14 ม.ค. 2022 เวลา 12:44 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เก็บภาษีหุ้น-คริปโทฯ มาถูกทางแล้วใช่มั๊ย?
อีกแล้วเหรอ... จะเก็บอีกแล้วเหรอ เสียงบ่นทุกครั้งที่เรามักจะได้ยิน หลังจากรัฐบาลมีดำริจะเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้น ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา เพียงแต่คราวนี้นอกจากหุ้นแล้ว ยังมีคริปโทเคอร์เรนซี่ (สินทรัพย์ดิจิทัล) เพิ่มเข้ามาด้วย
เรียกว่าเป็นประเด็นร้อนตั้งแต่เริ่มต้นปีใหม่กันเลยทีเดียว อยู่ดีๆ รัฐบาลก็เรียกแขกขึ้นมาอีก แถมรอบนี้ดูจะจริงจังมากเป็นพิเศษ ประมาณว่ารายได้รัฐบาลคงหดหายไปมาก จนการเก็บภาษีหุ้น และคริปโท น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่จะเพิ่้มรายได้เข้าคลัง
โดยเฉพาะเรื่องใหม่อย่างคริปโทเคอเรนซี่ ที่ต้องบอกว่าปังมาก ปังขนาดนายกฯ ลุงตู่ ต้องลงมาให้กรมสรรพากรรีบชี้แจง เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับประชาชน และยืนยันว่าไม่ได้ปิดกั้นการพัฒนาอย่างแน่นอน ซึ่งล่าสุดสรรพากร หารือร่วมกับสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทยแล้ว โดยตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อหาแนวทางจัดเก็บภาษีคริปโท ก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่อีกครั้งภายในเดือนนี้
ต้องบอกว่าเป็น Hot Topic ทุกครั้งจริงๆ สำหรับภาษีประเภทนี้ อย่างเช่นภาษีคริปโท ที่อยู่ๆ รัฐบาลก็จะมาเก็บ แถมจะมาเก็บในช่วงที่การซื้อขายกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง โดยปัจจบันมูลค่าการซื้อขายในตลาดคริปโทฯ ทะลุแสนล้านบาทต่อเดือนไปแล้ว
ซึ่งข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เมื่อเดือน ธ.ค.64 ที่ผ่านมา จำนวนบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย มีทั้งหมด 1.4 ล้านบัญชี น้อยกว่าบัญชีซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ราว 2.1 เท่า แต่มีอัตราการขยายตัวสูงอยู่ที่ 27.6% ต่อเดือน ขณะที่บัญชีซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มีอัตราการเติบโตเพียง 2.9% ต่อเดือน สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมลงทุนในตลาดคริปโทฯ
ดังนั้นพอมีข่าวว่ารัฐบาลจะเก็บภาษีคริปโทฯ แถมยังเก็บแค่ขากำไร ส่วนขาดทุนไม่เอามารวม เท่านั้นแหละเป็นเรื่องเลยทีเดียว
สรรพากรเข้าใจเก็บภาษีถูกจังหวะเวลาเหลือเกิน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ควรจะให้เวลา หรือรอความชัดเจนอีกซักหน่อยก่อนจะดำเนินการ ซึ่งล่าสุดกรมสรรพากร ระบุว่าจะกำหนดแนวทางปฎิบัติก่อนสรุปอีกครั้งเพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่กระทบต่อการยื่นภาษีของปี 2564 ซึ่งเรื่องนี้บรรดาสายคริปโท คงต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด หากมองว่าเรื่องของภาษีเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อวงการสินทรัพย์ดิจิทัล
ส่วนฟากฝั่งการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction Tax) ก็เป็นอีกเรื่องที่อยู่ๆ ก็คิดจะเก็บภาษีขึ้นมาอีก หลังจาก Capital Gain Tax ที่จนแล้วจนรอดก็เก็บไม่ได้ เพราะพอมีกระแสข่าวคัดค้านก็เงียบไป จนกลายมาเป็น Transaction Tax ซึ่งก็แทบไม่ต้องเดาเลยบทสรุปน่าจะออกมาอย่างไร เพราะภาคเอกชนไม่เอาด้วยอยู่แล้ว
โดยเรื่องนี้ "ไพบูลย์ นลินทรางกูร" ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ชัดเจนมากว่าไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แม้จะเห็นใจรัฐบาลที่ขาดดุลงบประมาณ แต่ในระยะยาวอาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดทุน และต้นทุนการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนทุกกลุ่ม อีกทั้งเบื้องต้นประเมินว่าผลกระทบโดยรวมจะทำให้วอลุ่มฯตลาดหายไปประมาณ 20-30%
ขณะที่เอเซียพลัส ก็ระบุชัดเจนว่าหากรัฐเก็บจริงจะกดดันตลาดหุ้นให้ผันผวน ทั้งในมุมผลตอบแทน และมูลค่าซื้อขายที่ลดลง โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นมาร้อนแรงและไม่มีพื้นฐานรองรับ โดยในส่วนมูลค่าการซื้อขายนั้นจะหดตัวลง โดยเฉพาะจากนักลงทุนรายย่อยที่มีสัดส่วนในการซื้อขายสูงถึง 49% ซึ่งหากนักลงทุนรายย่อยโดนผลกระทบ ก็จะทำให้หุ้นขนาดเล็กมีความน่าสนใจน้อยลง เนื่องจากเป็นเป้าหมายของนักลงทุนรายย่อยอยู่แล้ว
เห็นแบบนี้ก็แทบไม่ต้องเดาว่า สุดท้าย ท้ายสุด แล้วจะเป็นอย่างไร เพราะ FETCO ก็ออกตัวแรงไม่น้อย เพราะมองมุมไหนก็มีแต่ผลกระทบมากกว่าผลดี ดังนั้นหากรัฐคิดจะเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีหุ้น หรือคริปโท อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อเทียบกับผลกระทบระยะยาวที่จะเกิดตามมา โดยเฉพาะตลาดหุ้น อีกทั้งไม่แน่ใจว่ารัฐบาลมาถูกทางจริงๆ แล้วใช่หรือไม่ เหมือนพอคิดอะไรไม่ออก ก็มาลงที่ตลาดทุน
ทั้งที่จริงๆแล้ว รัฐบาลอาจจะมีหนทางในการหารายได้จากแหล่งอื่น นอกเหนือจากการเก็บภาษีจากกลุ่มคนส่วนน้อยของประเทศ ซึ่งก็ไม่เถียงว่ากลุ่มคนที่จะเก็บอาจเป็นคนมีรายได้สูง แต่ก็อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง คนเล่นหุ้น เล่นคริปโทก็ใช่ว่าจะรายได้สูง หรือรวยกันทั้งหมด ลงทุนแล้วขาดทุนก็มี แถมทั้งปีหลายคนอาจจะพอร์ตสีแดงด้วยซ้ำ ถ้าจะมาเก็บภาษีกันก็อาจจะไม่ยุติธรรมเช่นกัน
เชื่อว่าในที่้สุดแล้ว การเก็บภาษีจากการเล่นหุ้น อาจจะต้องมี หากกรมสรรพากร พิจารณาข้อดี ข้อเสีย ให้ชัดเจนกว่านี้ จะเก็บยังไง ไม่ให้นักลงทุนได้รับผลกระทบ ถ้าจะเก็บอาจจะต้องกำหนดรายการขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรมกับนักลงทุนมากที่สุด อย่าลืมเรื่องนี้ ยังไงก็ยังใหม่สำหรับประเทศไทย อยากเก็บก็ต้องให้เวลานักลงทุนได้เตรียมตัวด้วย ไม่ใช่คิดจะเก็บก็จะเก็บขึ้นมา ไม่มีปี่มีขลุ่ย และไม่ดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม ยิ่งภาวะปัจจุบันนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
โฆษณา