เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นจะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบ Performance ผลการลงทุนในหุ้นของ 2 นักลงทุน (Mr. A และ Mr. B) ที่มีการติดตามหุ้นชุดเดียวกันในช่วงระยะเวลาเดียวกัน แต่ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกัน โดยเราจะวัด Performance จากกำไรสุทธิที่นักลงทุนแต่ละคนทำได้ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้
Mr. A ใช้กลยุทธ์การตัดสินใจลงทุนที่ค่อนข้างรัดกุมมาก เลือกลงทุนเฉพาะครั้งที่เขามั่นใจสูงว่าจะไม่ขาดทุน ส่วน Mr. B นั้นเลือกใช้กลยุทธ์การตัดสินใจลงทุนที่เสี่ยงแบบพอดี ไม่จำเป็นที่จะต้องมั่นใจเต็ม 100% ว่าจะได้กำไร แต่มีการตั้งจุดจำกัดขาดทุน (Cut Loss) ให้ขาดทุนไม่เกินครั้งละ 10% ผลการลงทุนของทั้ง 2 คนในปี 2021 เป็นดังนี้
Mr. A
Mr. A มีการตัดสินใจทั้งหมด 100 ครั้ง โดยเลือกที่จะลงทุนเฉพาะในครั้งที่เขามีความมั่นใจค่อนข้างมากว่าไม่น่าจะขาดทุน รวมทั้งหมดเพียง 3 ครั้ง ครั้งละ 100 บาท (จำนวนเงินสมมุติ เพื่อความง่าย) โดยในทั้ง 3 ครั้งนี้ A ได้กำไรทุกครั้งเฉลี่ยครั้งละ 30% (คิดเป็นกำไรครั้งละ 30 บาท) ส่วนอีก 97 ครั้งที่เหลือ A ตัดสินใจที่จะไม่ลงทุนเลย ซึ่งในนี้มี 47 ครั้งที่เขาพลาดโอกาสที่จะได้กำไร และอีก 50 ครั้งที่เขาตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ลงทุนในโอกาสที่จะนำไปสู่การขาดทุน เราเขียน Confusion Matrix ของการตัดสินใจของ A ได้ดังนี้ (รูปที่ 2)
รูปที่ 2 Confusion Matrix ของ Mr. A
Win Rate และ Performance ของ Mr. A คือ
Mr. B
ในปีเดียวกันนี้เอง Mr. B ติดตามหุ้นชุดเดียวกันกับ Mr. A และได้มีการตัดสินใจทั้งหมด 100 ครั้งเช่นกัน โดย B เลือกที่จะลงทุนในครั้งที่เขามั่นใจว่าโอกาส (ความน่าจะเป็น) ที่จะชนะมีอย่างน้อย 2 ใน 3 รวมทั้งหมด 10 ครั้ง ครั้งละ 100 บาทเท่ากันกับ Mr. A ผลปรากฏว่า ในการลงทุน 10 ครั้งนี้ B ได้กำไร 7 ครั้ง เฉลี่ยครั้งละ 25% (คิดเป็นกำไรครั้งละ 25 บาท) และขาดทุน 3 ครั้ง เฉลี่ยครั้งละ 8% (คิดเป็นขาดทุนครั้งละ 8 บาท) (เพราะ B มีการจำกัดความเสี่ยงโดยการตัดขาดทุน (Cut Loss) ให้ขาดทุนไม่เกินครั้งละ 10%) เราเขียน Confusion Matrix ของการตัดสินใจของนาย B ได้ดังนี้ (รูปที่ 3)
รูปที่ 3 Confusion Matrix ของ Mr. B
Win Rate และ Performance ของ Mr. B คือ
A vs B
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าในทุกครั้งที่ลงทุน A จะตัดสินใจถูกหมดเลย (Win Rate 100%) และในแต่ละครั้งก็ได้กำไรสูงกว่า B ด้วย (30% vs 25%) แต่หลังจากจบปีการลงทุนแล้ว A กลับทำผลตอบแทนได้น้อยกว่า B อย่างมีนัยสำคัญ (90 บาท vs 151 บาท) ทั้ง ๆ ที่ B มี Win Rate เพียง 70% เท่านั้นเอง ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าถ้าเราดูเฉพาะ Win Rate เพียงอย่างเดียวก็อาจจะเกิดความสับสนได้ว่าทำไม A ตัดสินใจถูกหมดเลยแต่กลับได้กำไรน้อยกว่า B ถ้าเราหาสาเหตุไม่เจอก็ยากครับที่จะปรับปรุงพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นได้ ตรงจุดนี้เองที่ Confusion Matrix จะเข้ามาช่วยทำให้เรามองเห็นว่า อ๋อ ถ้าลองดูในช่องซ้ายล่างของ Confusion Matrix ในรูปที่ 2 และ 3 เทียบกันนะ ก็จะเห็นเลยว่า A ตกรถบ่อย ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปมากกว่า B นั่นเองครับ (47 vs 43 ครั้ง)
Too strict investment criteria
การที่ Mr. A มี Win Rate สูงมากแต่ก็ตกรถบ่อยมาก ประกอบกันกับจำนวนครั้งที่เขาตัดสินใจลงทุนมีน้อยมาก (เพียง 3 ครั้งในทั้งหมด 100 ครั้ง) ทั้ง ๆ ที่ใน 100 ครั้งนี้หุ้นมีราคาขึ้น/ลง 50/50 ครั้งเท่า ๆ กัน นั้นสามารถตีความได้ว่า A ตั้งกฎเกณฑ์การลงทุนไว้รัดกุมมากเกินไป (too strict investment criteria) วิธีแก้ปัญหาของ A คือทำ 2 ข้อดังต่อไปนี้ร่วมกัน
1. ลดความรัดกุมของเกณฑ์การลงทุนลง
2. กำหนดกลยุทธ์การตัดขาดทุน (Cut Loss) ให้ดี
ข้อ 1 จะทำให้ A ตัดสินใจลงทุนบ่อยขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จำนวนครั้งที่ได้กำไรจะเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่จำนวนครั้งที่ขาดทุนจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นแล้วจึงต้องวางกลยุทธ์จำกัดขาดทุน (ข้อ 2) ด้วยเพื่อให้ทุกครั้งที่ขาดทุนจะไม่สร้างความเสียหายให้แก่พอร์ตมากเกินไป การทำสองข้อนี้ร่วมกันจะทำให้ A มีผลลัพธ์การลงทุนที่ใกล้เคียงกับ B มากขึ้น สร้างผลตอบแทนการลงทุนได้สูงขึ้นครับ