21 ม.ค. 2022 เวลา 04:47 • การศึกษา
เราเป็นลูกหลานคนจีนที่ตั้งแต่บรรพบุรุษก็นับถือพุทธแล้วค่ะ จากนั้นก็ถูกเลี้ยงตามประเพณีและวัฒนธรรมตามตำรับลูกหลานคนจีน ที่ผสมปนเป จนแยกไม่ออกว่าอะไรคือคำสอนทางศาสนา และอะไรคือวัฒนธรรม ประเพณีที่เพียงปฏิบัติสืบทอดกันมา
1
เรากลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ ตอนอายุ 9 ขวบ ก่อนคุณพ่อเสีย ที่บ้านเราอู้ฟู่ แถมเราเป็นน้องคนสุดท้อง จึงเป็นคุณหนูที่ไม่เคยรู้จักว่าความทุกข์คืออะไร จากนั้นครอบครัวซึ่งมีคุณแม่และพี่ๆ ก็ซวนเซแก้ปัญหาที่ตามมากันอยู่พักใหญ่ เราจึงกลายเป็นเด็กเก็บกดชอบคิดชอบตั้งคำถาม พอขึ้นประถมฯ 5 ที่รร. กำหนดให้เรียนวิชาพระพุทธศาสนา เราก็เรียนแล้วก็ท่องสอบจนได้คะแนนดี สิ่งนี้ยิ่งส่งเสริมอัตตาให้เราหลงคิดว่า ศาสนาพุทธมันก็ง่ายๆ เรื่องพื้นๆ ไม่เห็นจะยากตรงไหน จนเมื่ออยู่ชั้นม.ปลาย คุณแม่เราที่ใฝ่ทางนี้มาก ก็พาเราไปบวชชี กับหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวัน แต่ละวันเราก็เพียงตื่นเช้ามืด ฟังเทศนาจากหลวงพ่อ แล้วก็นั่งกรรมฐาน กิน 2 มื้อ วนไปอย่างนี้ เราก็ยิ่งตั้งคำถามว่า ก็แค่บวช ฟังธรรม นั่งหลับตา แค่นี้ก็ได้บุญ ได้ไปสวรรค์แล้วหรือ แต่ก็ดีนะ มีคนทำอะไรให้หมดเลย เราแค่ฟังเทศน์ กิน นั่งหลับตาทั้งวัน แล้วเข้านอน
จนเมื่อเราเกิดทุกข์ครั้งใหญ่อีกครั้ง เราเริ่มตั้งคำถามกับบุญทานที่เราปฏิบัติมา กับกรรมดีที่เราทำมาโดยตลอด ว่าเหตุใดสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นผลดังคำสอนที่ได้ยินมา จากนั้นเมื่อเรากลับไปปฏิบัติธรรมอีกครั้ง ครูบาอาจารย์ผู้รู้หลายท่าน ก็ทำให้เราเปิดหูเปิดตา พลิกวิธีคิดทุกอย่างใหม่หมด ความเข้าใจในหลักคำสอนของพระสัมมาฯ นั้น ถูกตีความบิดเบือน ไปมากมาย มันไม่ได้ง่าย แค่เพียงท่องจำอริยสัจ 4 เสียแล้ว มันลึกซึ้งและละเอียดยิบ เกินกว่าที่มนุษย์ตนใดจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง และสิ่งนี้ยิ่งทำให้เราสนใจคิดตามคำสอนหนักขึ้น ลองคิดดูว่า ถ้ามันง่ายเพียงนั้น เหตุใดพระพุทธองค์ จึงทรงบำเพ็ญเพียรพระบารมียาวนาน และทรงรำพึงว่าธรรมะของพระองค์นั้น ละเอียด และยากมากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ
"เห็น" นั้น ไม่มีเรา เราไม่ได้เห็น "เห็น คือ เห็น เป็นธรรมะและเป็นอนัตตา, ตา คือตา เป็นธรรมะและเป็นอนัตตา, "วัตถุ" ที่เห็น ก็เป็นธรรมะเป็นอนัตตา นี้เป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ของตัวอย่าง "สิ่งที่มีจริงๆ" ที่โกหกไม่ได้เลยค่ะ พิสูจน์ได้ทันทีทันใด เราเกิดมาเพราะมีเหตุมีปัจจัย ไม่มีใครเสก หรือปั้นเรามา หากคนๆ นี้จะเป็นยาจกหรือเศรษฐี อะไรก็ฉุดไม่อยู่ ต่อให้พระเกจิ, เจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือเทวดาพระเจ้า หรือเทพเจ้า, หรือกุมารทอง หน้าไหน ก็ฉุดคนๆนี้ ไม่อยู่ค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายไปบนบานเลยค่ะ คุณเพียงซื่อตรงและมั่นคงเรื่องธรรมะและอนัตตาให้ได้ (เรายังฝึกอยู่ทุกวันนี้เลยค่ะ แล้วยิ่งฝึกก็จะยิ่งมั่นคงขึ้น นิ่งขึ้น พลังงานมหาศาลมันจะมาเองค่ะ)
อ่านแค่นี้ก็พอจะเลาๆแล้วว่า นี่คือวิทยาศาสตร์ที่จะก้าวล้ำทุกศาสตร์ไปตลอดกาล ก็คงไม่ต้องแปลกใจว่าเหตุใด แม้แต่อัจฉริยะตลอดกาลอย่างไอน์สไตน์จึงกล่าวชื่นชมศาสนาพุทธ
ขอบคุณคำถามค่ะ :)
โฆษณา