21 ม.ค. 2022 เวลา 05:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Dirty Money เมื่อกำไรมาก่อนศีลธรรม
“คุณเข้าใจใช่มั้ยว่า การทำแบบนี้ มันโลภมากแค่ไหน”
“ใช่ ผมเข้าใจว่ามันดูโลภ แต่ผมว่ามันก็มีหลายส่วนที่ทำโดยเห็นแก่ผู้อื่นด้วย”
กล่าวโดย มาร์ติน ชเครลี (Martin Shkreli) เจ้าของบริษัทยา Turing Pharmaceuticals
💵 Dirty Money เป็นซีรีส์ของ Netflix ที่นำเสนอเรื่องราวการทำกำไรที่ผิดศีลธรรม ในมุมต่าง ๆ ของโลก เช่น เหตุการณ์ปลอมเอกสารเปิดบัญชีของธนาคารชื่อดัง Wells Fargo และการมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรค้ายาของธนาคาร HSBC
เล่าเรื่องโดยใช้เหตุการณ์จริง ใครเป็นคอสายการเงินต้องชอบแน่นอน
ซีรีส์นี้ออกมาซักพักแล้ว ถ้าใครยังไม่เคยดู แนะนำให้ดูซักครั้ง
แต่ก่อนอื่น มาเรียกน้ำย่อยกันซักตอน (สปอยล์นั่นแหละ)
“บริษัทยา ที่ไม่เน้นขายยา” (Drug Short) 💊
ตอนนี้เกี่ยวกับบริษัท วาเลียนท์ฟาร์มาซูติคอลส์ (Valeant Pharmaceuticals) ที่เติบโตอย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น
ในช่วงปี 2011-2014 รายได้ของบริษัทเติบโต 55% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 11% ต่อปี อย่างมาก
น่าทึ่งสุด ๆ ไปเลยใช่มั้ยครับ
กลยุทธ์สำคัญ คือ เน้นการเข้าซื้อบริษัทยาหลายแห่ง เพื่อให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ลดจำนวนพนักงาน ยุบรวมแผนกบัญชี ยุบรวมแผนกขายสินค้า และลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างลง
แม้แต่เงินในการวิจัยและพัฒนายาตัวใหม่ (R&D) ก็ถูกตัดลงอย่างน่าใจหาย
Valeant มีค่าใช้จ่าย R&D แค่ 3% ของรายได้ แต่ค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมอยู่ที่ 18% ของรายได้
ลองคิดดูว่า ถ้า CEO เข้ามาบริหารบริษัทเพียง 3 ปี แต่กวาดซื้อบริษัทยาไปแล้วกว่า 22 แห่ง คิดเร็ว ๆ ก็คือ ใน 1 ปี จะต้องเข้าซื้ออย่างน้อย 7 บริษัท (มีเวลาคิด ตัดสินใจเพียง 1.7 เดือน ต่อบริษัท)
แล้วจะเอาเวลาที่ไหน ไปวางแผนหรือวิจัยพัฒนายาตัวใหม่ ๆ 🤔
“การเติบโต” เป็นสิ่งที่หอมหวาน ทุกคนล้วนอยากให้ราคาหุ้นของตัวเองปรับตัวขึ้น แต่การเติบโตที่รวดเร็วและเกินจริง ย่อมมีอะไรอยู่เบื้องหลังเสมอ
รายได้ = ราคา x จำนวนสินค้าขาย
ถ้าบริษัทต้องการให้รายได้เติบโตต่อเนื่องทุกปี สิ่งที่ต้องทำมีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่เพิ่มราคาสินค้า ก็ต้องขายของให้ได้มากขึ้น
⚠ ปัญหาคือ Valeant เลือกที่จะปรับขึ้นราคายาทุกตัวกว่า 100 ชนิด หลายเท่าตัว (เน้น !! คำว่า เท่าตัว)
หนึ่งในตัวอย่าง คือ การปรับราคายาไซพรีน (Syprine) ซึ่งใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรควิลสัน (Wilson’s Disease)
จากเดือนละ 650 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2010
เป็นเดือนละ 21,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2015
นั่นรวมถึงตัวยาตัวอื่นที่ถูกซื้อกิจการเข้ามา ก็ต้องปรับราคาขึ้นด้วยเหมือนกัน
ในช่วงเวลาเดียวกันมูลค่าของบริษัท Valeant ในตลาดหุ้น ก็ดีดตัวขึ้นจาก 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 78,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 📈
ผลคือ ยอดขายยาของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะคนไข้ที่ใช้ยาเหล่านั้นจ่ายไม่ไหว
แต่กำไรของบริษัทกลับยังเติบโตได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะคนที่จ่ายเงินจริง ๆ คือบริษัทประกันในสหรัฐอเมริกา
ถ้าคนไข้พวกนี้ไม่มีประกันสุขภาพของบริษัท ก็ต้องใช้เงินเก็บตัวเองมาจ่ายค่ายา ในท้ายที่สุดก็จะไม่มีใครเหลือเงินเก็บอีกเลย
เพราะแม้ว่าบริษัทประกันจะเป็นผู้จ่ายค่ายาเหล่านี้ แต่ที่มาของเงินก็มาจากลูกค้าประกันทุกคนที่ซื้อประกันไว้ (สุดท้าย คนที่จ่ายเงินค่ายาจริง ๆ ก็คือทุกคนนั่นเอง)
ถ้าราคายาปรับตัวสูงขึ้นมาก บริษัทประกันก็ต้องปรับเบี้ยประกันขึ้นตามไปด้วย (นี่คือสาเหตุที่ประกันในสหรัฐฯ ถึงแพงมาก)
การขึ้นราคายาอย่างไร้ศีลธรรมแบบนี้ ไม่ได้มีแค่บริษัท Valeant เท่านั้น ยังมีบริษัทยาอื่น ๆ อีกที่ทำแบบนี้
ที่น่าสนใจคือ ณ ตอนนั้น สิ่งที่บริษัทยาเหล่านี้กำลังทำอยู่ ไม่ถือว่าผิดกฎหมายข้อใดในสหรัฐฯ CEO ของบริษัทยาเหล่านี้ ก็ไม่ต้องรับโทษอาญาอะไรเลย แม้จะมีการไต่สวนในชั้นศาลแล้วก็ตาม
📌 คำถามสำคัญคงเป็น ในโลกทุนนิยมที่ทุกบริษัทล้วนมุ่งหากำไรสูงสุด สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับการทำกำไรคืออะไร ?
ดังคำกล่าวที่ว่า...
พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง
Spider-Man🕷
อ้างอิง
Dirty Money
"เพราะการเงินเป็นเรื่องของทุกคน"
พวกเรากลุ่มคนที่รักเรื่องราวของการเงินการลงทุนเป็นชีวิตจิตใจ จึงก่อตั้งเพจ Dime! (ไดม์!) ขึ้น
Dime! แปลว่าเหรียญ 10 เซ็นต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุนเป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ เข้าใจง่าย และนำไปประยุกต์ใช้ต่อได้จริง เหมือนกับเงิน 1 ไดม์ ที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้
หากทุกคนมีความรู้ทางการเงินที่แข็งแรง
สังคมของเราก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
โฆษณา