดูหนัง เราอยากจะอินไปกับเรื่อง เพลง เสียงและภาพ(รับรู้ครั้งที่2) แล้วหลังจากนั้น เมื่อออกจากโรงนั่นแหละ เป็นเวลาที่เราจะคุยกับเพื่อน เม้า ถกเถียง ถึงฉากนู้นฉากนี้ ความประทับในแต่ละซีน(รับรู้ครั้งที่3) บางคนก็กลับมารีวิวหรือนั่งอ่านรีวิวของคนอื่นๆอีกที(รับรู้ครั้งที่4) การดูหนัง จึงเป็นวิธีที่ทำให้เราจำเรื่องราวได้ตราตรึง กับหนังบางเรื่อง ฉากบางฉาก เรายังจำสีหน้า บทพูดของตัวละครได้อยู่เลย
สรุปแล้ว หนังสือเล่มนี้ สอนให้รู้จักเลือกที่จะรับ เลือกที่จะรู้ ตามคำโปรยนั่นแล
🤔🤔🤔
หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร?
1.คนที่มีความเป็นนักเรียน คือคนที่ inputไปเพื่อทำอะไรสักอย่าง และต้อง input จำนวนมากและมีการ evaluate หลังการ input
2. คนที่ต้องการลดเวลาการ input ของตัวเอง
3. นักอ่านทุกท่านที่ต้องการพัฒนาการอ่าน (ไม่ว่าจะความเร็ว ความจำ การจับใจความ)
4. คนที่สนใจความสำคัญของ Input ทุกคน
ขอให้ทุกคนสนุกกับการ input ข้อมูลและหวังว่าจะได้รับการแบ่งปัน
โฆษณา