21 ม.ค. 2022 เวลา 14:10 • สุขภาพ
ถ้าใช้โมเดลของอังกฤษ ไทยจะผ่านจุดสูงสุดของโอมมิครอนด้วยการฉีดวัคซีนสะสมวันละ 3.6 แสนโดส และฉีดผู้สูงอายุวันละ 1.2 แสนโดส
อังกฤษซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการระบาดของโควิดด้วยไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนที่รุนแรงมากติดอันดับของโลก
3
มีผู้ติดเชื้อวันละหลายแสนคน ทำให้มีติดเชื้อสะสมมากถึง 15 ล้านคน ผู้เสียชีวิตสะสม 1.5 แสนคน
แต่ขณะนี้ทางการอังกฤษได้ประกาศว่า ประเทศของตนเองกำลังจะผ่านจุดสูงสุดหรือพีคของโอมิครอนแล้ว
โดยหลังจากนี้ จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเป็นลำดับ นายกรัฐมนตรีอังกฤษมีแผนที่จะประกาศผ่อนคลายมาตรการต่างๆลงในเร็ววัน เช่น
ไม่ต้องทำงานจากที่บ้าน (WFH)
ไม่ต้องใช้ใบปลอดโควิด เวลาจะเข้าสถานที่ต่างๆเป็นต้น
ทั้งนี้อังกฤษเชื่อว่า ปัจจัยหนึ่งที่มีผลทำให้ผ่านสถานการณ์เลวร้ายมาได้นั้น เกิดจากการฉีดวัคซีนสะสมรวม และฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ได้เป็นจำนวนมากนั่นเอง
ดังนั้นถ้าเรานำโมเดลของอังกฤษมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนพลเมืองใกล้เคียงกัน และตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะต้องผ่านพีคหรือจุดสูงสุดให้ได้ก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2565 เราจะต้องทำอย่างไรบ้างเกี่ยวกับวัคซีน
1
1) พลเมืองของอังกฤษเทียบกับไทยคือ 68.439 ล้านคน และ 70.071 ล้านคน
2) จำนวนฉีดวัคซีนสะสม
อังกฤษฉีดแล้ว 136.79 ล้านโดส
ไทยฉีดแล้ว 111.32 ล้านโดส
3) จำนวนฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3
อังกฤษฉีดแล้ว 36 ล้านโดส
ไทยฉีดแล้ว 11 ล้านโดส
4) การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ให้กับผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี
อังกฤษฉีดแล้ว 90%
ไทยฉีดแล้ว 14.7%
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างอังกฤษกับไทยในการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 คือ 25 ล้านโดส เมื่อมีเวลาฉีดอีก 69 วัน ก็จะต้องฉีดให้ได้วันละ 3.6 แสนโดส
ในกรณีวัคซีนเข็ม 3 ผู้สูงอายุ ถ้าไทยจะฉีดให้ได้ 90% เท่ากับอังกฤษ เราจะต้องฉีดเพิ่มอีก 8.2 ล้านโดส คิดเป็นการฉีดเฉลี่ยวันละ 1.2 แสนโดส
ซึ่งจำนวนปริมาณวัคซีนที่ไทยมีอยู่ในมือ และศักยภาพการฉีดวัคซีนของระบบสุขภาพไทย อยู่ในวิสัยที่ทำได้
คงเหลือเพียงการบริหารจัดการ และทำให้ผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีนจำนวนดังกล่าว เข้ามารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วต่อไป
โฆษณา