11 ม.ค. 2022 เวลา 06:04 • ดนตรี เพลง
หลังจากการจากไปของ Michael Jackson ในปี 2009...สิ่งหนึ่งที่มีคนพูดถึงกันอยู่เรื่อยๆก็คือ "ใครจะก้าวขึ้นมาเป็น Michael Jackson คนต่อไป?" นั่นเองครับ...เพราะว่าในช่วงยุค 2000s เป็นต้นมา ก็มีศิลปินชายหลายต่อหลายคนที่เดินตามรอยความสำเร็จของ ราชาเพลง pop ตลอดกาลผู้นี้...แต่กลับไม่มีใครที่ยืนระยะได้ยาวนานเลย...
จนเข้าสู่ยุค 2010s มานั้น...ดูเหมือนว่าจะมีอยู่เพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่มีความชัดเจนทั้งในด้านความสำเร็จ อีกทั้งยังมีสไตล์ของเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ และ มีความใกล้เคียงที่จะขึ้นมาเป็น "Michael Jackson คนต่อไป" ได้มากที่สุดแล้ว...
Bruno Mars และ The Weeknd นั่นเอง...
จริงๆมันก็ไม่ได้เป็นการแข่งขันอะไรกันโดยตรงหรอกนะครับคู่นี้ เพียงแต่ด้วยผลงานที่ออกมาตลอดนั้น มันก็อดที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้จริงๆ...เพราะว่าทั้งคู่ที่อยู่ในวัย 30 เหมือนกันนั้นต่างก็เติบโตมาใช่ช่วงเวลาที่เพลงของ MJ ครองโลกกันอยู่...และผลงานเพลงหลายๆเพลงของทั้งคู่ก็มีกลิ่นอายและสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าได้รับอิทธิพลมาจาก MJ กันพอสมควร...(โดยเฉพาะ The Weeknd ตอนที่มาดังเปรี้ยงตอนแรกๆนี่มีคนแซวว่าเป็น ไมเคิลหัวสัปปะรด กันเลยด้วยซ้ำครับ เพราะว่าทรงผมของพี่แกในช่วงนั้นนั่นแหละ...^_^)
และในช่วงหลังๆนี้ งานเพลงของทั้งคู่ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น และก็ดันเลือกทำเพลงที่มีกลิ่นอายเพลงยุคก่อนๆเหมือนกันอีกด้วย...ซึ่งล่าสุดนั้นทาง Bruno Mars ไปฟอร์มวง Silk Sonic ทำเพลงย้อนลึกไปยุค 70's กันแล้ว...โดยเฉพาะเพลงอย่าง Skate ที่แทบจะเป็นร่างทรงของเพลง Rock With You ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของ MJ ในยุคแรกๆเลยด้วยซ้ำครับ (ลองเปิดฟังเทียบกันดูนะครับ...โครงสร้างเพลงแทบจะแบบเดียวกันเลย ^_^)...ในขณะที่ผลงานของ The Weeknd นั้นจะมีกลิ่นอายของยุค 80's ชัดเจนกว่า โดยเฉพาะเพลงฮิตโคตรๆเพลงล่าสุดอย่าง Blinding Lights เหมือนเป็นการปลุกให้แนวเพลง synthwave ตื่นขึ้นมาในยุคนี้กันอีกครั้งเลยทีเดียว...
และล่าสุดครับ...The Weeknd ก็กลับมากับอัลบั้มใหม่ที่เป็น studio album ชุดที่ 5 อย่าง Dawn FM ที่ถือว่าออกมาค่อนข้างเร็วเลยสำหรับศิลปินเบอร์ใหญ่ๆในยุคปัจจุบันนี้ เนื่องจากอัลบั้มที่แล้วอย่าง After Hours มันเพิ่งจะวางแผงไปเมื่อเดือนมีนาคม 2020 นี่เอง...อัลบั้ม Dawn FM นี้ถือว่ามาเร็วเลยนะครับ แค่ 2 ปีเอง...โดยที่อัลบั้มนี้มีคอนเซปต์ที่น่าสนใจอย่างการวางตัวเองให้เป็น คลื่นวิทยุ 103.5 Dawn FM ที่มีดีเจคอยควบคุมรายการ ซึ่งก็ได้นักแสดงตลกชื่อดังอย่าง Jim Carrey มาพูดเป็นดีเจในแบบที่ไม่คิดว่าจะได้ฟังเสียงเฮียแกพูดในรูปแบบนี้ด้วยซ้ำ...
และด้วยการที่วาง concept album ให้เป็นคลื่นวิทยุ นั้นก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดพอสมควรนะครับ เพราะว่ามันสามารถใส่ลูกเล่นอะไรได้หลายอย่างให้น่าสนใจ และมันสามารถวางตำแหน่งของเพลงให้ต่อเนื่องกันได้อย่างที่ต้องการด้วย...ซึ่ง Dawn FM ก็ใช้จุดนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และ คุ้มค่าเลยนะครับ ทั้งการที่วางตำแหน่งเพลงกันเป็นเซ็ตๆและเชื่อมต่อระหว่างเพลงและระหว่างเซ็ตได้อย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด ซึ่งดีเจสมัยก่อนนั้นหลายๆคนเลยที่มีความสามารถในการ "ต่อเพลง" ให้เนียนๆได้แบบนี้ (แต่คลื่นวิทยุสมัยนี้ผมแทบจะไม่ได้ยินคลื่นหลักๆคลื่นไหนที่มี ดีเจ คอย "ต่อเพลง" กันเนียนๆแบบสมัยก่อนแล้วแฮะ) รวมทั้งมีการแทรก jingle แทรก spot สั้นๆ และมันมีแม้กระทั่ง โฆษณา!!! ซึ่งเป็นตัวช่วยในการเปลี่ยนผ่านเพลงให้รู้สึกต่อเนื่องและไม่สะดุดได้เป็นอย่างดี...แนะนำว่าควรฟังอัลบั้มนี้กันแบบรวดเดียวไม่ข้าม track นะครับ...
ซึ่งสไตล์เพลงใน Dawn FM นั้นก็ยังคงมีกลิ่นอายของเพลงแบบ 80's synthpop กันชัดเจนอยู่เช่นเคย แถมยังมีแทรก rap บ้างในบางเพลงและ electronic funk ที่ทำให้เราอดคิดถึง Daft Punk กันไม่ได้จริงๆ...แต่เพลงที่สะดุดหูผมที่สุดจาก 16 track ในอัลบั้มนี้ ก็คือ Out of Time...
จริงๆแล้ว ก่อนจะพูดถึงเพลงนี้ ก็คงต้องพูดถึง track ก่อนหน้าอย่าง A Tale By Quincy ซึ่งเป็นลูกผสมของการเป็น spot สั้นๆที่เล่าเรื่องราวอะไรให้ฟังกัน อารมณ์แบบเดียวกับช่วง สาระน่ารู้ ที่คลื่นวิทยุบางคลื่นก็มีเหมือนกัน สั้นๆประมาณ 2-3 นาที...กับการเป็น interlude เพื่อเข้าสู่เพลงถัดไปอย่าง Out of Time นั่นเอง...ซึ่ง track นี้ก็ได้สุดยอดตำนาน producer อย่าง Quincy Jones ผู้ที่สร้างผลงานระดับตำนานไว้มากมาย โดยเฉพาะ Off The Wall และ Thriller ซึ่งเป็น 2 อัลบั้มขึ้นหิ้งของ Michael Jackson มาเป็น ไลฟ์โค้ช เล่าเรื่องราววัยเด็กและความสัมพันธ์ให้ฟังกันนะครับ...เหมือนกับอัลบั้ม Random Access Memories ในปี 2013 ของ Daft Punk ที่มี track เจ๋งๆที่ชื่อว่า Giorgio by Moroder ที่ให้พ่อมดเพลงแนว electronic มาเล่าเรื่องราวของตัวเองนั่นแหละครับ...
และต่อเนื่องมาที่ Out of Time...ซึ่งสะดุดหูกับเพลงที่มีความเป็น city pop ค่อนข้างสูง...และเมื่อไล่ดู credit ทีมทำเพลงนี้ก็จะเห็นชื่อแปลกๆโผล่มา 1 ราย คือ Tetsuro Oda ซึ่งเป็นศิลปินในตำนานของญี่ปุ่น...พอลองคุ้ยหาข้อมูลไปเรื่อยๆก็จึงได้พบว่า...เพลง Out of Time นี้ เป็นการ sampled มาจากเพลง city pop อย่าง Midnight Pretenders ของ Tomoko Aran ที่ออกมาในปี 1983 ซึ่งตัวลุง Tetsuro Oda เป็นคนแต่งทำนองเพลงนี้นั่นเอง...
และเมื่อ The Weeknd ได้เอาเพลง Midnight Pretenders มาทำใหม่...ก็ได้ใส่ความเป็น 80's แบบสากลเข้าไป...โดยเฉพาะ กลิ่นอายของ MJ ในยุคนั้น ที่ออกมาชัดเจนมากๆในเพลงนี้...และด้วยเหตุนี้เลยอาจจะเป็นสาเหตุให้มีการทำ A Tale By Quincy ออกมาเพื่อเป็นการเกริ่นนำเข้าเพลงก็เป็นได้ เพราะอย่างที่บอกว่ามันมีความเป็นเพลงของ MJ ในยุคที่ Quincy Jones เป็น producer ใหญ่ค่อนข้างชัดเจนมากๆ บางช่วงนั้นฟังแล้วแอบนึกถึงฟีลแบบเพลง Human Nature กันเบาๆ...การชวนปู่ Q (ที่ตัว MJ เคยเล่าไว้ว่า ที่มีของชื่อนี้ มาจากการทื่ปู่ Quincy Jones แกชอบทาน บาร์บีคิว นั่นเอง) มาร่วมงานในครั้งนี้ ก็เลยเป็นอะไรที่พอเหมาะลงตัวอย่างยิ่ง...
และการรวมกันของ city pop กับ 80's pop ในเพลงนี้มันก็ช่างกลมกล่อมยิ่งนัก...แม้ว่าเนื้อเพลงมันจะแอบเศร้าหน่อยๆก็ตาม...แต่ตัวเพลงมันก็เหมาะกับการฟังแบบชิลล์ๆที่สุดในอัลบั้มนี้แล้ว...และยังมีการแทรกด้วยเสียง ดีเจ Jim Carrey ที่มาพูดปิดเพลงและเกริ่นเข้าสู่เพลงต่อไปที่จะเป็นการปิดเซ็ตที่สองในอัลบั้มนี้อย่าง Here We Go... Again ที่ได้อีกตำนานในวงการเพลงอย่าง Bruce Johnston จากวง The Beach Boys มาร่วมทำเพลงนี้อีกด้วยครับ...
สรุป : Out of Time เป็นการนำเพลงแนว city pop ของญี่ปุ่น มาใส่สไตล์ 80's แบบอเมริกันเข้าไปจนทำให้มันลงตัวมากๆ...จริงๆแนะนำว่าอัลบั้ม Dawn FM นี้ควรที่จะฟังแบบต่อเนื่องกันไปเลยจะดีที่สุด เพราะว่าทุกเพลงมีการวางตำแหน่งและเชื่อมต่อได้อย่างลงตัวในแบบที่คลื่นวิทยุดีๆจะจัดให้ได้ฟังกัน...และ A Tale By Quincy กับ Out of Time มันต้องฟังต่อเนื่องกันจริงๆครับ!!! หวังว่าเพลงนี้จะได้ตัดเป็น promotional single กับเขาด้วยนะ...
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ The Weeknd ได้ประกาศให้รับรู้กันว่า เขาเหมาะสมที่จะเป็น "The Next Michael Jackson" กันแค่ไหน...
โฆษณา