- นี่คงเป็นหนึ่งในความพยายามครั้งสำคัญของนักร้องหนุ่มอาร์แอนด์บีระดับไอคอนจากแคนาดา Abel Tesfaye (a.k.a The Weeknd) ในการเปลี่ยนผ่านสู่ทางสว่างทั้งภาพลักษณ์และความคิดความอ่านที่หลายคนมักจะจดจำเขาในฐานะสายดาร์คลึกลับมาโดยตลอด Dawn FM จัดว่าเป็นสเต็ปแรกๆเลยในการปรับภาพลักษณ์ภาพจำเหล่านั้นโดยที่ไม่ซ้ำรอยความเป็นหนุ่มอันตรายแบบผลงานที่ผ่านมา คงไม่มีศิลปินคนไหนหรอกที่จะจมอยู่กับภาพลักษณ์เดิมๆนานจนไม่มูฟออนไปสู่วิถีทางความคิดความอ่าน การมองโลก ณ ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากเดิมตามประสบการณ์และบาดแผลที่คอยลับคมทางความคิดไม่ให้ตกหลุมพรางจนไม่สามารถเติบโตทางวุฒิภาวะได้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันโจทย์นี้โคตรท้าทายต่อตัว Abel ยิ่งนัก ในเมื่อสาวกและแฟนเพลงมันติดภาพจำไอ้หนุ่มดาร์คผู้มีไลฟ์สไตล์แสนหวือหวาจนชินแล้ว
- จำได้ว่าตอนแกให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางชีวิตและอัลบั้มใหม่ต่อจากนี้ในช่วงหลังยุค After Hours ที่แกออกมาเคลมแล้วว่า แกจะเลิกใช้ยาอย่างหนักหน่วงแล้ว ดื่มได้ในบางโอกาสเท่านั้น แต่ไม่ดื่มหนักเหมือนเมื่อก่อน เพราะแกค้นพบถึงความไม่เอ็นจอยกับการดื่มหนักอีกต่อไป นี่ก็แสดงให้เห็น mindset คร่าวๆแล้วว่า แกเริ่มโตทางความคิดขึ้น พบทางสว่างของการค้นพบความสุขโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาของมึนเมา มันเลยนำพาสู่การบอกลาชั่วโมงอันตรายในยามค่ำคืนแบบ After Hours สู่ชั่วโมงฟ้าสางใน Dawn FM ที่ไม่ต่างอะไรจากคนที่ผ่านค่ำคืนอันแสนยาวนานแล้วมานั่งฟังวิทยุด้วยสภาพสะบักสะบอมในยามเช้ามืดคอยกล่อมให้ตัวเองเย็นลงกว่านี้ แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่เป็นการ switch สู่ความเป็น morning person ได้ฉับพลันขนาดนั้น ออกแนวพยายามในการหาทางสว่างให้ตัวเองมันต้องฝ่าด่านบางอย่างก่อนที่จะไปเจอแสงสว่าง ณ ปลายอุโมงค์
- ผมว่า Abel คงนึกสนุกกับจุดฝ่าด่านนี้มากๆ จะให้กูสลัดตัวตนเก่าๆให้เหี้ยนก็ดูจะง่ายไปต่อการให้แฟนเพลงรับรู้ได้ปุบปับเลยว่า เห้ย กูเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่ดีในการค่อยๆเปลี่ยนผ่านตัวตน จะให้พี่ Abel ไปทางธรรมชาติก็กะไรอยู่เนอะ ยังคงเล่นกับความย้อนแย้งในตัวมันตั้งแต่ outfit ที่คุมโทนดำสนิทสวนทางกับธีมสว่างที่ควรจะเป็นตามชื่อ สังเกตได้ว่า Abel คือชายหนุ่มผู้มีปมในแง่ความรักความสัมพันธ์มากพอสมควร อย่างที่รู้กันในข่าวกอสซิปที่ผ่านมาที่คบกันเซเลประดับ high profile สุดท้ายก็ไปไม่รอด มันเลยเป็นปมฝังใจที่ทำให้ไอ้หนุ่มนักรักอาร์แอนด์บีใช้ชีวิตหนักหน่วง get high ให้ลืมอดีตรักแม่งเลย ด้วยความที่ผ่านชีวิตหนักหน่วงเยอะจนไม่สนุกกับชีวิตสุดเหวี่ยงแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว
- ด้วยความที่แกมีชีวิตแบบเซเลปที่ผ่านแสงสีฉูดฉาดมามากมาย มันจึงไม่ง่ายเลยที่แกจะละทิ้งชีวิตหวือหวาเหล่านี้ไปสู่วิถีชีวิตเรียบง่ายเด็ดขาดซะขนาดนั้น ยังคงเป็นชายหนุ่มที่ติดอยู่กับวังวน ฝ่าฝูงชนผู้คนมากมายที่วนเวียนอยู่ดิสโก้เทคแห่งหนใดแห่งนึง โดยที่ไม่แวะจะผูกใจเพื่อให้ตัวเองมีแนวโน้มเจ็บไปมากกว่านี้ เราจึงได้งานเพลงที่ให้อะไรมากกว่าการสอดแทรกเนเจอร์ของวิทยุคลื่น 103.5 ที่ Abel จำลองขึ้นมาเอง แต่มันสอดแทรกหลากเรื่องราว หลายอารมณ์ ไล่ตั้งแต่การโลดแล่นผจญภัยวนเวียนอยู่ในสถานที่อโคจร อีกทั้งมีการทบทวนตัวเองจากประสบการณ์รักในอดีตที่ดันเป็นการตอกย้ำความผิดพลาดและโหยหายิ่งกว่าเดิม แทบจะเป็นทวิภาคต่อจาก After Hours เลยล่ะ
- เปิดอัลบั้มด้วยจิงเกิ้ลคลื่นวิทยุของตัวเอง Dawn FM สังเกตเห็นมั้ยว่ามันไม่ใช่การต้อนรับรุ่งอรุณด้วยเสียงนกธรรมชาติ แต่เป็นเสียงนกสังเคราะห์ที่ดันเป็นจุดที่สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้ดูมีซัมติง ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ใช่การหลุดพ้นจากความมืดมิดไปได้ขาด ยังคงตกอยู่ในสภาวะโดดเดี่ยวในค่ำคืนที่ดูเหมือนว่าจะไม่จบโดยง่าย ทั้งนี้ธีมเพลงมีความไซไฟ-แฟนตาซีที่ดูเฉิดฉายในทาง lift up แลดูเปล่งประกายกว่าอินโทรเปิดอัลบั้มที่แล้ว Alone Again ที่ดูจะเคว้งคว้างเร่งเร้าเสียกว่า และยังมีเสียงสวรรค์จากน้า Jim Carrey ซึ่งเป็น narrator คนสำคัญประจำคลื่นวิทยุที่ช่วยให้คนฟังเย็นลงจากการตะลุยฟังทั้งอัลบั้ม ดูแกไม่น่าจะเข้ากับโลกของ The Weeknd ได้ แต่น้าแกคือความเป็นมิตรที่ลดความตึงโดยไม่ต้องพยายาม อีกหนึ่งจุดที่ first impression มากเลยคือ จิงเกิ้ล 103.5 FM ที่ Abel ขับขานเป็นความ custom ที่โคตรวิเศษมากๆ
- เพิ่มความกระชุ่มกระชวยขึ้นมาหน่อยในเพลงต่อมา How Do I Make You Love Me? ที่ไม่ต่างจากไอ้หนุ่มจอมรุกที่อยากจะคว้าตัวคว้าใจเต็มที่ ไม่อยากให้โอกาสหลุดลอยไป ส่วนสาวเจ้าจะให้โอกาสมั้ย เป็นเรื่องที่แอบกังวล อยากจะรู้คำตอบซะเหลือเกิน แถม outro มีการ transition สู่ Take My Breath ในแบบที่ลากยาวอินโทร น่าจะเต็มอิ่มสาแก่ใจคนที่ชอบเพลงนี้เป็นทุนเดิมอยู่ไม่น้อย เพราะนี่คือ Extended Version ที่ Abel จงใจให้เราดำดิ่งกับเพลงนี้ไปมากกว่าตอนที่ได้ฟังในซิงเกิ้ล ถ้าเป็นในงานคอนเสิร์ต ท่อนแยกเป็นจังหวะ interact กับคนดูเลยก็ว่าได้
- Sacrifice ซิงเกิ้ลที่สองโดดเด่นด้วยสไตล์อิเล็กโทรฟังก์ ซาวน์ดฉวัดเฉวียน แถมเป็นเพลงตัดพ้อในแบบหยิ่งในศักดิ์ศรี กูจะไม่ยอมเสียสละตัวตนเพียงเพื่อให้ผู้หญิงมาชอบ ไม่ใช่รักแบบยอมพลีชีพ Die For You เป็นความโสดแบบโฉดๆที่แอบแฝงความเท่ห์ด้วยคติประจำใจของคนที่ไม่อยากให้ความช้ำใจมาพรากเวลาไปง่ายๆ
- หลังจากฟังเรื่องเล่าผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ร่วมแล้ว ต่อเนื่องด้วยอาร์แอนด์บีโชว์ลูกคอ ท่วงทำนองแช่มชื้น แต่ในใจเสียดายสุดแสนอย่าง Out of Time กลิ่นอายดูไหลลื่นคล้ายๆกับ I Feel It Coming แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่ามากๆตรงที่มันมีอารมณ์ถวิลหามากกว่าหวานเลี่ยนแบบเพลงนั้น เป็นความอ้อนวอนยื้อเวลาที่โคตรเท่ห์เสียจนเคลิ้มตามมากกว่าจะเศร้าระทม มีแนวโน้มถูกตัดเป็นซิงเกิ้ล
- ต่อด้วยเพลงสโลแจมอย่าง Here We Go Again ที่สวนทางความพลุ่งพล่านตามแขกรับเชิญ Tyler The Creator ที่ควรจะเป็น เป็นการร่วมงานครั้งแรกที่รวมหัวกันแชร์ตัดพ้อนิยามรักแท้ที่ความตลอดกาลเป็นอะไรที่ยาวนานและน่าเบื่อเกินไปด้วยพิธีการต่างๆนาๆที่ดันสร้างเงื่อนไขให้น่าปวดหัวตามมา โดยเฉพาะไทเลอร์ที่มาแบบสั้น แต่โคตรมีหลักการร้อยแปดมาก ดูเหมือนจะบ่นเรื่องเงื่อนไขการจดทะเบียนสมรสที่อาจจะจบลงด้วยการไปศาล หากต้องหย่าร้างกัน ส่วน Abel เองก็โคตรจะเกทับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ใส่แฟนเก่าซะเหลือเกิน แฟนผมเป็นดาราใหญ่ ส่วนแฟนคุณแม่งโคตรเบสิค เสียงร้องของ Abel เคลิ้บเคลิ้มชวนฝันซะเหลือเกิน แต่เนื้อในแม่งโคตรร้าย ในขณะที่ Best Friends ให้อารมณ์ friend with benefits แค่เซ็กส์กันก็พอ ไม่ต้องผูกมัดให้ toxic ยุ่งเหยิงเปล่าๆ โดดเด่นด้วยจังหวะเพลงแบบ Bounce
- Is There Someone Else? เพิ่งเคยเห็นเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ในเพลงของ Abel ประโยคคำถามแบบนี้มักจะเป็นการเรียกร้องความสนใจ อันที่จริงแล้วเป็นการถามให้ชัดเจนว่า เธอมีใครอยู่มั้ยหว่า เราแม่งโคตรชัดเจนถึงขั้นจะเปลี่ยนตัวเองเลยก็ได้ ถ้าปล่อยให้เบลอขนาดนี้ ไม่งั้นจะเจ็บทั้งเขาและเราพอกัน Starry Eyes เพลงพาร์ทสองต่อเนื่องที่ฉายภาพคนที่ถูกลอยขึ้นที่ไหนซักอย่าง ประหนึ่งอยู่ในห้วงอารมณ์เพ้อฝันแบบที่ละทิ้งไอ้ความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีแบบที่เคยเป็นในเพลงที่ผ่านๆมา กลายเป็นการพยายามอย่างยิ่งยวดในการยอมละทิ้งศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเลยทีเดียว
- มาถึงช่วง commercial ที่น่าฉงนสนเท่ห์จริงๆอย่าง Every Angel Is Terrifying ที่ช่วงแรกของ interlude สานต่ออารมณ์จากความเพ้อฝันจากเพลงก่อนแล้วก็วูบมาสู่แสงรำไรลางๆราวกับตื่นขึ้นมาในที่ไหนซักแห่ง แล้วขึ้นมาอ่านบทกลอนเกี่ยวกับความลุ่มหลงในความงามด้วยความรู้สึกเวทนาว่า ทำไมผู้หญิงแม่งใจร้ายจังวะ นางฟ้าทุกตัวแม่งไม่น่าไว้ใจจริงๆ เอาจริงๆไอ้ตอนอ่านกลอนแล้วมีเสียง cheer up อยู่ตรงแบ็คกราวนด์ให้อารมณ์อยู่ในวงสัมมนาไลฟ์โค้ชอยู่เหมือนกันนะ ยิ่งตัดด้วยโฆษณา After Life นี่แม่งใช่เลย ขายฮาวทูชัดๆ สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกฉงนสนเท่ห์กับ interlude นี้เป็นพิเศษคงหนีไม่พ้นการโหมกระหน่ำด้วยบีทเพลงที่เร้าใจสัดๆ และยิ่งหยอด hint ไปสู่ไตรภาคถัดไป After Life เนี่ย มันทำให้เรากระหายอยากรู้จริงๆว่า จะไปทางหวือหวา sexy euphoric bizarre หรือไม่ เป็น easter egg ที่โคตรน่าติดตาม
- พอมาถึงโหมดปกติ Don’t Break My Heart นี่แทบจะเกี้ยวพาราสีใน discotheque เลยทีเดียว สำเนียงการร้องแบบมีลาชวนระลึกถึง MJ แต่มาอยู่ในบรรยากาศผับมืดๆวูบวาบหน่อย I Heard You’re Married จังหวะดุ่มๆใจแป้วๆสไตล์คนที่ไปข้องแวะกับคนมีเจ้าของแล้ว แต่ก็เสี้ยมให้เลิกกับเขาให้จงได้ ซึ่งต่างจาก You Right ที่เคยไปแจม Doja Cat ที่ดูจะอ่อนโยนยอมรับทางใครทางมันมากกว่าที่จะคะยั้นคะยอ กวนประสาทแบบนี้ ส่วน Lil Wayne ก็ยังแร็ปด้วยความรู้สึกมึนๆปนตัดพ้อหน่อยๆ
- มาถึงเพลงสุดท้ายอีกหนึ่งตัวเก็งถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลอย่าง Less Than Zero กลิ่นอาย Save your Tears ชัดๆ มีความเขยิบพลัง vibe ให้แคบลง แต่มีความต่างตรงที่สำเนียงขยุ้มกีตาร์อคลูสติคบางๆเนี่ยแหละ บัลลาดติดหูไพเราะโคตรๆ สายแมสน่าจะชอบอยู่ เหมือนพยายามจะปลดแอกตัวเองจากคนๆนั้นเต็มที่ ทั้งที่ในใจแม่งโคตรข่มอารมณ์ เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดกับอดีตเคยเลวที่ผ่านมา ซึ่งถ้าล่วงรู้ความจริง เค้าคงรับไม่ได้แน่ๆ Abel ก็ยังคงแสดงความเนิร์ดหนังด้วยการอ้างอิงมาจากหนังในชื่อเดียวกันที่นำแสดงโดยน้า Robert Downey Jr. โดยในท่อน Now you’d rather leave me / Than to watch me die in your arms ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากซีนสุดสะเทือนใจของน้าโรเบิร์ตที่ overdose ยาแล้วตายในที่สุด ในเมื่อเป็นผู้ชายติดลบซะขนาดนี้ก็เจอกันครึ่งทางล่ะกัน อีกหนึ่งเพลงที่ยังคงฉายแสงเซนส์ป็อปได้แข็งแรงและอาจองมากๆ
- ปิดท้ายด้วยซีนเต็มๆของน้า Jim Carrey ใน outro ปิดท้ายอัลบั้ม Phantom Regret By Jim ที่เป็นบทสรุปการเดินทางที่ผ่านมาตลอดทั้งอัลบั้ม สรุปใจความได้ว่า การโหยหาความผาสุกไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนเลย การปล่อยวางความเสียดายเป็นสิ่งที่จำเป็นในก้มหน้ายอมรับอดีตที่เคยพลั้งพลาดและไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับคุณว่าเลือกที่จะลงโทษตัวเองหรือเลือกที่จะปลดเปลื้องจิตใจอันหนักอึ้งด้วยเพลงที่คุณชื่นชอบหรือรู้สึกดี หัดที่จะทำความเข้าใจต่อผลที่จะตามมาในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะติดอยู่กับวังวนต่อไปหรือไม่? ทั้งๆที่สวรรค์นั้นอยู่ใกล้ยิ่งกว่าน้ำตาที่อาบแก้มคุณเสียอีก คุณต้องเป็นสวรรค์เสียเองเพื่อที่จะค้นพบทางสงบของใจ
- ผมยกให้ Outro นี้เป็นการปิดท้ายอัลบั้มที่ดีที่สุดของ The Weeknd โดยไม่คิดมากเลย มันเป็นการตอบโจทย์ประสบการณ์ที่ผ่านมาจากหลายอัลบั้มที่ผ่านมาด้วย solution ที่พูดง่าย เข้าใจว่าทำยาก แต่แม่งโคตรจริงสัดๆ มันไม่ใช่บทเรียนง่ายๆที่ผ่านจากไลฟ์โค้ชหลายๆคนที่มักจะมองชีวิตคนอื่นด้วยมุมมองที่ง่ายไป inspire ประเดี๋ยวประด๋าว ทั้งๆที่ชีวิตแม่งมีเรื่องซับซ้อนเต็มไปหมดคอยฉุดไม่ให้ตัวเองคิดแบบนั้นแบบนี้ เป็น poem ที่อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจโลกที่ดีมากๆ สุดท้ายมันก็จบลงที่การยอมรับต่อสิ่งที่ตามมาจากการตัดสินใจ ไม่ทางใดก็ทางนึงอยู่ดี ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของจริง บางทีการเป็นคนแก่ตามที่ปกอัลบั้มต้องการจะสื่อ อาจจะนำพาสู่ชีวิตหลังความตายสู่การเกิดใหม่ใน After Life ใครจะไปรู้ ?
You gotta be Heaven to see Heaven
May peace be with you
- ตั้งแต่การเริ่มต้นไตรภาคด้วย After Hours ยิ่งตอกย้ำการเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งกาจที่ไม่เหมือนใครราวกับว่าเขารังสรรค์จักรวาลของตัวเองใหม่โดยไม่ต้องตามใครอีกต่อไปแล้ว บางทีการก้าวมาสู่เมนสตรีมมักจจะมีคำข้อครหาเสมอว่า จากที่เคยตามใจตัวเองจนมันเข้มข้น กลับกลายเป็นความเจือจางเพื่อซาวน์ดเสียงกลางให้คนหมู่มากมีจุดร่วมไปกับมันได้ จะบอกว่าขายวิญญาณก็เข้านิยามเหมือนกัน
- แต่สำหรับ Abel เขามีทั้งอำนาจต่อรองและรักษาจิตวิญญาณของศิลปินได้พร้อมๆกัน โดยที่ไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปมากนัก นี่อาจเป็นเหตุผลที่ผมไม่ยึดติดว่าเขาต้องกลับไปเป็นไอ้หนุ่มฮาร์ดคอแรงๆแบบที่เคยเป็นใน Trilogy อีกต่อไปเลยนะ ก่อนที่จะมาเริ่มไตรภาคนี้ ผมคิดว่า Abel พยายามหาจุดร่วมที่สามารถดึงสาวกเดนตายในอดีตและแฟนเพลงในยุค Kiss Land เป็นต้นไปได้มีจุดที่พึงพอใจไม่ครึ่งทางก็เปิดใจกับการเดินทางครั้งใหม่ด้วยความว้าวซ่า ถูกรีเซ็ทมุมมองใหม่ด้วยไตรภาคนี้ก็เป็นได้
-ภายใต้ความล้ำด้วยภาคดนตรีและคอนเซปต์ Abel ก็ไม่ลืมที่จะคารวะวัฒนธรรมยุค 80’s - 90’s ที่ขับเคลื่อนความบันเทิงด้วยวิทยุ คารวะไอดอลในอดีตที่พอจำได้ก็มี Michael Jackson ที่ Abel ให้ความเคารพเสมอมา การเชิญลุง Quincy Jones โปรดิวซ์เซอร์สายตรงของ MJ มาแชร์ประสบการณ์ชีวิตครอบครัวอีกด้านก็ยิ่งใกล้ชิดคนรอบข้างของป็อปสตาร์ผู้ล่วงลับมากขึ้นทุกที อีกหนึ่งคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือบุรุษสีม่วง Prince ที่ส่งต่ออิทธิพลต่อคอนเซ็ปท์โดยไม่ต้องสงสัย แนวคิด After Life ก็คารวะความเป็น Afterworld ในเพลง Let’s Go Crazy และใน Outro ปิดท้ายอัลบั้มก็มีการกล่าวถึง Purple Rain ด้วย
- นี่คืออัลบั้มรับศักราชและ era ใหม่ของ The Weeknd ที่แลดูมีความหวังไปสู่จุดที่สมดุลทั้งชีวิตและงานเพลงด้วยความเชื่อมั่นได้มากกว่าเดิม มีน้อยคนที่พอเข้าสู่การเป็นศิลปินเมนสตรีมแล้วจะเน้นเป้าประสงค์แค่การเป็น hitmaker เพียงอย่างเดียวโดยที่ละทิ้งการสร้างผลงานอัลบั้มแบบเป็นชิ้นเป็นอัน สำหรับ Abel คือศิลปินแห่งยุคที่รักษาตัวตนทั้งสองทางได้แนบเนียนพอกัน มีเพลงที่มีแนวโน้มฮิตบ้าง เอาใจคนหมู่มากบ้างเพื่อดึงดูดพวกเขาไปสู่จักรวาลใบเต็มของเขาได้อย่างแนบเนียน
- อีกอย่างช่วงหลังจากยุค After Hours เขาเริ่มรู้จักการปูทางก่อนเข้าสู่อัลบั้มนี้อย่างเนียนๆด้วยการแชร์ hint ในเพลงที่ตัวเองไปแจม ไม่ว่าจะเป็น Hurricane, Tears In The Club หรือการใส่ชุดหนังดำปรากฏตัวตามงานต่างๆ หรือในเอ็มวีเพลงที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากอัลบั้มนี้พอสมควรอย่าง You Right จะเห็นได้ว่าเรื่องพวกนี้ผ่านการคิดมาอย่างดีแล้วทั้งสิ้น กลยุทธ์แบบนี้แหละคือ mindset ของศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
Top Tracks : Dawn FM, Gasoline, How Do I Make You Love Me?, Take My Breath, Sacrifice, Out of Time, Here We…Go Again, Don’t Break My Heart, Less Than Zero, Phantom Regret By Jim
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
Genre : synth-pop, R&B Soul
Credit Producer : Benny Bock, Brian Kennedy, Bruce Johnston, Calvin Harris, Charlie Coffeen, DaHeala, Gitty, Max Martin, OPN, Oscar Holter, Peter Lee Johnson, Rex Kudo, Swedish House Mafia, Tommy Brown, The Weeknd