19 ม.ค. 2022 เวลา 04:08 • ไลฟ์สไตล์
“ติดดี กิเลสละเอียดที่ควรละ
… ผลที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้ตามใจใคร”
คำถาม : กราบขอโอกาสพระอาจารย์ครับ กระผมขอรายงานสภาวะครับ เมื่อเช้าเมื่อวานนี้ ผมเกิดอาการเบื่อ คือมันเบื่อในความคิด เบื่อ เบื่ออะไรหลาย ๆ อย่างครับ
1
อันนี้ผมก็เข้าไปดูที่ใจ ผมเป็นคนชอบสังเกตนะครับ ว่าไอ้เบื่อเนี่ย เราเบื่อโดยนิวรณ์หรือเปล่า ?​ แต่ผมก็คิดว่าไม่ใช่ คือมันเบื่อ หรือแม้กระทั่งว่าจะไปฉันข้าวอะไร ผมก็ยังรู้สึกว่าผมเบื่อ
พอผมปฏิบัติตอนเช้านะครับ ผมก็เริ่มนึกขึ้นมาได้ว่า คือหน้าที่เรา เราก็มีหน้าที่ที่เราจะต้องเดินตามอริยมรรคมีองค์แปด เราก็ควรจะเอามาใช้ในเรื่องของวิริยะ มันก็คือความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผม
ครั้งนี้ผมก็จะขอคำแนะนำจากพระอาจารย์นิดนึง ที่ผมประสบปัญหาในตอนนี้ แล้วมันก็เกิดขึ้นมาจากตัวเองครับ ซึ่งผมพยายามพิจารณาดูตัวเองว่าเรา ยังมีอะไรเหลืออยู่ในจิตในใจเราบ้างไหม เช่น ราคะ โมหะ ความหลง ความอยากได้อะไร เรายังมีอยู่ไหม ? หรือ โทสะ อะไรอย่างนี้ครับ แต่ผลปรากฏว่า ผมก็สำรวจตัวเอง ว่าสิ่งที่มันนอนเนื่องอยู่ในใจ ในขันธสันดานของผม
ที่ผมกล้าเปิดเผยออกมานะครับ คือผมยังมีโทสะ
ที่มันนอนเนื่องอยู่ในใจ ที่มันยังมีอยู่
อย่างเช่น เรื่องบางเรื่องที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ มันก็เกิด
อย่างเช่นเมื่อคืนนี้ผมก็นั่งภาวนาไป ในระหว่างที่ฝนตก แค่เสียงหยดน้ำที่มันหยดลงกระป๋องแค่นี้ครับ ผมก็เกิดปฏิฆะเล็ก ๆ ขึ้นมา นั่งไปเรื่อย ๆ ก็จะลุกไปเอากระป๋องนั้นออกไป
แต่ผมก็มานั่งคิดว่า เอ๊ะ ทำไมเสียงที่หยดที่มันลงไปที่กระป๋องนี้ กับเสียงฝนที่แตะใบไม้ ทำไมเราไม่รู้สึกรำคาญ อันนั้นก็คืออันนึงที่ผมก็เลยรู้ว่า เออ มันยังโทสะที่มันผุดอยู่ในใจ เป็นสันดานเป็นขันธสันดานที่มันนอนเนื่องอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ
แล้วก็อย่างเมื่อเช้า เสียงสวดมนต์ นั่งสวดมนต์กันแล้วก็ พอมันมีเสียงที่มันแปร๋นออกมานิดนึง ผมก็เกิดโทสะเล็ก ๆ ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่มีได้ปฏิฆะกับพระรูปนั้น แต่มันเกิดขึ้นมานอนเนื่องในใจ บางทีก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็เกิดขึ้นมา ผุดขึ้นมาได้
ผมขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ เพื่อที่ผมจะได้ถอนโทสะตรงนี้ ออกมาจากที่มันนอนเนื่องอยู่ในหัวใจของผมขึ้นมานะครับ
คำตอบ : ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่า การติดดีนั่นเองนะ
ทำไมกระป๋องที่วางรองหยดน้ำ เมื่อมันมีเสียงกระทบ เรากลับรู้สึกถึงความไม่ปกติของใจ แว๊บขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่รอบข้างฝนมันก็ตกอยู่ปกตินั่นเอง ? ทำไมเวลาสวดมนต์ ได้ยินเสียงที่มันแว๊บมา ไม่พร้อมเพรียงกัน ไม่กลมกล่อม มันรู้สึกเกิดการกระเพื่อมภายในใจขึ้นมา ความไม่ปกติ เกิดขึ้น รู้สึกได้ รับรู้ได้
อนุสัยต่าง ๆ นอนเนื่องเนี่ย มันก็คือสิ่งที่เรียกว่า การติดดีนั่นเองนะ
อยากจะให้มันดี อยากจะให้มันสมบูรณ์แบบ
อยากจะให้มันเรียบร้อย
อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้
ก็เป็นสิ่งที่เรา เมื่อเริ่มรู้เท่าทัน ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ละ ขัดเกลาสิ่งเหล่านี้ออกไปนั่นเอง การจะกลับคืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ คืนสู่ความเป็นกลางที่แท้จริงได้นั้น นอกจากจะต้องละความชั่วแล้ว ก็ต้องละเรื่องของการติดดีด้วยนั่นเอง
ทำความดี แล้วไม่ติดดี นั้นเป็นอย่างไร ?​
ก็คือทำความดีแล้วไม่หวังผลนั่นเอง
ไม่คาดหวังผล ผลที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเรื่องของธรรมชาตินั่นเอง
เหมือนเราปลูกต้นไม้ เราก็ลงมือปลูก รดน้ำพรวนดิน สร้างเหตุปัจจัยไว้ แต่ต้นไม้มันก็เติบโตไปตามธรรมชาตินั่นเอง ต้นไม้นั้นไม่ได้เติบโตตามใจของเรา ต่อให้เราคาดหวัง หวังผล มันก็ไม่ได้เกิดการเติบโตตามใจของเรา
แต่ผลจากการที่เราคาดหวัง มันจะเกิดการกระเพื่อมขึ้นมา เพราะว่าเมื่อมันไม่เป็นไปตามการคาดหวังของเรา ใจมันก็จะไม่ปกติ แต่เมื่อใดที่เราละสิ่งเหล่านี้ออกไปได้
ปลูกไปแล้ว ผลมันจะเป็นยังไง มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติแล้ว เรามีหน้าที่แค่สร้างเหตุปัจจัยอยู่เนือง ๆ นั่นเอง
ละการติดข้อง
การติดดีก็ยังเป็นการติดข้องอยู่กับโลกอยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นกิเลสแบบละเอียดนั่นเอง ที่เมื่อเราปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง ก็ต้องละออกทั้งหมดเลย
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เป็นผู้ลอยบุญ ลอยบาป พ้นดี พ้นชั่ว พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง จึงจะคืนสู่ความเป็นกลางของธรรมชาติได้
เมื่อการปฏิบัติเราได้เพาะบ่มตนเอง มาถึงจุดที่ภาวะผลิบานออกมา เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง มันย่อมเกิดความเบื่อหน่าย เป็นปกติของธรรมชาติอยู่แล้ว
ความปรุงแต่ง ความแปรปรวน ความไม่เที่ยงแท้ ความไม่มีสาระแก่นสารต่าง ๆ มันจะน้อมไปเพื่อการปล่อยวาง การจางคลายจึงเกิดขึ้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
เมื่อเกิดความจางคลาย หรือ คลายออกจากความกำหนัด ความติดข้องยินดีในโลกทั้งปวง เกิดการสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ก็ดำรงอยู่กับความสงบวิเวก ความสงบภายใน รสแห่งพระธรรมอันบริสุทธิ์ ดำรงอยู่กับความวิเวกอยู่นั่นเอง
ในขณะที่ดำรงอยู่ในความวิเวกนั้น ก็สามารถดำรงอยู่ได้ทั้ง ๒ ฝั่ง
ภายในก็อยู่กับความสงบวิเวกของธรรมชาติ ไม่ติดข้องกับสิ่งใด ๆ ในโลก เป็นเครื่องอยู่
ส่วนภายนอกเนี่ย ก็สามารถรับรู้สภาวธรรมที่ปรากฏ ที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
ภายนอกก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไปตามสมมติมายาของโลก
ท่านเรียกว่าสามารถดำรงอยู่ได้ทั้ง ๒ ฝั่ง
ทั้งฝั่งวัฏสงสาร สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
และฝั่ง วิวัฏฏะ พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง
ภาษาพระท่านเรียกว่า สุญญตวิหาร
เมื่อดำรงอยู่กับสุญญตวิหารได้ จิตเข้าถึงความเป็นกลาง มันคือวิหารธรรมของ ผู้ที่ปฏิบัติฝึกฝนตนเอง ควรจะได้เข้าถึงนั่นเอง
จิตเข้าถึงความเป็นกลาง ก็จะไม่อะไร อะไร กับโลก แต่ก็สามารถทำกิจ ไปตามสมมติของโลกได้นั่นเอง
เพราะงั้น เมื่อเราปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง เกิดการเบื่อหน่าย มันก็เป็นไปเพื่อการคลายออก เพื่อหลุดออก แล้วคืนสู่ความเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
เราจะยั้งตัวได้ดี มีความมั่นคง มีความเป็นกลาง ก็เมื่อ เราเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ หรือ ความเป็นกลางของธรรมชาตินั่นเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างมีรากเหง้าเกิดขึ้นมาจากความเป็นกลางของธรรมชาติทั้งนั้นเลย
ถ้าเราดูในสมมติของโลกนี้ เหมือนแผ่นดิน แผ่นดินนี่คนจะเหยียบจะย่ำ จะทำอะไรก็ตาม แผ่นดินก็ไม่ได้อะไรกับอะไรเลย ไม่ได้มีความหวั่นไหวเลย ไม่ได้มีความพอใจ หรือไม่พอใจเลย สิ่งต่าง ๆ ก็ตั้งอยู่บนแผ่นดินทั้งนั้น
เปรียบเหมือนสายน้ำนำความชุ่มเย็น คนจะทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างลงในน้ำ ได้อาบน้ำได้ดื่มกิน น้ำก็ไม่ได้อะไรกับอะไรเลย ก็มีความเป็นกลางอยู่อย่างนั้นนั่นเอง
แต่ทุกคนก็ต้องการน้ำ ทุกคนก็ต้องยั้งตัวอยู่บนแผ่นดิน
รากฐานของธรรมชาติทั้งหมด ก็คือความเป็นกลางของธรรมชาติ
1
การปฏิบัติธรรม จะหลุดพ้นได้ ก็คือการกลับคืนสู่ความเป็นกลางของธรรมชาติ
ท่านพระสารีบุตร ท่านถึงกล่าวด้วยธรรมสังเวชไว้ว่า
จิตของท่าน เปรียบเหมือนแผ่นดิน อันกว้างใหญ่ไม่มีประมาณ คนทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ก็ไม่ได้รู้สึกขัดเคืองใจ
จิตของท่านเปรียบเหมือนสายน้ำ เปรียบเหมือนสายลม เปรียบเหมือนไฟ
นั่นคือจิตที่กลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติ
วิถีของการปฏิบัติ ก็จะเป็นไปแบบนี้นั่นเอง คือการกลับคืนสู่ความเป็นปกติ สู่ความเป็นกลางของธรรมชาตินั่นเอง … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา