13 ม.ค. 2022 เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
TMBCOFควรขายหรือยัง ?
หลายคนที่ลงทุนในกองทุนหุ้นจีนคงน่าจะรู้จักกองทุน TMBCOF กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นกองทุนที่โด่งดัง ยอดนิยมมากๆ เมื่อซัก 2-3 ปีที่แล้ว และเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ลงทุนกองจีนอย่างน้อยต้องเคยสนใจ หรือมีกองทุนนี้อยู่ในพอร์ตแน่นอน
เมื่อหลายปีก่อน กองทุน TMBCOF สามารถทำผลตอบแทนได้ดีเยี่ยมและทำได้มากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มกองทุนหุ้นจีนอีกด้วย ซึ่งก็สร้างความพึงพอใจให้กับนักลงทุนได้ค่อนข้างมาก ตามสไตล์ลงทุนแล้วได้กำไรอะไรก็ดีไปหมด
แต่ทว่า ตั้งแต่ช่วงเดือนก.พ. 2021 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้เข้ามาควบคุมและการออกกฎระเบียบต่างๆ ทั้งด้านการควบคุมผูกขาดทางการค้า กฎเกณฑ์การทำธุรกิจ และการควบคุมการนำข้อมูลลูกค้าไปใช้ จึงส่งผลทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงแรง กองทุนจึงได้รับผลกระทบและปรับตัวลงแรงเช่นกัน
โดยหุ้นที่ TMBCOF ลงทุนล้วนได้รับผลกระทบในครั้งนี้ เช่น Tencent Alibaba แต่ที่หนักสุดต้องยกให้หุ้นกลุ่ม Education Tech เช่น TAL Education Group และ New Oriental Education (ตอนนี้ TMBCOF ไม่มีแล้ว) ที่รัฐบาลจีนได้จำกัดชั่วโมงการเรียน และบีบให้ถอนตัวจากตลาดหุ้นกลายเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร จึงส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงประมาณ 90% จากจุดสูงสุด
เมื่อบริษัทใหญ่ๆโดนกระทบ ทำให้หุ้นกลุ่มการเงินหรือแบงค์ได้รับหางเลขทางลบจากเศรษฐกิจจีนที่โตช้าจึงทำให้รายได้โตช้าไปด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบหนักล้วนเป็นหุ้นในพอร์ต TMBCOF จึงทำให้ผลตอบแทนของกองทุนนี้ปรับตัวลงเกือบ 40% จากจุดสูงสุดแล้ว (ย้อนหลัง 1 ปี -27% )
เรามาดูกันอีกทีว่า Top Holding ของกองนี้มีอะไรกันบ้าง
Tencent - 9.79%
Kweichow Moutai - 8.68%
China Merchants Bank - 5.42%
Alibaba (BABA:NYQ) - 5.00%
NetEase (ADR) - 4.40%
Hong Kong Exchanges and Clearing - 4.38%
Ping An Insurance - 4.29%
CSPC Pharmaceutical - 3.72%
Ping An Bank - 3.46%
Alibaba (9988:HKG) - 3.35%
โดยสัดส่วนของ Top 10 Holding รวมกันสูงถึง 52%
(ข้อมูล ณ วันที่ 11 ม.ค. 2565 อ้างอิงจากกองทุนหลัก คือ UBS (Lux) Equity Fund–China Opportunity)
สำหรับคนที่มีกองทุน TMBCOF อยู่ในพอร์ต น่าจะมีคำถามหนึ่งที่คิดวนอยู่เรื่อยๆ ว่า จะเอายังไงกับกองทุนจีนต่อดี? “จะถือต่อ” หรือ “พอแค่นี้”
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า การลงทุนในจีนจะต้องเจอความเสี่ยงจากรัฐบาลจีนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เนื่องจากลักษณะการบริหารเป็นแบบรัฐชี้ขาด รัฐต้องการอะไรไม่มีใครขวางได้ ดังนั้นคนที่สนใจลงทุนในตลาดจีนจึงควรจะเข้าใจความเสี่ยงนี้
โดยย้อนกลับไปช่วงปี 2016-2019 รัฐบาลจีนสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ TMBCOF ได้ผลตอบแทนดีเพราะหุ้นในพอร์ทได้รับประโยชน์ แต่ตอนนี้ภาพเปลี่ยนไป รัฐบาลไม่ชอบใจการแข่งขันของเอกชนจึงเขามาจัดระเบียบใหม่ กระทบหุ้น Alibaba, Tencent และตัวเล็กตัวน้อยอีกมาก
ในระยะสั้นหุ้นจีนจะยังไม่ฟื้นเร็วเพราะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวและปัจจัยภายในประเทศที่กำลังปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งเอกชนคงไม่กล้าขยับตัวมากนัก
แต่เมื่อไหร่ที่รัฐบาลส่งสัญญานว่ากฎระเบียบใหม่พร้อมแล้ว และจะลดการแทรกแซง เมื่อนั้น TMBCOF จะฟื้นตัวได้ โดยมองว่า Timeline ที่ใกล้ที่สุดจะเป็นการประชุมร่วม 2 สภาในช่วงต้นเดือนมีนาคม
2
สุดท้ายแล้วในระยะยาวหากเราอดทนและรับความผันผวนในระยะสั้นได้ กองทุนหุ้นจีนก็ยังถือว่าน่าสนใจ แม้จะเจอการใช้มาตรการคุมเข้มด้านกฎระเบียบในบางอุตสาหกรรม แต่การปฏิรูปครั้งใหญ่ครั้งนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน (Common prosperity policy) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เพื่อจัดการความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนให้เท่าเทียมและเสมอภาคมากยิ่งขึ้น เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับ 50 ปีข้างหน้า
แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น เราควรกระจายการลงทุนในจีนไปยังธุรกิจที่รัฐบาลชอบ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งยังได้รับการสนับสนุนเต็มที่ทั้งลดภาษีและให้เงินอุดหนุน ทำให้หุ้นหลายตัวใน Ecosystem ได้รับประโยชน์
ส่วนเป็นกองทุนไหนนั้น ดูได้ในคอมเม้นครับ
BottomLiner
โฆษณา