9 ม.ค. 2022 เวลา 02:56 • หนังสือ
ตัดบางส่วนของหนังสือ “ฝันร้ายในร่างกาย” The Body keeps the score
(brain, mind, and body in the healing of trauma)
เขียนโดย Bessel Van Der Kolk, M.D. แปลโดย ภัทร กิตติมานนท์
หน้าที่ 382 - 389 “ปะติดปะต่อชีวิต : ความเป็นผู้นำตนเอง” ในองค์ความรู้ของจิตวิทยาตัวตน IFS. (Internal Family System)
(ตอนแรก)
ปะติดปะต่อชีวิต : ความเป็นผู้นำตนเอง
มุนษย์นี้เป็นบ้านพักแขก ทุกเช้าจะมีผู้มาเยือนรายใหม่ ความสุข ความซึมเศร้า ความใจร้าย การตระหนักรู้ชั่วขณะเข้ามาในฐานะที่คาดไม่ถึง.. โปรดต้อนรับและรับรองทุกคน ปฏิบัติต่อแขกแต่ละคนให้สมเกียรติ ทั้งความคิดที่ดำมืด ความละอาย และความพยาบาท ไปพบพวกเขาที่ประตูด้วยเสียงหัวเราะ และเชิญพวกเขาเข้ามาข้างใน จงขอบคุณใครก็ตามที่มาเยือน เพราะแขกแต่ละคนต่างถูกส่งมาจากที่ไกลโพ้นในฐานะมัคคุเทศน์
รูมี
“เวลาที่สิ้นหวังก็ต้องใช้มาตรการที่สิ้นหวัง”
เราทุกคนต่างรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในยามที่เรารู้สึกขายหน้า เราใส่พลังงานทั้งหมดไปในการปกป้องตัวเอง เราพัฒนากลยุทธ์การเอาตัวรอดแบบใดก็ได้ที่เราทำได้ เราอาจสะกดกลั้นความรู้สึก เราอาจโกรธจัดและวางแผนที่จะแก้แค้น เราอาจตัดสินใจที่จะเป็นคนที่ทรงอำนาจและประสบความสำเร็จจนไม่มีใครสามารถทำร้ายเราได้อีก พฤติกรรมมากมายที่ถูกจัดเป็นปัญหาทางจิต เช่น ความหมกมุ่น ความหุนหันพลันแล่น ความตื่นตระหนกอย่างฉับพลัน รวมถึงพฤติกรรมทำร้ายตัวเองส่วนใหญ่ ล้วนเริ่มต้นจากการเป็นกลยุทธ์ในการปกป้องตัวเองทั้งสิ้น การปรับตัวเข้ากับบาดแผลทางใจอาจรบกวนความสามารถในการทำงานเป็นอย่างมาก จนผู้ให้บริการสุขภาพและตัวคนไข้เองก็มักจะเชื่อว่าการฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอย่างสมบูรณ์คือสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม
การมองอาการเหล่านี้ว่าเป็นความบกพร่องถาวร ได้จำกัดกรอบการรักษาเหลือเพียงการวางแผนใช้ยาที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งอาจนำไปสู่การพึ่งยาตลอดชีวิต เหมือนผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญเป็นคนไข้โรคไตที่ต้องฟอกไต
มันจะได้ผลกว่ามาก หากเรามองความก้าวร้าวหรืออาการซึมเศร้า ความหยิ่งผยองหรือความนิ่งเฉย ว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ ณ บางจุดในชีวิต ผู้ป่วยเกิดความเชื่อขึ้นมาว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาทรหด ล่องหน ไม่อยู่หรือปลอดภัยกว่าหากยอมแพ้ เช่นเดียวกับความทรงจำเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่จะยังคงบุกรุกเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะถูกฝังกลบ การปรับตัวจากบาดแผลทางใจก็จะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าองคาพยพของมนุษย์ผู้นั้นจะรู้สึกปลอดภัยและสามารถผสมผสานทุกส่วนของตัวมันเองซึ่งติดค้างอยู่ในการต่อสู้หรือการขจัดบาดแผลทางใจนั้น
2
ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญทุกคนที่ผมเคยพบฟื้นตัวได้ในแบบฉบับของตนเอง และเรื่องราวของพวกเขาทุกเรื่องก็ล้วนทำให้เราสะพรึงไปกับวิธีการรับมือ ด้วยความที่ผมรู้ว่าต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการเอาตัวรอดเช่นนั้น ผมจึงไม่แปลกใจเลยกับสิ่งที่พวกเขาต้องเสียไปเพื่อแลกมันมา นั่นคือการสูญเสียความสัมพันธ์อันดีกับร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของตนเอง
1
การรับมือส่งผลร้ายเสมอ สำหรับเด็กจำนวนมาก มันปลอดภัยกว่าที่จะเกลียดตัวเองแทนที่จะเอาความสัมพันธ์กับผู้ดูแลไปเสี่ยง ด้วยการแสดงความโกรธหรือการหนีไป ผลก็คือ เด็กที่ถูกล่วงละเมิดมักจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเชื่อว่าตนไม่น่ารัก นั่นคือหนทางเดียวที่จิตใจอันอ่อนเยาว์ของพวกเขาจะสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใด พวกเขาจึงได้รับการปฎิบัติที่เลวร้ายนัก พวกเขาเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยการปฏิเสธ การเพิกเฉย และการแยกความเป็นจริงก้อนใหญ่ออกเป็นส่วนๆ พวกเขาลืมการล่วงละเมิดกดข่มความเดือดดาลและสิ้นหวังเอาไว้ และทำให้ความรู้สึกทางกายด้านชา ถ้าคุณเคยถูกล่วงละเมิดตอนเป็นเด็ก คุณก็มีแนวโน้มที่จะมีส่วนที่เหมือนเด็กอยู่ภายในถูกแช่แข็งไว้ในกาลเวลา เป็นส่วนที่ยังคงยึดมั่นในความขยะแขยงตัวเองและการปฏิเสธเอาไว้
1
ผู้ใหญ่มากมายที่รอดชีวิตจากประสบการณ์เลวร้ายก็ติดอยู่ในกับดักเดียวกัน การผลักไสความรู้สึกอันเข้มข้นอาจทำให้ปรับตัวได้สูงในระยะสั้น มันอาจช่วยให้สามารถรักษาศักดิ์ศรีและความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ได้ มันอาจช่วยให้สามารถมีสมาธิจดจ่อกับภารกิจสำคัญ เช่น การช่วยเหลือเพื่อนร่วมรบ การดูแลลูก หรือการสร้างบ้านขึ้นมาใหม่
ปัญหาตามมาภายหลัง หลังจากที่เห็นเพื่อนถูกระเบิด ทหารคนหนึ่งอาจกลับมาใช้ชีวิตพลเรือนและพยายามผลักไสประสบการณ์นั้นออกไปจากจิตใจ ส่วนที่ทำหน้าที่ปกป้องของเขารู้ว่าจะทำงานให้ดีและปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้อย่างไร แต่เขาก็อาจระเบิดโทสะใส่แฟนสาวอยู่เป็นประจำ หรืออาจเกิดอาการด้านชาและตัวแข็งทื่อ เมื่อความสุขจากการยอมปล่อยใจตามสัมผัสจากเธอทำให้เขารู้สึกว่าตนกำลังสูญเสียการควบคุม เขาอาจไม่รู้ตัวว่าจิตใจของเขาได้ทำการเชื่อมโยงการยอมปล่อยตัวเช่นนั้นกับความรู้สึกว่าตัวเองตัวแข็งทื่อตอนที่เพื่อนของเขาถูกฆ่าเข้าด้วยกัน โดยอัตโนมัติ ส่วนที่คอยปกป้องอีกส่วนหนึ่งจึงก้าวเข้ามาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เขาโกรธ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาคิดว่าเขาโกรธเพราะสิ่งที่แฟนของเขาทำ แน่นอน ถ้าเขายังคงระเบิดอารมณ์ใส่เธอ (รวมทั้งแฟนคนต่อๆ มา) อยู่เรื่อยๆ
เขาก็จะยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขาอาจไม่ตระหนักว่าส่วนที่เป็นบาดแผลทางใจนั้นได้ถูกกระตุ้นด้วยการยอมปล่อยตัวโดยไม่ทำอะไร และอีกส่วนหนึ่ง ผู้จัดการที่โกรธ ก็ได้ก้าวเข้ามาปกป้องส่วนที่เปราะบางนั้น การบำบัดจะสามารถช่วยชีวิตผู้คนด้ด้วยการช่วยเหลือต่างๆ เหล่านี้ให้ละทิ้งความเชื่อสุดโต่งนั้น
อย่างที่เราได้เห็นในบทที่ 13 ภารกิจหลักของการฟื้นคืนจากบาดแผลทางใจคือการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับความทรงจำในอดีตโดยไม่ถูกมันครอบงำในปัจจุบันแต่ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญส่วนใหญ่ แม้แต่คนที่ทำหน้าที่ได้ดีในบางด้านของชีวิต กระทั่งยอดเยี่ยมด้วยช้ำ ก็ยังเผชิญกับความท้าทายอื่นที่ใหญ่โตกว่า นั่นคือการปรับแต่งระบบสมอง/จิตใจซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้รับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เช่นเดียวกับที่เราจำเป็นต้องกลับไปดูความทรงจำที่เป็นบาดแผลทางใจเพื่อที่จะรวบรวมมันเข้าด้วยกัน เราก็จำเป็นต้องกลับไปดูส่วนต่างๆ ภายในตัวเรา ซึ่งได้พัฒนานิสัยปกป้องตนเองที่เคยช่วยให้เรารอดชีวิตมาได้
1
จิตใจคือโมเสก
เราทุกคนมีชิ้นส่วนต่างๆ อยู่ ตอนนี้ส่วนหนึ่งของผมรู้สึกอยากงีบ แต่อีกส่วนก็อยากจะเขียนหนังสือต่อ ผมยังรู้สึกเจ็บใจอยู่จากที่ได้รับอีเมลโจมตี ส่วนหนึ่งของผมอยากจะกดปุ่ม “ตอบกลับ” เพื่อวิจารณ์เจ็บแสบกลับไป ในขณะที่อีกส่วนก็อยากทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย คนส่วนใหญ่ที่รู้จักผมจะเห็นส่วนที่จริงจัง จริงใจ และขี้หงุดหงิด บางคนอาจได้เห็นหมาตัวเล็กๆ แยกเขี้ยวขู่อยู่ภายในตัวผม ลูกๆ ของผมนึกถึงการไปเที่ยวกันในครอบครัวกับส่วนที่ขี้เล่นและรักการผจญภัยของผม
ตอนเช้าเมื่อคุณเดินเข้ามาในออฟฟิศและเห็นเมฆฝนกำลังก่อตัวอยู่เหนือศีรษะของหัวหน้า คุณย่อมรู้แน่นอนว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนที่โกรธมีลักษณะเฉพาะของโทนเสียง ศัพท์และท่าทาง ช่างแตกต่างจากเมื่อวานตอนที่คุณให้ดูรูปลูกๆ ของคุณ ส่วนต่างๆ นั้นไม่ใช่แค่อารมณ์ความรู้สึกแต่เป็นวิธีการแสดงตนที่แตกต่าง ซึ่งมีความเชื่อ วาระ และบทบาทที่แตกต่างของมันเองในระบบนิเวศโดยรวมของชีวิต
การที่เราจะเข้ากันกับตัวเองได้ดีแค่ไหน ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับทักษะความเป็นผู้นำภายใน คือเราทำได้ดีแค่ไหนในการรับฟังเสียงของส่วนต่างๆ สร้างความมั่นใจว่าส่วนเหล่านั้นรู้สึกว่าได้รับการดูแล และป้องกันไม่ให้แต่ละส่วนทำลายกันและกัน ส่วนต่างๆ มักจะดูเหมือนเป็นทั้งหมดที่สมบูรณ์ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในกลุ่มของความคิด อารมณ์ความรู้สึก และผัสสะที่สลับซับซ้อน ถ้าในระหว่างการทะเลาะกัน มาร์กาเร็ตตะโกนออกมาว่า “ฉันเกลียดคุณ!” โจก็อาจจะคิดว่าเธอรังเกียจเขาจริงๆ ซึ่งในขณะนั้น มาร์กาเร็ตก็อาจจะเห็นด้วย แต่ในความจริงมีเพียงส่วนหนึ่งของเธอเท่านั้นที่โกรธ และส่วนนั้นก็ได้บดบังความใจดีและความรู้สึกรักใคร่ของเธอเอาไว้ชั่วคราว ส่วนซึ่งอาจจะกลับมาเมื่อเธอเห็นความสะเทือนใจบนใบหน้าของโจ
สำนักจิตวิทยาที่สำคัญๆ ทุกสำนักยอมรับว่าคนเรามีบุคลิกภาพย่อย (Subpersonalities) และเรียกชื่อมันแตกต่างกันไป ในปี 1890 วิลเลียม เจมส์ เขียนว่า “เราต้องยอมรับว่า ..จิตสำนึกที่เป็นไปได้ทั้งหมดนั้นอาจแตกออกมาเป็นส่วนต่างๆ ที่ดำรงอยู่ร่วมกัน แต่ต่างคนต่างอยู่ และส่วนเหล่านี้ใช้สิ่งที่ถูกรู้ร่วมกัน” คาร์ล จุง เขียนว่า “จิตคือระบบควบคุมตัวเองที่จะคอยรักษาสมดุลเช่นเดียวกับที่ร่างกายทำ”
“สภาวะธรรมชาติของจิตมนุษย์นั้นประกอบขึ้นมาจากการกระทบกระทั่งกันขององค์ประกอบต่างๆ และจากพฤติกรรมที่ขัดแย้งขององค์ประกอบเหล่านี้” และ “การปรองดองของสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันเหล่านี้คือปัญหาใหญ่ ดังนั้นศัตรูจึงมิใช่ใครอื่นเลยนอกจาก “ความเป็นอื่นในตัวฉัน” ประสาทวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันความคิดที่ว่าจิตนั้นมีลักษณะเป็นสังคมแบบหนึ่ง ไมเคิล กาซซานิกา ผู้บุกเบิกการทำวิจัยภาวะสมองแยก (split-brain research) ได้สรุปว่าจิตใจประกอบด้วยโมดูลหรือส่วนจำเพาะต่างๆ ที่ทำงานกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งแต่ละหน่วยมีบทบาทพิเศษของตนเอง
ในหนังสือของเขา The Social Brain (1985) กาซซานิกาเขียนว่า “แล้วความคิดที่ว่าตัวตนนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่รวมเป็นหนึ่ง และในตัวเราอาจมีจิตสำนึกอยู่หลายห้วงก็ได้คืออย่างไร .. จากงานวิจัย (ภาวะสมองแยก) ของเรา เกิดความคิดใหม่ขึ้นมาว่าตัวตนมีอยู่หลายตัวตนอย่างแท้จริง แต่ละตัวตนไม่จำเป็นต้อง “สนทนา” กันอยู่ภายใน” มาร์วิน มินสกี นักวิทยาศาสตร์จาก MIT ผู้บุกเบิกปัญญประดิษฐ์ กล่าวว่า “ตำนานเรื่องตัวตนหนึ่งเดียวมีแต่จะทำให้เราเบี่ยงเบนออกจากเป้าหมายของการสืบค้นนี้ … เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะคิดว่าในสมองของเรามีสังคมของจิตที่แตกต่างกันดำรงอยู่เหมือนสมาชิกของครอบครัว จิตที่แตกต่างเหล่านี้ สามารถทำงานร่วมกันเพื่อช่วยเหลือกัน และแต่ละจิตยังคงมีประสบการณ์เป็นของตัวเองซึ่งจิตอื่นๆ ไม่มีวันรู้”
นักบำบัดที่ได้รับการฝึกฝนให้มองผู้คนในฐานะมนุษย์ที่สลับซับซ้อน มีบุคลิกภาพและศักยภาพที่หลากหลาย สามารถช่วยพวกเขาสำรวจระบบของส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายใน และดูแลส่วนที่บาดเจ็บของพวกเขาได้ วิธีการรักษาดังกล่าวมีหลายวิธี รวมถึงโมเดลความแตกแยกของจิตเชิงโครงสร้าง (structural dissociation model) ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยเพื่อนร่วมงานชาวดัตช์ของผม ออนโน แวด เดอ ฮาร์ต, เอลเลิร์ต นิเยนฮูส และเคธี สตีล จากแอตแลนต้า ซึ่งเป็นโมเดลที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในยุโรป และก็ยังมีงานของริชาร์ด คลัฟท์ ในสหรัฐอเมริกาด้วย
ยี่สิบปีหลังจากที่ผมบำบัดแมรี่ ผมได้พบกับริชาร์ด ชวาร์ต ผู้คิดค้นการบำบัดแบบระบบครอบครัวภายใน (internal family system - IFS.) งานของชวาร์ตทำให้อุปลักษณ์ “ครอบครัว” ของมินสกีมีชีวิตขึ้นอย่างแท้จริงสำหรับผม และได้ให้แนวทางอันเป็นระบบในการทำงานกับส่วน (pat) ต่างๆ ที่แตกแยกซึ่งเป็นผลมาจากบาดแผลทางใจ หัวใจของ IFS คือความคิดที่ว่า จิตใจของพวกเราแต่ละคนนั้นเป็นเหมือนครอบครัวซึ่งสมาชิกแต่ละคนจะมีวุฒิภาวะ ความไวต่อการกระตุ้น ปัญญา และความเจ็บปวดในระดับที่แตกต่างกัน ส่วนเหล่านี้เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายหรือระบบ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในส่วนหนึ่งจะส่งผลต่อส่วนอื่นๆ ทั้งหมด
โมเดล IFS ได้ช่วยให้ผมตระหนักว่าภาวะจิตแตกแยกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในบาดแผลทางใจ ระบบตัวตนพังทลายลง และส่วนต่างๆ ของตัวตนจะแบ่งขั้วและต่อสู้กัน ความรังเกียจตัวเองเกิดร่วม (และต่อสู้) กับความหลงตัวเอง ความห่วยใยกับความชิงชัง ความด้านชาและความนิ่งเฉยกับความโกรธและความก้าวร้าว ส่วนที่สุดโต่งเหล่านี้ล้วนแบกภาระของบาดแผลทางใจเอาไว้
ใน IFS ถือว่าส่วนหนึ่งไม่ใช่สภาวะอารมณ์ที่ผ่านเลยไปหรือแบบแผนความคิดที่เป็นนิสัย แต่เป็นระบบของจิตที่แตกต่างกันซึ่งมีประวัติความเป็นมา ความสามารถ ความต้องการ และโลกทัศน์เป็นของตัวเอง บาดแผลทางใจได้ใส่ความเชื่อและอารมณ์ความรู้สึกลงไปในส่วนเหล่านี้ และบีบบังคับมันให้ออกจากสภาพที่มีคุณค่าตามธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น เราทุกคนต่างมีส่วนที่เหมือนเด็กและสนุกสนาน แต่เมื่อเราถูกล่วงละเมิด ส่วนเหล่านี้จะเจ็บปวดที่สุด มันจะแช่แข็ง แบกรับความเจ็บปวด ความหวาดกลัว และการถูกทรยศจากการถูกล่วงละเมิดเอาไว้ ภาระที่แบกไว้นี้ทำให้พวกมันเป็นพิษ เป็นส่วนของตัวเราที่เราต้องปฏิเสธให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่พวกมันถูกกักขังไว้ภายใน IFS จึงเรียกส่วนเหล่านี้ว่า “ผู้ถูกเนรเทศ” (the exiles)
ณ จุดนี้ ส่วนอื่นๆ จะรวมตัวกันเข้ามาปกป้องครอบครัวภายในจากการถูกเนรเทศ ผู้พิทักษ์เหล่านี้จะกันส่วนที่เป็นพิษออกไป แต่ในการทำเช่นนั้นต้องใช้พลังงานบางส่วนของผู้ล่วงละเมิด “ผู้จัดการ” (managers) ที่ช่างติและมีลักษณะบ้าความสมบูรณ์แบบมั่นใจได้ว่าเราจะไม่เข้าไปใกล้ชิดใครมากเกินไป หรือกดดันให้เราขยันทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้พิทักษ์ซึ่ง IFS เรียกว่า “นักดับเพลิง” (firefighters) คือส่วนที่จะออกมาตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ลงมืออย่างขาดความยั้งคิด เมื่อใดก็ตามที่เราประสบสิ่งที่มากระตุ้นอารมณ์ที่ถูกเนรเทศ
1
แต่ละส่วนที่แตกแยกออกไปนั้นต่างมีความทรงจำ ความเชื่อ และความรู้สึกทางกายที่แตกต่างกัน บ้างมีความละอาย บ้างมีความโกรธแค้น บ้างก็มีความสุขและความตื่นเต้น ในขณะที่บางส่วนมีความเหงารุนแรนหรือการยอมตามอย่างน่าเวทนาทั้งหมดนี้เป็นแง่มุมต่างๆ ของประสบการณ์การถูกล่วงละเมิด ความเข้าใจที่สำคัญมากก็คือ ทุกส่วนต่างมีหน้าที่อย่างหนึ่ง นั่นคือ ปกป้องตัวตนจากความรู้สึกหวาดกลัวการทำลายล้างสุดขีด
เด็กที่แสดงความเจ็บปวดออกมาแทนที่จะขังมันไว้ภายใน มักจะถูกวินิจฉัยว่ามี “พฤติกรรมดื้อต่อต้าน” “โรคขาดความผูกพัน” (attachment diorder) หรือ “โรคความประพฤติผิดปกติ” (conduct disorder) แต่ฉลากเหล่านี้ละเลยความจริงที่ว่า ความโกรธและการเก็บตัวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะเอาชีวิตรอด ความพยายามที่จะควบคุมพฤติกรรมของเด็กขณะที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งก็คือการล่วงละเมิด จะนำไปสู่การรักษาที่อย่างดีสุดก็ไม่ได้ผลหรือ แย่สุดก็ให้โทษ เมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้น ส่วนต่างๆ ของพวกเขาจะไม่ผสมผสานกันเข้าเป็นบุคลิกภาพที่สอดคล้องเชื่อมโยงกัน แต่จะยังคงอยู่อย่างค่อนข้างเป็นอิสระจากกัน
ส่วนที่ “ออกมาข้างนอก” อาจไม่รับรู้เลยว่ามีส่วนอื่นอยู่ในระบบ ผู้ชายส่วนใหญ่ที่ผมเคยตรวจ จากกรณีการถูกบาทหลวงคาทอลิกลวนลามในวัยเด็ก ต่างใช้สเตียรอยด์และเข้ายินยกลูกเหล็ก นักเพาะกายที่มีแรงผลักดันทางใจเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมความเป็นชายที่มีแต่หยาดเหงื่อ ฟุตบอล และเบียร์ ที่ความอ่อนแอและความกลัวถูกปกปิดไว้อย่างระมัดระวัง ตอนที่พวกเขารู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับผลแล้วเท่านั้น ผมจึงได้พบกับเด็กน้อยที่หวาดกลัวซึ่งอยู่ภายใน
ผู้ป่วยเองก็อาจรู้สึกไม่ชอบส่วนที่ออกมาข้างนอก ส่วนที่โกรธ ชอบทำลาย ช่างจำผิด แต่ IFS จะช่วยให้กรอบในการทำความเข้าใจส่วนเหล่านี้ และที่สำคัญอีกประการคือวิธีการพูดคุยถึงส่วนเหล่านี้โดยไม่มองว่าเป็นสิ่งผิดปกติ การยอมรับว่าแต่ละส่วนนั้นติดอยู่กับภาระจากอดีต และเคารพบทบาทหน้าที่ของมันในระบบโดยรวม จะช่วยให้รู้สึกถูกคุกคามหรือครอบงำน้อยลง
อย่างที่ชวาร์ตได้กล่าวไว้ว่า “หากเรายอมรับความคิดพื้นฐานที่ว่าคนทุกคนต่างมีแรงขับภายในที่จะดูแลสุขภาพของตนเอง หมายความว่า เมื่อคนเราเกิดปัญหาเรื้อรัง แสดงว่ามีบางอย่างขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าถึงทรัพยากรภายใน เมื่อยอมรับเช่นนี้ บทบาทของนักบำบัดจึงเป็นการทำงานร่วมกับเรามากกว่าจะสอน เผชิญหน้าหรือการเติมเต็มช่องว่างทางจิตให้เรา” ก้าวแรกของการทำงานร่วมกันคือการสร้างความมั่นใจให้ระบบภายในว่าทุกส่วนจะได้รับการต้อนรับ และทุกส่วน แม้แต่ส่วนที่มีความคิดทำลายล้างหรือความคิดฆ่าตัวตาย ล้วนถูกสร้างขึ้นมาด้วยความพยายามที่จะปกป้องระบบตัวตน ไม่ว่า ณ ตอนนี้จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่คุกคามระบบดังกล่าวอยู่มากเพียงใดก็ตาม
บันทึกโดย ญาดา
ปล. รอติดตามอีก 2 ตอนนะคะ
โฆษณา