15 ม.ค. 2022 เวลา 10:48 • ประวัติศาสตร์
“เอ. เอ. มิลน์ (A.A. Milne)” ผู้รังสรรค์ “วินนีเดอะพูห์ (Winnie-the-Pooh)”
2
เชื่อว่าหลายคนรู้จัก “วินนีเดอะพูห์ (Winnie-the-Pooh)” เป็นอย่างดี
นิทานเด็กเรื่องนี้โด่งดังไปทั่วโลก และเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้
หากแต่เรื่องราวของ “เอ. เอ. มิลน์ (A.A. Milne)” นักเขียนผู้สร้างสรรค์นิทานเด็กชื่อก้องโลกนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
วินนีเดอะพูห์ (Winnie-the-Pooh)
บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับเขาครับ
“อลัน มิลน์ (Alan Milne)” เป็นเด็กน้อยวัยสองขวบครึ่งจากประเทศอังกฤษ และมักจะเล่นกับ “แบร์รี (Barry)” และ “เคน (Ken)” พี่ชายวัยห้าขวบและสี่ขวบ
เอ. เอ. มิลน์ (A.A. Milne)
หากแต่ถึงจะเด็ก แต่อลันก็ฉลาด สามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าพี่ๆ
อลันเกิดที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1882 (พ.ศ.2425) โดยมีแม่เป็นอาจารย์ และมีพ่อเป็นเจ้าของโรงเรียนชายล้วนที่ชื่อว่า “เฮนลีย์เฮาส์ (Henley House)”
ครอบครัวมิลน์นั้นให้ความสำคัญกับการศึกษามาก แม้แต่ที่พักของครอบครัว ก็คือตึกที่ใช้เป็นอาคารเรียน
“จอห์น มิลน์ (John Milne)” ผู้เป็นพ่อนั้นเป็นอาจารย์ที่ใจดีและทุ่มเทให้ลูกศิษย์ เขาต้องการให้นักเรียนเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องรู้สึกสนุกที่สุดด้วย
ในเวลานั้น เด็กชายเริ่มเข้าโรงเรียนเมื่อมีอายุได้เจ็ดขวบ ซึ่งรวมถึงเคนและแบร์รี หากแต่อลันนั้นพร้อมเข้าเรียนตั้งแต่อายุเพียงหกขวบ
สามพี่น้องนั้นตั้งใจเรียนและเป็นนักเรียนที่ดี แต่อลันนั้นฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้อง
อลันนั้นตื่นเต้นที่จะได้เข้าเรียนพร้อมกับพี่ชาย โดยเฉพาะกับเคน ซึ่งเป็นพี่ชายที่อลันสนิทและนับถือ
อลันและเคนนั้นสนิทกันมาก มักจะตัวติดกันเสมอ
ผู้เป็นพ่อนั้นก็คอยกวดขันเรื่องเรียนแก่ลูกๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ส่งเสริมให้ลูกๆ ออกไปเล่นนอกบ้าน เปิดหูเปิดตาให้ได้เยอะที่สุด
พี่น้องตระกูลมิลน์มักจะเดินทางไกล ขี่จักรยาน และปลดปล่อยจินตนาการของตนออกมาเต็มที่
ขณะมีอายุได้เจ็ดขวบ ได้มีอาจารย์สอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์คนใหม่มาสอนที่เฮนลีย์เฮาส์
อาจารย์ผู้นี้คือ “เอช. จี. เวลล์ส (H.G. Wells)” ซึ่งในเวลาต่อมา ได้กลายเป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง
เอช. จี. เวลล์ส (H.G. Wells)
เวลล์สนั้นสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ให้แก่พี่น้องตระกูลมิลน์ และทำให้อลันตกหลุมรักในตัวเลข
แต่คณิตศาสตร์ไม่ใช่สิ่งเดียวที่อลันสนใจ ที่โรงเรียนนั้น ยังมีการทำนิตยสารของโรงเรียน และขณะที่มีอายุได้เก้าขวบ อลันก็เริ่มเขียนบทความลงนิตยสารของโรงเรียน โดยบทความที่เขียน ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการละเล่น ทั้งปีนต้นไม้ วิ่งตามผีเสื้อ และเดินเล่นในป่าลึก
การเขียนทำให้อลันได้ใช้จินตนาการ และทำให้เขาเริ่มตกหลุมรักการเขียนอีกด้วย
ในเวลาต่อมา เคนได้ทุนไปศึกษาต่อยังโรงเรียนเวสต์มินสเตอร์ (Westminster School) และต้องจากอลัน ผู้เป็นน้องชาย
โรงเรียนเวสต์มินสเตอร์ (Westminster School)
อลันนั้นรู้สึกเหงาและเศร้าที่ต้องจากผู้เป็นพี่ เขาจึงขอพ่อกับแม่ไปเรียนกับเคน
แต่อลันนั้นอายุน้อยเกินกว่าที่จะเข้าศึกษาในโรงเรียนเวสต์มินสเตอร์ และพ่อแม่ของเขาก็ไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเสียอลัน
แต่อลันก็ตั้งใจว่าจะต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนเวสต์มินสเตอร์ให้ได้ ดังนั้น เขาจำเป็นต้องได้ทุนการศึกษาเหมือนกับเคน
อลันจึงตั้งใจอ่านหนังสือ และก็สอบผ่านขณะที่มีอายุเพียง 11 ขวบ และทำให้เขาเป็นนักเรียนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ทุนทางด้านคณิตศาสตร์ ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเวสต์มินสเตอร์
อลันนั้นตื่นเต้นดีใจ สิ่งที่ดีที่สุด คือการได้ไปเจอกับเคน ผู้เป็นทั้งพี่ชายและเพื่อนสนิท
ที่โรงเรียนใหม่ อลันก็ยังคงรักการเขียน หากแต่ที่โรงเรียนเวสต์มินสเตอร์นี้ไม่ได้มีคลาสเรียนสำหรับการเขียนและศึกษาวรรณกรรมมากนัก ดังนั้น อลันจึงใช้เวลาส่วนมากขลุกอยู่ในห้องสมุด อ่านวรรณกรรมและบทละครของนักเขียนชื่อดังมากมาย
ถึงแม้จะได้ทุนการศึกษาด้านคณิตศาสตร์ แต่เขาก็รู้ตัวแล้วว่าตนเองนั้นชอบการอ่านและการเขียน
ค.ศ.1898 (พ.ศ.2441) เคนนั้นจบการศึกษาและต้องเริ่มฝึกงาน และเป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องเริ่มจะห่างกัน
อลันนั้นคิดถึงเคน แต่สองพี่น้องก็เขียนจดหมายหากันเสมอ และในจดหมายนี้ สองพี่น้องมักจะเขียนเรื่องตลกๆ และบทกลอน ซึ่งก็ทำให้อลันปิ๊งไอเดียขึ้นมา นั่นก็คืองานเขียนของตนน่าจะเหมาะสำหรับหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนเวสต์มินสเตอร์
วันหนึ่ง อลันได้ลองอ่านนิตยสาร “แกรนตา (Granta)” ซึ่งเป็นนิตยสารที่ตีพิมพ์โดยกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ (Cambridge University)
แกรนตาเป็นนิตยสารที่โด่งดังและได้รับการยอมรับในวงกว้าง และเนื้อหานั้นก็มีความหลากหลาย ตั้งแต่การเมืองไปจนถึงนวนิยาย
อลันไม่เคยอ่านนิตยสารอย่างนี้มาก่อน และเขาก็ชอบมากจนถึงขนาดอ่านกลับไปกลับมาหลายรอบ และเขาก็ตัดสินใจที่จะไปแคมบริดจ์และทำงานเป็นบรรณาธิการนิตยสารแกรนตา ซึ่งนี่จะเป็นเส้นทางให้เขาก้าวเดินสู่การเป็นนักเขียนเต็มตัว
แต่อลันก็ตระหนักได้ว่าพ่อแม่ของตนคงไม่มีเงินส่งตนไปศึกษายังแคมบริดจ์ แต่อลันก็มีเป้าหมายแล้ว และตั้งใจที่จะทำให้ฝันเป็นจริง
มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ (Cambridge University)
ครั้งแรกที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ อลันนั้นสอบไม่ผ่าน สร้างความผิดหวังให้อลัน แต่เขายังไม่ยอมแพ้
อลันได้ลองสอบอีกครั้ง และคราวนี้สอบผ่าน
ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) อลันก็ได้เข้าศึกษาในแคมบริดจ์ โดยมีความฝันที่จะเป็นบรรณาธิการนิตยสารแกรนตา
เมื่อเข้าศึกษายังแคมบริดจ์ อลันก็ได้ส่งบทกวีไปยังนิตยสารแกรนตา หากแต่ก็ถูกปฏิเสธ เนื่องจากบรรณาธิการของนิตยสารแกรนตาคิดว่าบทกวีของอลันไม่น่าสนใจ
อลันไม่ยอมแพ้และยังส่งงานเขียนไปยังนิตยสารแกรนตาอีกเรื่อยๆ และในที่สุด หนึ่งในบทกลอนที่อลันกับเคนช่วยกันแต่งก็ได้รับเลือกจากนิตยสารแกรนตา
แต่ถึงอย่างนั้น อลันก็รู้ว่าหากต้องการจะได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเขียนที่ดี เขาจำเป็นต้องมีผลงานตีพิมพ์มากกว่านี้
เมื่อมีอายุมากขึ้น อลันและเคนก็เริ่มจะห่างเหิน เนื่องจากเคนนั้นงานยุ่งเกินกว่าที่จะมาช่วยแต่งกลอนกับน้องชาย
แต่ถึงอย่างนั้นอลันก็ไม่สน เขายังคงเขียนงานต่อไป และในไม่ช้า งานเขียนของเขาจำนวนมากก็ได้รับการตีพิมพ์ลงนิตยสารแกรนตา ภายใต้นามปากกา “เอ. เอ. มิลน์ (A.A. Milne)” ซึ่งย่อมาจาก “อลัน อเล็กซานเดอร์ มิลน์ (Alan Alexander Milne)” ชื่อเต็มๆ ของอลัน
ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) อลันก็ได้รับจดหมายจากบรรณาธิการนิตยสารแกรนตา สร้างความตื่นเต้นให้อลัน
อลันใจเต้นแรง หรือว่านี่คือข่าวดีที่เขาเฝ้ารอมาเป็นเวลานาน?
ใช่จริงๆ ด้วย จดหมายนั้นเสนอให้อลันมาเป็นบรรณาธิการแทน ซึ่งอลันก็ตอบตกลงด้วยความดีใจที่ความฝันเป็นจริง
แต่ถึงอย่างนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาก็ได้เตือนอลันว่าเขาคงไม่มีเวลาพอสำหรับทั้งการเรียนและการเป็นบรรณาธิการ หากแต่อลันก็ไม่สนใจ และเชื่อมั่นว่าตนทำได้
ตอนนี้อลันเป็นบรรณาธิการแล้ว และก็ตั้งใจจะทำให้นิตยสารเป็นที่โด่งดังและได้รับการยอมรับมากกว่าเดิม ซึ่งในไม่ช้า ผู้คนก็อ่านนิตยสารแกรนตามากขึ้นเรื่อยๆ และนิตยสารก็โด่งดังขึ้นอย่างมาก เป็นไปตามความตั้งใจของอลัน
ในเทอมต่อมา อลันก็ได้รับจดหมายจาก “อาร์. ซี. เลอห์มานน์ (R.C. Lehmann)” ผู้ก่อตั้งนิตยสารแกรนตา
อาร์. ซี. เลอห์มานน์ (R.C. Lehmann)
เลอห์มานน์ได้บอกอลันว่าบรรณาธิการและนักเขียนจำนวนมากในลอนดอนต่างได้อ่านงานเขียนของอลัน และชื่นชมงานเขียนของอลันเป็นอย่างมาก สร้างความตื่นเต้นยินดีให้อลัน และคิดว่าบางที ตนอาจจะสามารถยึดอาชีพนักเขียนเพื่อเลี้ยงชีพได้
แต่สำหรับที่บ้านนั้น พ่อของอลันนั้นเป็นห่วงและกังวลที่ลูกชายทุ่มเวลาให้กับนิตยสารมากกว่าจะตั้งใจเรียน อีกทั้งยังคิดว่าอาชีพนักเขียนนั้นไม่มั่นคงและเสี่ยง
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เป็นพ่อก็เห็นถึงความมุ่งมั่นของลูกชาย และให้โอกาสลูก ด้วยการมอบเงินให้เป็นจำนวน 320 ปอนด์ ซึ่งเป็นเงินจำนวนที่จัดว่ามากในยุคนั้น ให้อลันใช้เงินนี้ตลอดหนึ่งปี หากเงินหมดเมื่อไรและอลันยังไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้ด้วยอาชีพนักเขียน อลันก็ต้องทิ้งความฝันเรื่องการเป็นนักเขียน
อลันทราบดีว่านี่คือโอกาสเดียวของตน หากแต่ก็พร้อมที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้
ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ อลันก็ได้ย้ายกลับไปลอนดอน และตั้งใจจะเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัว
แต่ดูเหมือนคนที่มีความฝันนี้จะไม่ใช่อลันเพียงคนเดียว มีคนอีกจำนวนมากที่พยายามจะให้งานเขียนของตนได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันนั้นสูงมาก
และถึงแม้งานเขียนของอลันจะได้รับการตีพิมพ์ แต่ส่วนมากก็ถูกปฏิเสธ ทำให้อลันเริ่มคิด บางทีพ่อของเขาอาจจะพูดถูกก็ได้
อลันนั้นสับสนและไม่แน่ใจในตนเอง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้
แผนต่อไปของอลัน นั่นคือหาทางให้งานของตนได้รับการตีพิมพ์ลงนิตยสาร “พันช์ (Punch)” ซึ่งเป็นนิตยสารขื่อดัง
นิตยสารพันช์
หากสำเร็จ ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าตนอาจจะสามารถสร้างชื่อในฐานะของนักเขียนชื่อดังได้
ในที่สุด เดือนพฤษภาคม ค.ศ.1904 (พ.ศ.2447) นิตยสารพันช์ก็ยอมตีพิมพ์บทกลอนของอลันลงนิตยสาร นั่นคืองานที่ชื่อว่า “The New Game”
ดูเหมือนโชคจะเริ่มเข้าข้างอลัน แต่หนทางของเขาก็ยังอีกยาวไกล เขาเข้ามาเป็นนักเขียนในลอนดอนได้เกือบปีแล้ว และเงินที่พ่อให้มาก็กำลังจะหมด ในขณะที่รายได้ก็ยังได้ไม่เท่าไร
คำถามคือ “เขาจะทำยังไงต่อ?”
การเขียนเรื่องสั้นและบทกลอนอาจจะสนุก แต่ไม่ได้ทำเงินให้อลันมากนัก หากเขาอยากจะไปรอดในเส้นทางนักเขียน เขาอาจจะต้องเริ่มเขียนหนังสืออย่างจริงจัง
เมื่อเป็นอย่างนี้ อลันจึงหันไปหา “เอช. จี. เวลล์ส (H.G. Wells)” ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของเขา และเวลล์สก็ได้แนะนำให้อลันเขียนหนังสือนิยาย
เอช. จี. เวลล์ส (H.G. Wells)
ค.ศ.1905 (พ.ศ.2448) หนังสือเล่มแรกของอลันได้รับการตีพิมพ์ นั่นคือเรื่อง “Lovers in London”
นับเป็นก้าวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมสำหรับอลัน ต่อไปนี้ เขาจะทุ่มเวลาให้กับการเขียนหนังสือ และพร้อมแล้วที่จะก้าวไปขั้นต่อไป ไม่อยู่กับนิตยสารพันช์เหมือนเดิม
อลันได้บอกกับบรรณาธิการนิตยสารพันช์ว่าต่อไป ตนจะไม่ส่งงานเขียนมาให้นิตยสารพันช์อีกต่อไปแล้ว แต่แทนที่นิตยสารพันช์จะยอมปล่อยอลันไป บรรณาธิการนิตยสารพันช์ได้เสนอตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการแก่อลัน และให้ค่าตอบแทนปีละ 250 ปอนด์ (หากตีเป็นเงินไทยและคิดตามค่าเงินปัจจุบัน จะอยู่ที่ประมาณ 1,050,000 บาท)
3
และในฐานะของผู้ช่วยบรรณาธิการ ไม่เพียงแต่อลันจะมีเงินใช้และงานที่มั่นคง แต่เขายังสามารถสร้างงานเขียนลงนิตยสารได้ทุกสัปดาห์อีกด้วย
ในไม่ช้า ผู้คนทั่วประเทศก็ได้อ่านงานเขียนของอลัน และอลันก็ได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยงต่างๆ มากมาย ได้พบกับคนดังในแวดวงต่างๆ และได้พบกับผู้ที่จะมาเป็น “คู่ชีวิต”
“โดโรธี เดอ เซลินคอร์ท (Dorothy de Sélincourt)” เป็นลูกบุญธรรมของเพื่อนอลันที่นิตยสารพันช์ และเป็นที่รู้จักในนามของ “ดาฟเน (Daphne)”
โดโรธี เดอ เซลินคอร์ท (Dorothy de Sélincourt)
อลันพบดาฟเนครั้งแรกในงานเลี้ยงเมื่อปีค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) และอลันก็คิดว่าดาฟเนเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์ขันที่สุดในโลก
ดาฟเนนั้นหัวเราะง่าย และทั้งคู่ก็คุยกันถูกคอ หากแต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้พบกันอีกเลยจนปีค.ศ.1913 (พ.ศ.2456)
ทั้งคู่บังเอิญพบกันขณะที่กำลังไปซื้อบู๊ทสำหรับเล่นสกี และก็บังเอิญอีกเช่นกันที่ทั้งคู่กำลังจะไปพักผ่อนที่สกีรีสอร์ตแห่งเดียวกันที่สวิตเซอร์แลนด์
ในทริปนี้เอง อลันได้ขอดาฟเนแต่งงาน และเมื่อกลับมาถึงลอนดอน ทั้งคู่ก็ได้ประกาศว่ากำลังจะหมั้นกัน
ทั้งคู่ไม่ได้รู้จักกันมาเป็นเวลานาน เพื่อนๆ ต่างก็แปลกใจในความสัมพันธ์ที่รวดเร็วของทั้งสอง แต่ทั้งสองก็รักกันอย่างจริงใจ
อลันและดาฟเน
ชีวิตกำลังไปได้สวยสำหรับอลัน เขาเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ เขาได้มีภรรยาที่แสนจะรัก และกำลังจะย้ายไปยังบ้านใหม่
ในเมื่อความฝันแทบทุกอย่างเป็นจริงแล้ว เขาก็ต้องมองหาความท้าทายใหม่ บางที สิ่งที่ท้าทายอาจจะเป็นการเขียน “บทละคร”
แต่สิ่งที่อลันได้เป็นหลังจากนั้นก็คือ “ทหาร”
อลันเพิ่งจะแต่งงานกับดาฟเนได้แค่ประมาณหนึ่งปี สงครามโลกก็เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457)
อลันนั้นเป็นหนึ่งคนที่ไม่เชื่อในสงคราม และไม่เชื่อว่าความรุนแรงจะช่วยแก้ปัญหา
อลันไม่ต้องการจะเป็นทหาร และขณะนั้นเขาก็อายุได้ 32 ปีแล้ว ซึ่งก็ค่อนข้างจะอายุมากเกินกว่าที่จะเป็นทหารได้
แต่เพื่อนๆ ของอลันล้วนแต่เข้าร่วมกับกองทัพ เขาจึงจำเป็นต้องเข้าร่วมกับกองทัพในปีค.ศ.1915 (พ.ศ.2458)
ในกองทัพ อลันนั้นไม่มีความสุข
เขาคิดถึงอิสรภาพ และที่สำคัญ เขาคิดถึงดาฟเนและงานเขียน
อลันถูกส่งไปประจำการยังไอล์ออฟไวต์ (Isle of Wight) ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่นอกชายฝั่งทางใต้ของอังกฤษ
เมื่อดาฟเนมาเยี่ยมอลัน ดาฟเนก็ได้จดทุกอย่างที่อลันเล่าให้ฟัง ซึ่งอลันและดาฟเนก็คิดว่าสิ่งที่จดนี้สามารถนำไปทำเป็นบทละคร ช่วยให้ผู้คนลืมความทุกข์ยากจากสงครามได้
ทั้งคู่ช่วยกันเขียน และส่งบทละคร “Wurzel-Flummery” ไปให้ “เจ.เอ็ม. แบร์รี (J.M. Barrie)” นักเขียนชาวสก็อตแลนด์ ผู้แต่ง “ปีเตอร์ แพน (Peter Pan)” ให้ลองอ่าน
เจ.เอ็ม. แบร์รี (J.M. Barrie)
แบร์รีชื่นชอบบทละครของอลันมาก และคิดว่าน่าจะเอาไปทำเป็นบทละครเวทีได้ แต่ก่อนที่ละครเวทีเรื่องนี้จะสร้าง อลันก็ถูกส่งไปฝรั่งเศส
อลันนั้นวิตกกังวล ละครเวทีก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน เขาต้องห่างดาฟเน และก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านหรือเปล่า
สภาพความเป็นอยู่ของทหารก็สุดแสนจะลำบาก อลันเห็นเพื่อนทหารหลายคนเสียชีวิตเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย ทำให้อลันเกลียดสงครามยิ่งกว่าเดิม
พฤศจิกายน ค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) หน่วยของอลันได้รับภารกิจให้โจมตีกองทัพเยอรมัน แต่ก่อนที่จะได้โจมตี อลันก็ป่วยหนักและถูกส่งกลับอังกฤษ
ปีต่อมา Wurzel-Flummery ก็ถูกสร้างเป็นละครเวทีในลอนดอน ซึ่งทำให้อลันเป็นนักเขียนบทละครเต็มตัว
แต่ถึงอย่างนั้น งานในกองทัพของอลันก็ยังไม่จบ เขาต้องหางานอื่นในกองทัพทำ และกองทัพก็เห็นถึงความสามารถในการเขียนของอลัน และคิดจะใช้ความสามารถของเขาให้เป็นประโยชน์
ดังนั้น ในเวลากลางวัน อลันจะเป็นทหาร ส่วนในเวลากลางคืน ก็ทำงานเขียนให้แก่กองทัพ และเขียนบทละครของตนเองไปด้วย
ในไม่ช้า บทละครของอลันก็ได้รับการสร้างเป็นละครเวทีทั้งในลอนดอนและสหรัฐอเมริกา สร้างชื่อเสียงให้อลันเป็นอย่างมาก
ค.ศ.1919 (พ.ศ.2462) อลันปลดประจำการจากกองทัพ และในปีนี้เอง อลันก็ได้เขียนบทละครเรื่อง “Mr. Pim Passes By”
บทละครเรื่องนี้ถูกนำไปสร้างเป็นละครเวที และประสบความสำเร็จอย่างสูง
ละครเวทีเรื่อง Mr. Pim Passes By
อลันและดาฟเนต่างตื่นเต้นดีใจกับความสำเร็จ แต่ในปีนั้นเอง ก็ได้มีอีกเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้น นั่นคือทั้งคู่กำลังจะมีลูก
21 สิงหาคม ค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) “คริสโตเฟอร์ โรบิน มิลน์ (Christopher Robin Milne)” ลูกชายของทั้งคู่ ก็ได้ถือกำเนิด
ไม่มีใครรู้เลยว่าคริสโตเฟอร์ โรบิน จะทำให้อลันโด่งดังยิ่งกว่าที่ใครจะคาดคิด
คริสโตเฟอร์ โรบิน มิลน์ (Christopher Robin Milne)
อลันแทบไม่เชื่อเลยว่าชีวิตของตนเปลี่ยนไปมากขนาดไหน ไม่กี่ปีก่อน เขายังเป็นทหารในสงคราม แต่ในเวลานี้ เขาคือหนึ่งในนักเขียนบทละครที่ค่าตัวสูงที่สุดในอังกฤษ อีกทั้งยังมีครอบครัวที่อบอุ่น
บทละครของเขากว่าห้าเรื่องได้รับการสร้างเป็นละครเวที และออกแสดงพร้อมๆ กันทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
ชีวิตดูจะไปได้ดี แต่อลันก็มองหาความท้าทายใหม่ๆ
อลันตัดสินใจจะเขียนนิยายเรื่องใหม่ เรื่องที่ต่างไปจากเรื่องก่อนๆ
อลันได้เขียนนิยายสืบสวนเรื่อง “The Red House Mystery” ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในปีค.ศ.1922 (พ.ศ.2465) และได้รับคำวิจารณ์ที่ดี และมียอดขายหลายพันเล่ม
เป็นอีกครั้งที่อลันพิสูจน์ให้เห็นว่าเขานั้นเป็นนักเขียนคุณภาพที่มีความสามารถ
แต่อลันก็ต้องการจะโฟกัสที่ความท้าทายใหม่ นั่นก็คือการเป็น “พ่อ”
ค่ำคืนหนึ่ง อลันเห็นคริสโตเฟอร์ โรบินกำลังสวดมนต์ก่อนเข้านอน ทำให้เขาเกิดไอเดียขึ้นมา นั่นคือเขาจะแต่งกลอนในสิ่งที่เห็น
อลันตั้งชื่อบทกลอนว่า “Vespers” และมอบให้ภรรยาเป็นของขวัญ ซึ่งดาฟเนก็ชอบมากจนถึงขนาดส่งกลอนนี้ไปยังนิตยสาร “แวนิตีแฟร์ (Vanity Fair)” ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
ค.ศ.1923 (พ.ศ.2466) Vespers ได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารแวนิตีแฟร์ฉบับเดือนมกราคม และก็โด่งดังมากซะจนได้รับการจัดทำเป็นโปสเตอร์
โปสเตอร์ Vespers ถูกวางจำหน่ายไปทั่วโลก
ในเวลาต่อมา บรรณาธิการนิตยสารสำหรับเด็กที่เพิ่งก่อตั้ง ได้ขอให้อลันเขียนบทกลอนที่คล้ายกับ Vespers หากแต่อลันไม่สนใจ เขาคิดว่านักเขียนมืออาชีพอย่างเขาไม่ควรจะเขียนอะไรที่เหมาะสำหรับเด็กเพียงอย่างเดียว
แต่แล้วขณะกำลังพักผ่อนในเวลส์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นฤดูฝน ฝนตกหนักทำให้อลันไปไหนไม่ได้ เขาจึงเบื่อ และต้องหาอะไรซักอย่างทำ
เมื่อนั้น เขาจึงตัดสินใจจะเขียนเรื่องส่งให้บรรณาธิการนิตยสาร
อลันเห็นคริสโตเฟอร์ โรบินเล่นกับทหารของเล่น และยังลากตุ๊กตาหมีไปทั่ว ทำให้เขาคิดถึงวัยเด็กที่เขาได้เล่นกับเคน ผู้เป็นพี่ชาย
1
นั่นทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียนเรื่องสั้นที่ชื่อว่า “The Dormouse and the Doctor”
The Dormouse and the Doctor
อลันนั้นเขียนต่อไปเรื่อยๆ และเมื่อฤดูฝนจบลง เขาก็เขียนบทกลอนไปได้ถึง 11 บท
เมื่อกลับไปลอนดอน อลันก็ได้ไปคุยกับสำนักพิมพ์ถึงไอเดียที่จะรวบรวมบทกลอนสำหรับเด็ก ซึ่งในทีแรก สำนักพิมพ์ก็ลังเล เนื่องจากการที่นักเขียนซึ่งมีฐานคนอ่านเป็นผู้ใหญ่ จะเปลี่ยนแนวมาจับเรื่องราวสำหรับเด็ก ก็อาจจะเป็นอะไรที่ดูจะพลิกเกินไป
แต่เมื่อได้เห็นบทกลอนของอลัน สำนักพิมพ์ก็คิดได้ว่าตนนั้นไม่เคยอ่านอะไรอย่างนี้มาก่อน บทกลอนของอลันทำให้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกในการเป็นเด็ก และสำนักพิมพ์ก็เชื่อว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะต้องชอบแน่ๆ
สิ่งที่จะต้องทำต่อไป ก็คือการหานักวาดภาพประกอบที่มีฝีมือและเหมาะสม
ผู้ที่สำนักพิมพ์สนใจก็คือ “อี. เอช. เชพพาร์ด (E.H. Shepard)”
อี. เอช. เชพพาร์ด (E.H. Shepard)
ในทีแรก อลันก็ไม่แน่ใจว่าเชพพาร์ดจะวาดภาพประกอบได้ถูกต้อง ตรงตามที่คิด แต่เมื่อได้เห็นผลงานของเชพพาร์ด อลันก็แน่ใจว่าเชพพาร์ดนั้นเหมาะสมที่สุด
เชพพาร์ดได้ช่วยเขียนภาพประกอบบทกลอนของอลัน และคอลเล็กชั่นบทกลอนของอลันที่ชื่อว่า “When We Were Very Young” ก็ได้รับการตีพิมพ์ในปีค.ศ.1924 (พ.ศ.2467)
อลันและสำนักพิมพ์ต่างหวังว่าผลงานนี้จะต้องประสบความสำเร็จ หากแต่ความสำเร็จนั้นมากมายกว่าที่พวกเขาคาดไว้
ภายในเวลาแปดสัปดาห์ หนังสือเล่มนี้ก็ขายไปได้แล้วกว่า 50,000 เล่ม ร้านหนังสือต่างสั่ง When We were Very Young นับพันเล่มเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า
When We Were Very Young กลายเป็นหนังสือขายดีในอังกฤษ ข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งพิมพ์ซ้ำถึง 23 ครั้งในเวลาเพียงหนึ่งปี
ทั้งนักวิจารณ์และนักอ่านต่างชื่นชอบ When We Were Very Young และอลันก็ได้รับจดหมายจากนักอ่านเป็นจำนวนมาก
นอกจากคนทั่วไปแล้ว ยังมีคนดังต่างๆ ที่ส่งจดหมายหาอลัน ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง นักเขียนชื่อดัง แม้แต่ “คาลวิน คูลิดจ์ (Calvin Coolidge)” ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาก็เป็นแฟนหนังสือของอลัน
ชีวิตของอลันเปลี่ยนไปอย่างมาก และเพื่อหนีจากความวุ่นวายในลอนดอน อลันและดาฟเนก็ได้ไปซื้อบ้านในชนบท
บ้านในชนบทนี้มีชื่อว่า “คอทช์ฟอร์ดฟาร์ม (Cotchford Farm)” และอยู่ไม่ไกลจากป่าที่ชื่อว่า “แอชดาวน์ (Ashdown Forest)” ซึ่งเหมาะที่จะให้ลูกวิ่งเล่นท่ามกลางธรรมชาติ
คอทช์ฟอร์ดฟาร์ม (Cotchford Farm)
ครอบครัวมิลน์มักจะใช้เวลาในวันหยุดอยู่ที่คอทช์ฟอร์ดฟาร์ม ซึ่งคริสโตเฟอร์ โรบินสามารถวิ่งเล่นท่ามกลางธรรมชาติ และทำให้อลันคิดถึงวัยเด็กที่ได้วิ่งเล่นกับเคน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน อลันก็ได้ข่าวว่าเคนป่วยเป็นวัณโรค และต้องออกจากงาน ก่อนจะย้ายไปซอเมอร์เซต ซึ่งเป็นชุมชนทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ เพื่อรักษาตัว
อลันมักจะไปเยี่ยมเคนเสมอ แต่ซอเมอร์เซตก็อยู่ไกล
อลันเป็นห่วงเคนมาก และในไม่ช้า ความเป็นห่วงก็กระทบกับงานเขียน
อลันเริ่มเขียนนิยายเรื่องใหม่ แต่หลังจากเขียนไปได้ไม่กี่บท เขาก็เลิกเขียน และต้องคิดว่าจะเขียนเรื่องอะไรต่อ
ถึงแม้ When We Were Very Young จะประสบความสำเร็จ แต่อลันก็ไม่ต้องการจะเขียนหนังสือเด็กอีกต่อไป
เขาอยากจะรักษาชื่อเสียงในฐานะของนักเขียนนิยายและบทละครมากกว่า
ในปีค.ศ.1925 (พ.ศ.2468) หนังสือพิมพ์ในลอนดอนที่ชื่อ “อีฟนิงนิวส์ (Evening News)” ได้ขอให้อลันเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กอีกซักเรื่องสำหรับหนังสือพิมพ์ฉบับวันคริสต์มาส
อลันตอบตกลง เพราะยังไงซะก็แค่เรื่องเดียว แต่เขายังคิดไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไร
ดาฟเนก็เกิดไอเดีย และบอกให้อลันเขียนเรื่องที่มักจะเล่าให้คริสโตเฟอร์ โรบินฟังก่อนนอน ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากอลันมักจะเล่านิทานให้คริสโตเฟอร์ โรบินฟังก่อนนอนเกือบทุกคืน และหนึ่งในเรื่องโปรดของเขา ก็คือเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายและเหล่าสัตว์ซึ่งเป็นเพื่อนของเด็กชาย และมักจะไปผจญภัยในป่า
เมื่อได้ไอเดีย อลันจึงเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับคริสโตเฟอร์ โรบินและตุ๊กตาหมี ชื่อว่า “วินนีเดอะพูห์ (Winnie-the-Pooh)”
เรื่องราวของคริสโตเฟอร์ โรบินและวินนีเดอะพูห์ที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับวันคริสต์มาส เป็นเรื่องยอดฮิต และดูเหมือนจะโด่งดังยิ่งกว่า Vespers ซะอีก
วินนีเดอะพูห์เมื่อได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ครั้งแรกในปีค.ศ.1925 (พ.ศ.2468)
ความสำเร็จนี้ทำให้อลันเกิดความคิดขึ้นมา
บางที เขาควรจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กต่อไป อีกอย่าง การเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับคริสโตเฟอร์ โรบินและวินนีเดอะพูห์ก็ถือเป็นเรื่องง่าย หากเทียบกับการเขียนนิยายเรื่องใหม่
อลันต้องการให้เรื่องราวของวินนีเดอะพูห์ มีตัวละครหลายตัว ซึ่งรวมทั้งคริสโตเฟอร์ โรบินและตุ๊กตาสัตว์ต่างๆ ซึ่งจะร่วมไปในการผจญภัยของวินนีเดอะพูห์และคริสโตเฟอร์ โรบิน
อลันต้องการให้เชพพาร์ดเป็นผู้เขียนภาพประกอบ เขาจึงเชิญเชพพาร์ดมายังอพาร์ทเมนท์ในลอนดอนเพื่อพบกับคริสโตเฟอร์ โรบิน และพามายังคอทช์ฟอร์ดฟาร์ม เพื่อให้เห็นภาพของป่าลึก ทำให้เชพพาร์ดเกิดจินตนาการในการวาดภาพประกอบ
เดือนตุลาคม ค.ศ.1926 (พ.ศ.2469) วินนีเดอะพูห์ก็ได้รับการตีพิมพ์ทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา และประสบความสำเร็จอย่างสูง
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงนักวิจารณ์ต่างชื่นชอบหนังสือเล่มนี้ และภายในสิ้นปี เฉพาะในสหรัฐอเมริกา ก็ขายไปได้มากกว่า 150,000 เล่ม
อลันและสำนักพิมพ์ต่างตื่นเต้นดีใจกับความสำเร็จนี้ ทำให้อลันตัดสินใจจะเขียนหนังสือเด็กต่อไป ถึงแม้ในตอนแรกเขาไม่คิดจะเขียนหนังสือเด็กอีกแล้วก็ตาม
ในเวลานั้น อลันได้เริ่มเขียนกลอนบทใหม่สำหรับเด็ก และในปีค.ศ.1927 (พ.ศ.2470) หนึ่งปีหลังจากที่วินนีเดอะพูห์ออกวางจำหน่าย หนังสือรวมบทกลอนเล่มที่สอง มีชื่อว่า “Now We Are Six” ก็ได้รับการตีพิมพ์
ถึงแม้ Now We Are Six จะได้รับการตีพิมพ์ แต่อลันก็รู้ดีว่านักอ่านต่างเฝ้ารอที่จะอ่านการผจญภัยครั้งใหม่ของวินนีเดอะพูห์และผองเพื่อน ดังนั้นในปีค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) “The House at Pooh Corner” จึงได้รับการตีพิมพ์
เช่นเดียวกับเล่มแรก The House at Pooh Corner ประสบความสำเร็จอย่างสูง
ในตอนจบของ The House at Pooh Corner อลันเขียนให้คริสโตเฟอร์ โรบินเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และต้องจากเพื่อนๆ ไป
นี่เป็นการส่งสัญญาณว่าอลันต้องการจะมูฟออนจากหนังสือเด็ก
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) อลันก็ได้รับข่าวร้ายว่าเคนตายแล้ว
เคนนั้นเป็นทั้งพี่ชาย ทั้งเพื่อนที่อลันสนิทที่สุด การตายของเคนทำให้อลันเศร้าโศกเป็นอย่างมาก ในระหว่างงานศพ อลันก็ไม่สามารถทนนั่งอยู่ในโบสถ์ได้ เขาต้องออกมาอยู่ในสวน นั่งสงบสติอารมณ์
หลังจากการตายของเคน อลันก็ตั้งใจว่าจะไม่เขียนหนังสือเด็กอีกต่อไป เขาจะเขียนได้ยังไง ในเมื่อจินตนาการถึงการผจญภัยของคริสโตเฟอร์ โรบิน วินนีเดอะพูห์และผองเพื่อน ก็ล้วนมาจากประสบการณ์เล่นสนุกในวัยเด็กของอลันกับเคน หากแต่เคนไม่อยู่แล้ว และความทรงจำเหล่านั้นก็กลายเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด
เมื่อเคนตาย ดูเหมือนจินตนาการส่วนหนึ่งของอลันก็ได้ตายไปด้วย และทำให้อลันกลับไปโฟกัสที่งานเขียนที่มีความจริงจัง กลับไปโฟกัสที่การเขียนบทละครและนิยาย
ภายหลังจากที่เคนเสียชีวิต อลันก็ต้องการจะใช้เวลากับลูกชายให้มากขึ้น และเขาก็ใกล้ชิดกับคริสโตเฟอร์ โรบินมากกว่าที่ผ่านๆ มา
แต่ที่โรงเรียน ก็ทำให้มุมมองของคริสโตเฟอร์ โรบินต่อหนังสือของพ่อนั้นเปลี่ยนไป
คริสโตเฟอร์ โรบินไม่ชอบที่ทุกคนเอาแต่สนใจในตัวเขา ในฐานะของตัวละครในหนังสือชื่อดัง เพื่อนๆ ที่โรงเรียนต่างก็ล้อเลียนเขา นักข่าวก็คอยตามเขาจนไม่มีความเป็นส่วนตัว
ผู้คนทั่วโลกต่างอยากรู้ถึงความรู้สึกของการเป็นลูกชายนักเขียนชื่อดัง ต่างอยากรู้ว่าเขารู้สึกยังไงที่เป็นตัวละครสำคัญในหนังสือชื่อก้องโลก แต่คริสโตเฟอร์ โรบินรู้สึกอึดอัด เขาไม่ได้อยากจะโด่งดัง เขาอยากจะเป็นเด็กนักเรียนธรรมดาที่ไปโรงเรียนและเล่นกับเพื่อน
อลันและคริสโตเฟอร์ โรบิน
ค.ศ.1931 (พ.ศ.2474) อลันได้ออกทัวร์สหรัฐอเมริกาเพื่อโปรโมทหนังสือเล่มใหม่ของตน นั่นคือเรื่อง “Two People”
อลันนั้นโด่งดังและเป็นที่สนใจของผู้คน หากแต่ไม่ใช่ในฐานะของนักเขียนนิยายอย่างที่ตนตั้งใจ ผู้คนที่เข้าหาเขาล้วนแต่อยากฟังเรื่องราวของคริสโตเฟอร์ โรบิน วินนีเดอะพูห์ และการผจญภัยของผองเพื่อน ไม่มีใครสนใจนิยายเรื่องใหม่ของเขาเท่าไรนัก
ภายหลัง อลันได้กล่าวว่า
“ผมพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีออกจากบรรยากาศของคริสโตเฟอร์ โรบิน”
คริสโตเฟอร์ โรบินก็พบว่าเป็นการยากที่จะหนีจากความโด่งดัง สมัยยังเด็ก เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นตัวละครในหนังสือของพ่อ แต่เมื่อโตขึ้น เขาก็เริ่มจะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นใคร
ในเวลาต่อมา คริสโตเฟอร์ โรบินได้ตัดชื่อกลาง คือ “โรบิน” ทิ้ง เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร และในเวลานี้ พ่อกับลูกก็เริ่มจะห่างเหิน
ในช่วงเวลาหลายปีต่อจากนั้น อลันได้เขียนหนังสืออีกหกเล่ม แต่มีเพียงเล่มเดียว นั่นคือ “Peace with Honour” ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในปีค.ศ.1934 (พ.ศ.2477) ที่ประสบความสำเร็จ
Peace with Honour เป็นหนังสือที่อลันถ่ายทอดความรู้สึกเกี่ยวกับสงคราม โดยอลันเชื่อว่าทุกประเทศควรจะหลีกเลี่ยงสงครามในทุกกรณี และโลกควรจะโหยหาสันติภาพ
อลันคิดว่า Peace with Honour คือหนังสือเล่มสำคัญที่ตนได้เขียน
ห้าปีต่อมา สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้น โดยเริ่มจากการที่ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)” ผู้นำเยอรมนีต้องการจะขยายอำนาจและดินแดนของเยอรมนี
ความโหดร้ายของฮิตเลอร์และพรรคนาซีสร้างความตกใจให้ผู้คนทั่วโลก รวมทั้งอลัน
ถึงแม้ว่า Peace with Honour จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับความโหดร้ายของสงคราม แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทำให้มุมมองของอลันเปลี่ยนไป เขาเริ่มคิดว่าบางทีสงครามก็มีความจำเป็น หากเป็นไปเพื่อที่จะพิชิตคนอย่างฮิตเลอร์
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
อลันเริ่มเขียนบทความที่กระตุ้นให้อังกฤษพยายามจะเอาชนะสงครามโดยเร็ว แต่อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้อลันอยากให้สงครามสิ้นสุดลงโดยเร็ว นั่นก็คือคริสโตเฟอร์ โรบิน ลูกชายของตน ก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพอังกฤษ และถูกส่งไปประจำการยังตะวันออกกลาง
ในช่วงสงคราม ความต้องการหนังสือของอลันมีสูงมาก มากซะจนสำนักพิมพ์ขาดแคลนกระดาษที่จะนำมาใช้พิมพ์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้คนนั้นมีความเครียด และหนังสือชุดวินนีเดอะพูห์ ก็ช่วยให้ผู้คนหนีห่างจากความเครียด
ต่อมา สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) และคริสโตเฟอร์ โรบินก็ได้กลับบ้านในปีค.ศ.1946 (พ.ศ.2489)
การได้อยู่ห่างครอบครัวทำให้คริสโตเฟอร์ โรบินมีเวลาคิด เขาคิดว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรหากเขาไม่ต้องเป็นหนึ่งในตัวละครในหนังสือของพ่อ
คริสโตเฟอร์ โรบินตัดสินใจได้ว่าเขาควรมีระยะห่างจากพ่อ และที่สำคัญ ออกห่างจากหนังสือของพ่อ
คริสโตเฟอร์ โรบินในช่วงวัยหนุ่ม
อลันนั้นรู้สึกเจ็บปวดกับการตัดสินใจของลูกชาย เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าการที่เขาเอาลูกชายเป็นตัวละครในหนังสือ อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาด
หนังสือของอลันช่วยให้ผู้คนทั่วโลกรู้สึกเพลิดเพลินและผ่อนคลายจากความเครียด แต่ทำไมคริสโตเฟอร์ โรบินถึงไม่รู้สึกอย่างนั้น?
นี่คือคำถามที่อยู่ในหัวของอลัน
ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) อลันได้นำของเล่นรูปสัตว์ที่เป็นต้นแบบของหนังสือวินนีเดอะพูห์ นำออกแสดงทั่วสหรัฐอเมริกา
การนำของเล่นสัตว์ออกแสดงประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อชมตุ๊กตาต้นแบบของหนังสือเรื่องดัง
มิถุนายน ค.ศ.1952 (พ.ศ.2495) อลันได้ออกหนังสือเรื่อง “Year In, Year Out” ซึ่งเป็นการรวบรวมเรียงความของอลัน และเป็นหนังสือสำหรับผู้ใหญ่
อลันอายุ 70 ปีแล้ว และในปีค.ศ.1952 (พ.ศ.2495) นี้เอง อลันก็มีอาการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง และต้องเข้าโรงพยาบาล
ขณะที่อยู่ในโรงพยาบาล คริสโตเฟอร์ โรบินได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าเขาไม่ชอบการเป็นคริสโตเฟอร์ โรบินตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว
ดาฟเนพยายามซ่อน ไม่ให้อลันเห็นบทสัมภาษณ์นี้ หากแต่เพื่อนของอลันที่มาเยี่ยมได้เล่าให้อลันฟัง สร้างความเจ็บปวดให้อลันเป็นอย่างมาก
ธันวาคม ค.ศ.1952 (พ.ศ.2495) แพทย์ได้ลงความเห็นว่าอลันต้องเข้ารับการผ่าตัดสมอง หากแต่การผ่าตัดนั้นไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ร่างกายบางส่วนของอลันเป็นอัมพาต
อลัน หรือที่รู้จักในนามปากกาของ “เอ. เอ. มิลน์ (A.A. Milne)” เสียชีวิตในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ.1956 (พ.ศ.2499)
หากย้อนกลับไปในปีค.ศ.1926 (พ.ศ.2469) หลังจากที่วินนีเดอะพูห์ได้รับการตีพิมพ์ อลันได้เขียนบันทึก ความว่า
“ฉันเชื่อว่าพวกเราทุกคนเฝ้าหวังอย่างลับๆ ว่าจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ การจากไป คือการฝากชื่อตนเองไว้เบื้องหลัง ซึ่งจะอยู่บนโลกไปตลอดกาล”
อลันหรือ “เอ. เอ. มิลน์ (A.A. Milne)” ทำสำเร็จตามที่เขียนเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน
โฆษณา