22 ม.ค. 2022 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ซ้ำรอยแผลเก่า ]
เมื่อไม่กี่วันก่อน เจค ฮัมฟรีย์ นักข่าวของ BT Sport โพสต์รูปของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด พร้อมทวิตข้อความว่า
"ตอนนี้เชลซีตามหลังจ่าฝูง 12 แต้มและ แฟร้งค์ แลมพาร์ด โดนปลดในช่วงสัปดาห์นี้ของปีที่แล้ว โดยที่ตามหลังทีมนำ 11 แต้ม"
1
สิ่งที่นักข่าวผู้คนนี้ ซึ่งมียอดติดตามทางทวิตเตอร์เกือบ 9 แสนคนต้องการสื่อคือ เปรียบเทียบถึงสถานการณ์ปัจจุบันกับอดีต
อย่างไรก็ดีมันเป็นเพียงแค่การมองมิติเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบด้าน เหมือนจงใจตั้งคำถามหรือดิสเครดิต ทูเคิ่ล ซะมากกว่า
แน่นอนว่าโอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของเชลซีริบหรี่มากขึ้นเรื่อยๆ ตามหลังแมนฯซิตี้แบบสุดกู่ ยากเหลือเกินที่จะพลิกสถานการณ์กลับมา
แล้วเป้าหมายที่วางไว้ก่อนฤดูกาลนี้เปิดฉากคือ ต้องคว้าแชมป์ลีกให้สำเร็จหรือไม่ก็ต้องลุ้นกันจนโค้งสุดท้าย ไม่ใช่มาตกม้าตายตั้งแต่พ้นครึ่งทางไม่เท่าไร
แต่ ทูเคิ่ล ต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่อาจคอนโทรลได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นเรียงคิวบาดเจ็บ ไหนจะโดนโควิด-19 บุกแคมป์อีก ต้องดิ้นรนแก้ไขกันแบบนัดต่อนัดเรื่อยมา ทุกอย่างตะกุกตะกักอย่างยิ่ง
ไหนเกมจะเตะแบบถี่ๆ ทำศึกรอบด้านขับเคี่ยวห้ำหั่นถึง 4 รายการ เรียกว่าแทบจะเล่น 2 นัดใน 1 วีกอย่างต่อเนื่องมาเลย
1
สิ่งที่ ทูเคิ่ล ต้องเผชิญหน้าต้องยอมรับว่าไม่ง่ายเลยสำหรับการรับมือ แม้จะเคยประสบมาก่อนแล้วก็ตาม
นอกจากนี้หากจะว่ากันอย่างแฟร์ๆ 1 ปีก่อน ทูเคิ่ล มาแทน แลมพาร์ด เหมือนนับหนึ่งใหม่อย่างแท้จริง เพราะไม่เคยคุมทีมหรือทำงานในอังกฤษเลย
1
มาซ้อมครั้งแรก ยังเรียกชื่อลูกทีมผิดๆถูกๆ จนโดนล้อโดนอำก็มี แต่เขาไม่แคร์เรื่องตรงนั้น สั่งซ้อมเข้มตามแบบฉบับตัวเอง หลังจากเซ็นสัญญาได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง
2
ทูเคิ่ล บอกกับบอร์ดบริหารสโมสรว่า ไม่ต้องการช้าแม้แต่วินาทีเดียว โอกาสประสบความสำเร็จของเชลซียังเปิดกว้าง การเปลี่ยนแปลงกุนซือไม่ใช่หมายความว่าหมดหวัง แต่ตรงกันข้ามคือต้องคาดหวังไว้
1
ต่อให้มากลางคัน ไม่มีเวลาปะติดปะต่อเรียนรู้ คุณก็ต้องเร่งมือมากขึ้นไปอีก นั่นคือเหตุผลที่ทำงานทันที อย่ามัวยื้อรีรอให้เสียเวลา
ตอนนั้นเชลซีห่างจากจ่าฝูง 11 แต้มก็จริง ดูห่างไกลแต่อย่างน้อยการปักธงไว้ที่ท็อปโฟร์ ก็ต้องพยายามทำให้บรรลุเป้าหมาย
ส่วนยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกยังยืนอยู่บนเส้นทาง ผ่านเข้ารอบน็อกเอาท์ไปแล้ว ยังไงก็ยังได้ลุ้นเต็มสูบ
ไม่มีใครเชื่อหรอกหากบอกว่าเชลซีจะครองเจ้ายุโรป ด้วยขุมกำลังชุดดังกล่าวที่ยังไม่แกร่งพอ รวมทั้งความวุ่นวายภายในทีม
ทูเคิ่ล หักปากกาทุกด้ามของทุกเซียนไม่ว่าจะสำนักไหน ใช้เวลาอันจำกัดที่มีอยู่เพียงแค่ 4 เดือน ทำในสิ่งที่แม้แต่สาวกสิงห์น้ำเงินยังต้องตะลึง
เชลซีล้มแมนฯซิตี้ด้วยแท็คติกที่เหนือกว่าในเกมชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงกระทืบคันเร่งเข้าป้ายท็อปโฟร์สำเร็จ ภารกิจลุล่วงอย่างน่าอัศจรรย์
1
ถึงบอกไงว่าคงไม่ยุติธรรมถ้าจะนำมาเทียบกันระหว่างปีนี้กับปีที่แล้ว ต้องยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขว่า ทูเคิ่ล ฝีมือเหนือกว่า แลมพาร์ด จริงในบทบาทผู้จัดการทีม
1
อย่างไรก็ตาม 4 เดือนที่ว่าอาจเป็นเหมือนช่วงฮันนีมูนของ ทูเคิ่ล ก็เป็นได้ คือทำอะไรก็ดูดี มีความสุขไปซะทุกอย่าง เดินไปไหนได้เห็นแต่รอยยิ้มเสียงหัวเราะ โลกถูกย้อมด้วยสีชมพู
จริงๆ ทูเคิ่ล น่าจะรู้ดีว่า ความสำเร็จอย่างงดงามในช่วงไม่ถึงครึ่งปีแรก เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นเอง อุปสรรคข้างหน้ายังยืนจังก้ารอให้ไปเผชิญอีก
เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะยากกว่าที่คาดไว้
เอ็มมานูเอล เปอตีต์ อดีตกองกลางของเชลซี แสดงความเห็นว่า โธมัส ทูเคิ่ล กำลังรับมือกับปัญหาในลักษณะเดียวกันเมื่อตอนคุมปารีส แซงต์ แชร์กแมง
หลังนำเปแอสเชกวาดเรียบหมด 4 แชมป์ในประเทศ รวมถึงพาเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกแต่ต้านทานความแกร่งบาเยิร์น มิวนิคไม่ไหว ซีซั่นต่อมาก็หนักหนามากสำหรับการรับมือ
เปอตีต์ เชื่อว่าความมั่นใจที่เคยมีของกุนซือเยอรมัน น่าจะลดลงเรื่อยๆ ไม่พีกเหมือนตอนจบฤดูกาลที่แล้ว
เทียบฉากแล้วคล้ายเปแอสเชไม่มีผิด โดยเฉพาะเรื่องการปะทะกับลูกทีมบางคนที่กล้าท้าทายอำนาจอย่างไม่เกรงใจ
ตอนนั้นเขาต้องเจอแรงเสียดทานจาก เนย์มาร์ ซูเปอร์สตาร์ประจำทีม ซึ่งได้รับการประคบประหงมเอาใจจากฝ่ายบริหาร ชนิดว่าห้ามแตะต้อง
ไม่นับ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ อีกหนึ่งกล่องดวงใจ รวมถึงดาวดังบางราย นั่นกลายเป็นอุปสรรคไม่น้อยไปกว่าได้ประโยชน์ในสนาม
"สิ่งที่เกิดกับเขาในเวลานี้ ทำให้ผมอดไม่ได้ต้องนึกย้อนไปเหมือนตอนคุมปารีส แซงต์ แชร์กแมง"
"ปัญหาถูกจุดชนวนก่อนบนหน้าหนังสือพิมพ์ ตามด้วยแรงกดดันจากสื่อต่างๆและแฟนบอล ตามด้วยนักเตะดาวดังในทีม ซึ่งจะเป็นไปสัปดาห์ต่อสัปดาห์"
"ลองสังเกตดูคุณจะเห็นท่าทางเปลี่ยนไปของเขา ไม่ว่าจะเป็นตอนแถลงข่าวหรือคุมทีมข้างสนาม เขาไม่ได้ดูสงบนิ่งเหมือนอย่างที่เคยทำและมักจะหาข้ออ้างบางอย่างด้วย"
จับใจความระหว่างบรรทัดเหมือน เปอตีต์ ต้องการชี้ให้เห็นว่า ทูเคิ่ล เริ่มกดดันหนักมากขึ้นตามลำดับ ความสำเร็จอย่างน่าทึ่งเมื่อฤดูกาลก่อน กำลังย้อนกลับมาหลอกหลอน
อาการหัวเสียเวลาให้สัมภาษณ์นักข่าว คือหนึ่งในสิ่งที่สังเกตได้ ซึ่งกุนซือไม่น้อยมักมีลักษณะเช่นนี้ มันฟ้องว่าความตึงเครียดกำลังเล่นงานอยู่
ผลงานทีมที่แย่อันมีตัวแปรมาจากนักเตะเจ็บบ้าง ติดโควิดบ้าง ฟอร์มดร็อปบ้าง ล้วนแต่ผสมผสานกันตามสถานการณ์
ทว่าการต้องมาเจอ โรเมลู ลูกากู ท้าทายเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเจอ เพราะแรกเริ่มทุกอย่างไปได้ด้วยดี
5 นัดแรกดาวยิงเบลเจี้ยนระเบิดไป 4 ประตู ดูเหมือนจะเพิ่มมิติการเข้าทำของเชลซีให้หลากหลายมากขึ้นไปอีก ทูเคิ่ล มีอาวุธครบมือไว้สำหรับต่อสู้แย่งความสำเร็จ
1
ทว่า ลูกากู ผลงานดิ่งเหวอย่างน่าใจหาย ไหนจะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอีกระลอก อะไรต่อมิอะไรดูแย่ไปหมด
แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือการให้สัมภาษณ์ของ ลูกากู ซึ่งพาดพิงเจ้านายตัวเอง เน้นย้ำว่าไม่มีความสุขเลยที่ต้องเล่นตามแท็คติกอย่างนั้น จนต้องมีการนัดเคลียร์ใจกัน ก่อนแจกแจงว่าเรียบร้อยดีแล้ว
อย่างไรก็ตามผลงานของทีมไม่กระเตื้องไปจากเดิม นักเตะเหมือนไร้แรงกระหาย มีความขัดแย้งกันเองให้เห็นออกสื่ออย่างเคสล่าสุด ลูกากู กับ ฮาคีม ซีเย็ค ซึ่งรายหลังยิงประตูได้ยังไม่ฉลองอีกต่างหาก
พวกเขาอาจจะเข้าชิงลีกคัพ รวมทั้งลุ้นโทรฟี่อีกสองใบเอฟเอ คัพและป้องกันแชมป์ยูซีแอล แต่หากปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังฝังรากลึกลงไปเรื่อยๆ มันก็ยากที่จะรักษาให้หายขาด
ว่าไปแล้วปัญหาเหล่านี้คล้ายกับที่เคยเจอที่เปแอสเช เหมือนอย่าง เปอตีต์ แสดงความเห็นไว้นั่นเลย
บทเรียนที่เคยผ่าน ประสบการณ์ที่เคยมี จะช่วย ทูเคิ่ล ฝ่าฟันไปได้หรือไม่? คำถามนี้แหล่ะน่าสนใจเลยทีเดียว
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
2
โฆษณา