18 ม.ค. 2022 เวลา 12:23 • ความคิดเห็น
ปัญหาความยากจน เกิดจากโครงสร้างภาคการเกษตรที่ไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ในกลุ่มชาวนาเองไม่ได้มีคนจนทั้งหมด ชาวนาจะมี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะมีที่ดิน เมล็ดพันธ์ุ เครื่องมือ และเงินทุนหมุนเวียน สามารถเก็บเกี่ยวและรอราคาขายได้ กลุ่มนี้จะมีน้อยแต่มีฐานะดี ส่วนชาวนาอีกกลุ่ม ไม่มีที่ดิน(เดิมอาจมีแต่ขายและเช่าที่นาตัวเองทำกิน) ไม่มีทุน ต้องกู้ยืม ไม่มีเมล็ดพันธุ์ เพราะผลิตได้ต้องขายหมด ถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ต้องกู้หนี้ยืมสินมาทำ เมื่อทุกอย่างเป็นรายจ่ายจึงมีต้นทุนสูงกว่าชาวนากลุ่มแรก ชาวนากลุ่มนี้ตั้งหน้าตั้งตาทำนาโดยไม่คิดถึงต้นทุนค่าแรงตัวเองยังไม่คิด เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ต้องรีบขาย เพราะมีหนี้สินต้องชำระ ผลกำไรที่ได้ไม่มากพอที่จะดำรงชีวิตจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวรอบต่อไป อย่างไรก็ตามชาวนากลุ่มนี้บางส่วนมีวินัย และการจัดการที่ดีถึงแม้เช่าที่ดินก็ยังมีกำไรมากพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้
สรุป ชาวนาต้องพัฒนาตัวเอง มีวินัยในการทำมาหากินเหมือนอาชีพอื่น ๆ ทำการเกษตรให้เป็นธุรกิจไม่ใช่ทำไปวัน ๆ รอฟ้ารอฝน และที่สำคัญควรมีการรวมกลุ่มกันตั้งเป็นสหกรณ์หรือประชาคม จะช่วยให้มีน้ำหนักในการต่อรองราคากับผู้รับซื้อ ปัจจุบันชาวนายังทำแบบตัวใครตัวมัน ทำให้พ่อค้าคนกลางสามารถกดราคาได้ ภาครัฐเองก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ปัจจัยสำคัญในการทำการเกษตรคือแหล่งน้ำ การชลประทานที่ไม่ดีพอเป็นผลที่ทำให้ผลผลิตเสียหายทั้งภัยแล้ง และน้ำท่วม เร็ว ๆ นี้ จะเห็นข่าวว่ามีการส่งออกข้าวมากขึ้นแล้วข้าวที่ส่งออกมาจากไหน ทำไมราคาข้าวถุงถึงสูงกว่าราคาข้าวเปลือกแบบต่างกันมากมาย ถ้ามีการจัดการดี ๆ อาชีพชาวนาก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่จนที่สุดครับ ชาวนาสู้ ๆ ครับ ผมก็ลูกชาวนา
โฆษณา