16 ม.ค. 2022 เวลา 05:16 • การตลาด
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เซลล์ขายยาที่หมอทุกโรงพยาบาลเคยยี๊ กลายเป็นนักขายอันดับหนึ่งได้ในชั่วข้ามคืน???
ในช่วงปี 1996 – 1998 บริษัทยายักษ์ใหญ่ที่ชื่อ Pfizer (ใช่ครับ ที่ผลิตวัคซีนโควิด ไฟเซอร์นั่นแหละ) ได้รับเซลล์แมนเข้ามาหนึ่งคน
เซลล์ขายยา หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า “ดีเทลยา” มีหน้าที่พยายามทำทุกวิถีทางให้คุณหมอในโรงพยาบาลต่างๆตัดสินใจสั่งยาที่บริษัทยาอยากจะขาย
เซลล์แมนมือใหม่ของ Pfizer มีชื่อว่า เจมี่ แรนดัล เป็นผู้ชายเจ้าชู้ ฟันหญิงไปทั่ว ที่พึ่งตกงานจากการเป็นเซลล์ขายอุปกรณ์ไฟฟ้าราคาถูก เพราะดันไปเอาเมียเจ้าของ
เจมี่ผ่านการเทรนเต็มรูปแบบจนท่องสรรพคุณยาได้ขึ้นใจ เขาไปอยู่ภายใต้การดูแลของผู้จัดการที่ชื่อว่า บรูซ ซึ่งต้องการผลักดันยาที่ชื่อ Zoloft ยาตระกูลคลายเครียดกลุ่ม Sertraline เข้าไปแทนที่ยา Prozac ที่กำลังครองตลาดอยู่
บรูซแนะนำให้เจมี่ตีสนิทกับ คุณหมอไนท์ เพราะไนท์คือหมอสุดฮ็อตที่โด่งดัง ถ้าหมอไนท์สั่งยาอะไร อีกไม่นานโรงพยาบาลอื่นๆก็จะสั่งตามแน่ๆ
แต่การเป็นดีเทลยาก็ไม่ต่างจากการเป็นเซลล์แมนทั่วไปครับ คือไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยด้วยเท่าไหร่ ถ้านึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงเวลาที่คุณไปเดินห้างแล้วมีพนักงานขายพยายามจะยัดใบปลิวให้แล้วก็บอกว่า “ขอเวลาซักครู่ได้ไหมคะ” คนส่วนมาก รวมถึงคุณและผมก็มักจะยกมือขึ้นทำท่าบ๊ายบาย แปลว่า “ไม่สะดวก” หรือ “ไม่อยากคุยด้วย”
เจมี่ประสบปัญหาแบบนี้เลยครับ คือคุณหมอทุกโรงพยาบาลพอเห็นว่าเป็นดีเทลจะมาสาธยายสรรพคุณยาให้ฟัง ทุกคนต่างพยายามเดินหนี ถ้าบุกเข้ามาถึงออฟฟิส หมอก็จะให้เลขาฯบอกปัดๆ และก็บอกให้ทิ้งตัวอย่างไว้ให้จบๆไป
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นพระเอกของเรื่องอย่างเจมี ถึงได้จบลงที่การกลายเป็นเซลล์อันดับหนึ่ง ได้รับการโปรโมทให้รับตำแหน่งสูงที่ทุกคนในอุตสาหกรรมยาใฝ่ฝันถึง แถมยังกลายเป็นเพื่อนสนิทกับคุณหมอไนท์ ในขนาดที่หมอไนท์ยอมสั่งยา Zoloft มาแทน Prozac ให้ได้จริงๆ?
เรื่องมันเริ่มจากการที่เจมี่ ได้มาพบกับนางเอกสุดสวย แม็กกี้ เมอร์ด็อก ครับ แต่ไม่ใช่เพราะพลังแห่งความรักหรอกนะครับ
แม็กกี้เป็นโรคพากินสันตั้งแต่ยังสาว ทำให้เธอเดินทางเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น และกินยาวันละหลายขนาน เธอจึงรู้ข่าวคราวในวงการยาเป็นอย่างดี
เรื่องที่ผมเล่ามาจนถึงตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริงนะครับ อาจจะมีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงบ้าง คือบริษัทและชื่อยาต่างๆอ่ะเป็นของจริง แต่เจมี่ แม็กกี้ และตัวละครอื่นๆ อยู่ในหนังรักโรแมนติกคอมมิดี้ที่ชื่อ Love & The Other Drugs
เรื่องราวน่าประทับใจของเจมี่ กับแม็กกี้เป็นยังไงต่อ ผมไม่สปอยล์ละกัน ลองไปดูในหนังเอาเองนะครับ
แต่ประเด็นสำคัญสำหรับคนทำธุรกิจออนไลน์ และคนทำโฆษณาเกิดขึ้น เมื่อแม็กกี้บอกเจมี่ว่า Pfizer กำลังพัฒนายาตัวนึง ซึ่งแก้ปัญหาที่โคตรสำคัญสำหรับผู้ชายทุกคน
“ปัญหานกเขาไม่ขัน” ใช่ครับ ปี 1997 – 1998 เป็นปีที่โลกได้รู้จักกับ Viagra หรือที่บ้านเรารู้จักกันในชื่อ “ไวอากร้า”
เจมี่รู้เรื่องนี้เข้า จึงได้พยายามเซ้าซี้ให้บรูซไปเอายานี้มาให้เขาขาย
“จะมีใครขาย ยาเย็ด (Fuck Drug) ได้ดีไปกว่าผมอีกล่ะบรูซ” เจมี่ หนุ่มเจ้าชู้ที่ฟันหญิงมาไม่เลือกหน้า มั่นใจสุดๆ
และมันก็แบบนั้นจริงๆครับ เพราะพอเจมี่เปลี่ยนมาขาย Viagra เลขาฯสาวๆทุกคนของหมอต่างก็ยินดีรับตัวอย่าง เพราะอยากเอาไปให้ผัวกิน
คุณหมอจากทุกโรงพยาบาลที่เคยวิ่งหนีทันทีที่เห็นเจมี คราวนี้กลายเป็นเดินเข้ามาขอตัวอย่างยาด้วยตัวเอง (คือในเรื่อง หมอค่อนข้างขี้เงี่ยนด้วยครับ อยากฟันสาวได้แบบเยอะๆ)
เจมีเปลี่ยนตัวเองจากเซลล์ขายยากากๆ ให้เป็นนักขายอันดับหนึ่งได้ด้วยการเปลี่ยนสิ่งเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่การแต่งกาย
ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย
ไม่ใช่ทักษะการนำเสนอ
 
แต่เป็น Offer หรือ “ข้อเสนอ” ที่กำลังนำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายต่างหาก
“ถ้าคุณทำโฆษณาได้ดี แต่ข้อเสนอของคุณมันห่วยแตก คุณจะขายไม่ได้”
“แต่ถ้าคุณมีข้อเสนอสุดวิเศษ แม้โฆษณาจะห่วยแตกแค่ไหน คุณก็จะขายได้ดีครับ”
นั่นหมายความว่า ถ้าตอนนี้คุณกำลังยิงแอดอยู่แต่ขายไม่ได้ ให้ “เปลี่ยนสินค้า หรือบริการที่ขายอยู่” ใช่หรือไม่?
ทั้งใช่ และไม่ใช่ครับ
ถ้าคุณเปลี่ยนสินค้า และพยายามไปเสาะหาสินค้าใหม่จนเจอขุมทรัพย์สินค้าขายดี ที่ยังไม่มีคู่แข่งในตลาด ยอดขายคุณจะพุ่งกระฉูดแน่นอน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนทำได้ จริงไหมครับ? คุณอุตส่าห์ผลิตสินค้าซักชิ้นขึ้นมาอย่างยากเย็น หรือสั่งสต็อกมาเป็นบ้านไปหมด อยู่ๆจะมาบอกให้ “ไปขายอย่างอื่นซะ” แล้วทิ้งสต็อกสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมดไป แบบนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้
คุณไม่ต้องเปลี่ยนสินค้าก็ได้ครับ แต่คุณต้องเปลี่ยนข้อเสนอ
คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่า “ข้อเสนอ” เท่ากับ “สินค้า” และนั่นทำให้พวกเขาไม่รู้วิธีออกแบบข้อเสนอชนิดที่ลูกค้าต้องทึ่งจนลืมตัวควักกระเป๋าจ่ายโดยอัตโนมัติ
ด้วยสินค้าหรือบริการที่คุณมีอยู่ คุณสามารถออกแบบข้อเสนอใหม่ ที่จะทำให้ยอดขายของคุณเพิ่มขึ้นได้ทันที
ยิ่งถ้าคุณรู้จักนำข้อเสนอนั้น มานำเสนอตามลำดับจิตวิทยาที่ถูกต้อง คุณก็จะต้องได้เหนื่อยกับการรับคำสั่งซื้อที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอนครับ
มีองค์ประกอบ 6 อย่าง ที่จะช่วยให้คุณเกลาข้อเสนอสินค้า หรือบริการของตัวเองให้มหัศจรรย์ชนิดที่ลูกค้าต้องตะโกนในใจว่า “เห้ย! โคตรคุ้ม!!”
ศาสตร์แห่งการสร้างสุดยอดข้อเสนอ และการนำเสนอแบบที่เจาะเข้าไปถึงหัวใจของกลุ่มเป้าหมาย เรียกว่า Copywriting ครับ
ถ้าสนใจอยากเรียนรู้เรื่อง Copywriting เพื่อเพิ่มยอดขายจากการทำการตลาดของตัวเองให้สูงขึ้น...
คลิกไปดูคอร์สเรียน Copywriting Fundamental ที่นี่ได้เลยครับ https://www.incomeinclick.in.th/cwf-detail/
โฆษณา